รถบัสคันนี้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษแม้ภายนอกจะดูเหมือนรถบัสทั่วไป แต่ภายในนั้นกลับกว้างขวางโอ่อ่า ทุกคนจึงนั่งได้อย่างสบายไม่อึดอัด..
หลิงซิ่วนั่งลงตรงที่นั่งด้านหน้าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและไม่ลืมที่จะหันไปบอกกับทุกคนในรถ
“นี่..บนรถมีสัญญาณ wifi ด้วย ความเร็วสุดยอดเชียวล่ะ!”
โม่วู๋เตาร้องออกมาอย่างดีอกดีใจ“พี่สาว.. น่าจะบอกพวกเราก่อนหน้านี้!” จากนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาเล่นทันที..
ตั้งแต่โม่วู๋เตาลงจากเขามาและได้โทรศัพท์มือถือตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่จิงฉู เขาก็เอาแต่ท่องโลกอินเทอร์เน็ต และเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากในนั้น หากเทียบกับการฝึกฝนวิชาแล้ว โม่วู๋เตาชอบที่จะท่องโลกอินเทอร์เน็ตเสียมากกว่า..
หลิงซวี่ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโม่วู๋เตาค่อยๆลุกขึ้นยืน และชะโงกหน้าไปมองโม่วู๋เตา พร้อมกับถามขึ้นว่า
“พี่วู๋เตา..ท่านเป็นนักพรต วันๆเอาแต่ท่องโลกอินเทอร์เน็ตเช่นนี้ได้ด้วยรึ!”
หลิงหุยนได้ยินหลิงซวี่ถามโม่วู๋เตาออกไปเช่นนั้นก็ถึงกับกลั้นหัวเราะไว้จนน้ำตาไหล..
โม่วู๋เตานั้นไม่เพียงเป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตหลิงหยุนไว้แต่ยังช่วยชีวิตของหลิงเสี่ยวซึ่งเป็นพ่อของตนกับหลิงซวี่ด้วย ดังนั้น.. โม่วู๋เตาที่อยู่ในบ้านตระกูลหลิงมานาน จึงค่อนข้างสนิทสนมกับทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงราวกับพี่น้องทีเดียว..
“ข้าเป็นห่วงประเทศชาติต่างห่างเล่า..เจ้าจะไปรู้อะไร!”
โม่วู๋เตาตอบหลิงซิ่วอย่างขอไปทีพร้อมกับโบกไม้โบกมือไล่.. ส่วนถังเมิ่งนั้นเมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาได้ก็รีบเข้าไปดูงานในกลุ่มแชทของบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นทันที ระหว่างนั้นก็เอ่ยถามหลิงหยุนว่า
“พี่หยุน..ฉันจะดึงพี่เข้ากลุ่มเอามั๊ย”
หลิงหยุนถามขึ้นทันที..“กลุ่มอะไร!”
หลังจากความฝันเสมือนจริงในคืนนั้น..ความทรงจำของหลิงหยุนในโลกนี้ก็ได้หลอมรวมเข้ากับหลิงหยุนคนปัจจุบัน ทำให้เขาสามารถเข้าใจเทคโนโลยีสมัยใหม่ขึ้นมาก และไม่ได้รู้สึกแปลกใจในเรื่องกลุ่มแชทที่ถังเมิ่งพูดถึง..
เพียงแต่ตลอดหลายเดือนมานี้..หลิงหยุนเอาแต่ทุ่มเทให้กับการฝึกวิชา จนไม่มีเวลาที่จะสนใจกับสิ่งใหม่ๆบนโลกใบนี้ อีกทั้งในใจส่วนลึกของเขานั้น ก็ยังรู้สึกต่อต้านสิ่งเหล่านี้อยู่ด้วย..
นั่นเพราะหลิงหยุนมาจากโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่..โลกที่เจริญรุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยีทันสมัยนี้ จึงเป็นเพียงที่อยู่ชั่วคราวของเขาเท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง และถาวรของตน!
หลิงหยุนต้องอาศัยพลังชีวิตในโลกนี้เพื่อฝึกฝนให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และโลกใบนี้ก็เป็นเพียงแค่ทางผ่านของเขาเท่านั้น..
ต่างจากโม่วู๋เตาซึ่งโตมาในสำนักเหมาซานบนเขาสูงเมื่อได้เข้ามาอยู่ในเมืองที่รุ่งเรืองเต็มไปด้วยแสงสี และเทคโนโลยีเช่นนี้ จึงอยากจะรู้เห็นไปเสียหมด ผิดกับหลิงหยุนที่มักจะหลบไปหาสถานที่สงบเงียบเพื่อฝึกวิชา..
แต่ถึงกระนั้น..ความคิดและมุมมองที่มีต่อเทคโนโลยีบนโลกใบนี้ของหลิงหยุนก็ได้เปลี่ยนไปมาก ทุกวันนี้เขายอมที่จะดูทีวี ใช้ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ และเครื่องบิน..
เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากนัก..ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย เหตุใดเขาจึงต้องปฏิเสธด้วยเล่า
“จะกลุ่มอะไรอีกล่ะพี่หยุน!ก็กลุ่มผู้บริหารบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นยังไงล่ะ.. พี่เป็นเจ้าของกิจการนะ!”
“ตอนนี้ในกลุ่มก็มีสมาชิกอยู่เป็นร้อยคนแล้วพี่อยากจะเข้ากลุ่มมั๊ย”
“ไม่..นี่นายยังคิดว่าฉันยุ่งไม่พออีกหรือยังไง”
เวลานี้หลิงหยุนกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังต้องห้ามในโทรศัพท์มือถืออยู่จึงรีบปฏิเสธคำชวนของถังเมิ่งทันที
ถังเมิ่งหันมาค้อนให้หลิงหยุนก่อนจะพูดออกไปอย่างเหนื่อยหน่าย “หึ.. วันๆคงยุ่งอยู่แต่กับการใช้เงินน่ะสิ!”
ทุกคนในรถได้ยินคำพูดของถังเมิ่งต่างก็พากันหัวเราะออกมาเสียงดัง..
“นี่..นายบอกเฉินเจี้ยนเตาให้เปลี่ยนชื่อบริษัทได้แล้ว” หลิงหยุนบอกกับถังเมิ่ง
“อะไรกันพี่หยุน!บริษัท เทียนตี้ คอร์ปอเรชั่น เพิ่งจะเปิดไปเมื่อวันที่ 8 เดือน 8 พรุ่งนี้เพิ่งจะครอบรอบหนึ่งเดือน พี่จะให้ฉันเปลี่ยนชื่อบริษัทแล้วเหรอ?!”
“นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด..”
หลิงหยุนอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ..“ต่อไปบริษัท เทียนตี้ คอร์ปอเรชั่น ก็จะต้องเป็นของตระกูลหลิง ถ้านายอยากให้บริษัทเติบโตได้เร็ว และมั่นคง ก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นกลุ่มบริษัทตระกูลหลิง!”
“ใช่..จริงด้วย!”
ถังเมิ่งร้องออกมาอย่างเห็นด้วย..ในขณะที่หลิงซิ่วกลับไม่เห็นด้วย และรีบแสดงความคิดเห็นของตนด้วยสีหน้า และน้ำเสียงจริงจัง
“นี่หลิงหยุน..บริษัท เทียนตี้ คอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทที่เจ้าก่อตั้งขึ้นมาด้วยตัวเอง จะนำมาเป็นของตระกูลหลิงได้อย่างไรกัน!”
“แม้พวกเราตระกูลหลิงจะรักใคร่กลมเกลียวกันแต่ของตระกูลก็คือของตระกูล ของส่วนตัวก็คือของส่วนตัว เจ้าไม่ควรสับสนนำมารวมกันเช่นนี้!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในฐานะผู้นำตระกูลหลิง.. ข้าต้องการทำเช่นนี้ไม่ได้รึ”
หลิงซิ่วได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับเดือดดาลนางลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้าไปหาหลิงหยุน พร้อมกับเอื้อมมือไปดึงหูของเขา และตอบโต้กลับไปด้วยความโมโห
“เจ้าเด็กตัวแสบ..นี่เจ้ากล้าอ้างฐานะผู้นำตระกูลหลิงมาข่มขู่ข้าเชียวรึ!”
“พี่หลิงซิ่ว..ข้าไม่กล้าแล้ว! ข้าแค่หยอกเย้าเจ้าเล่นเท่านั้น!” หลิงหยุนรีบร้องขอความเมตตาทันที
หลิงซิ่วดึงมือกลับมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าเด็กแสบ.. ข้าขอบอกไว้เลยว่าต่อให้เจ้าไปถามความเห็นของท่านปู่ ท่านลุงสอง และลุงสาม ก็จะไม่มีใครเห็นด้วยกับเจ้าเป็นแน่!”
“แต่หากเจ้าต้องการจะเปลี่ยนชื่อบริษัทจริงข้าแนะนำให้เจ้าเปลี่ยนเป็น หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่นแทนจะดีกว่า!” “ข้าเห็นด้วย!”
โม่วู๋เตาเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือพร้อมกับร้องตะโกนแสดงความคิดเห็นสนับสนุนหลิงซิ่ว..
ถังเมิ่งเองก็เห็นด้วยเช่นกัน“ก็ดีนะพี่หยุน.. ในเมื่อเราก็มีอาคารหลิงหยุนแล้ว ก็เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นด้วยเลย!”
และการใช้ชื่อบริษัทหลิงหยุน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีชื่อของหลิงหยุนอยู่นั้น ก็จะทำให้การทำธุรกิจราบรื่นมากยิ่งขึ้น เพราะคงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะกล้าสร้างปัญหาให้เป็นแน่..
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็ตอบไปว่า “ตกลง.. เปลี่ยนเป็นบริษัท หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่น..”
ตี้เสี่ยวอู๋ที่นั่งนิ่งอยู่นานได้พูดขึ้นว่า“พี่หยุน.. ฉันก็เห็นด้วยกับชื่อนี้!”
“ว่าแต่พี่มาเข้ากลุ่มของฉันดีกว่า..เป็นกลุ่มสำนักหมอสวรรค์!”
ตี้เสี่ยวอู๋สร้างกลุ่มแชทในQQ ขึ้น เพื่อให้สะดวกต่อการติดต่อกับศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้ง 72 คน..
“ได้..นายดึงฉันเข้ากลุ่มได้เลย..”
“…..”
ถังเมิ่งได้แต่อึ้งแล้วจึงร้องโวยวายออกมาอย่างไม่พอใจ “พีหยุน.. ทีเรื่องฝึกเรื่องเล่นพี่ก็สนใจขึ้นมาเลย!”
หลิงหยุนกับตี้เสี่ยวอู๋หัวเราะออกมาเสียงดังและไม่มีใครสนใจถังเมิ่งอีกเลย..
ทันทีที่ตี้เสี่ยวอู๋ถึงหลิงหยุนเข้ากลุ่มข้อความในแชทก็เด้งขึ้นมารัวๆ
–พี่หยุนเข้ามา..-
–ทุกคน..เข้ามาทักทายลูกพี่เร็วเข้า!-
–พี่หยุนจริงๆด้วย!-
–พี่อู๋สุดยอด..ดึงพี่หยุนเข้ากลุ่มจนได้!-
หลังจากที่ในกลุ่มเริ่มสงบลงแล้ว..หลิงหยุนจึงพิมพ์บอกกับทุกคนว่า
–ทุกคนตั้งใจฝึกให้ดี..ใครที่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้เป็นคนแรก ข้าจะมีรางวัลให้!-
หลิงหยุนพบว่า..การเข้ากลุ่มแชทที่ตี้เสี่ยวอู๋สร้างขึ้นนั้น ทำให้เขาสามารถสื่อสาร และแนะนำการฝึกฝนให้แก่ศิษย์สำนักหมอสวรรค์ได้ค่อนข้างสะดวกง่ายดายมากยิ่งขึ้น..
ส่วนคนอื่นๆอย่างหลิงซิ่ว หลิงเฟิง หลิงเลี่วย หลิงซิ่ว หนิงหลิงยู่ เกาเฉินเฉิน และโม่วู๋เตา ต่างก็เข้าร่วมกลุ่มของตี้เสี่ยวอู๋ด้วย เว้นเพียงถังเมิ่ง ฉางหลิง กับฉีเสี่ยวชิงที่ไม่รู้วรยุทธ..
ถังทำสีหน้าไม่พอใจเมื่อตี้เสี่ยวอู๋ไม่ยอมดึงชื่อของตนเข้าไปในกลุ่มด้วยพร้อมกับร้องตะโกนใส่หน้าตี้เสี่ยวอู๋อย่างโมโห..
“เสี่ยวอู๋..นายจำไว้เลย!”
ตี้เสี่ยวอู๋ตอบกลับอย่างไม่แยแส..“พี่อู๋บอกว่ากลุ่มนี้ให้เฉพาะผู้ฝึกวรยุทธเข้าได้ นายฝึกรึเปล่าล่ะ”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ถังเมิ่ง.. ฉันเข้ากลุ่มนี้เพราะต้องการใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร เพื่อแนะนำการฝึกฝนให้กับทุกคนเท่านั้น มีแต่เรื่องฝึกวิชา.. นายเข้ามาจะสนุกตรงใหน”
“ได้..แต่ถ้าฉันเริ่มฝึกวรยุทธเมื่อไหร่ พี่ต้องให้ฉันเข้ากลุ่มด้วยนะ”
“ไม่มีปัญหา..”หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ
จากนั้นหลิงหยุนก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังต้องห้ามต่อ..ในบรรดาหนุ่มสาวทั้งสิบสองคน มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่ยังไม่เคยมาเที่ยวพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ ซึ่งก็คือ.. หลิงหยุน หนิงหลิงยู่ ตี้เสี่ยวอู๋ โม่วู๋เตา และฉีเสี่ยวชิง
พระราชวังต้องห้ามนี้เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปักกิ่ง..
พระราชวังต้องห้ามนี้ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมจีนโบราณมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 720,000 ตารางเมตร หรือ 450 ไร่ ภายในมีหอย่อยๆ ขนาดต่างๆ อยู่อีกถึง 980 หลัง และมีห้องรวมกันทั้งหมดถึง 9,999 ห้อง และนี่คือพระราชวังซึ่งเป็นที่อยู่ขององค์จักรพรรดิ!
เมื่อสิบวันก่อนหน้านี้ที่เกาเฉินเฉินนำของหมั้นหมายมาที่ตระกูลหลิงนั้นระหว่างที่ทั้งคู่เข้าหอกันนั้น หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงปราณราชามังกรจำนวนมากที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเตียงมังกร..
เพียงแค่เตียงมังกรยังน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนั้นแล้วพระราชวังต้องห้ามที่ใหญ่โตนี่เล่า จะน่าอัศจรรย์มากเพียงใด!
หลิงหยุนตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะให้รถแล่นไปถึงที่ตั้งของพระราชวังต้องห้ามโดยเร็ว..
เพราะแม้กระทั่งเมื่อเขาอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิงด้วยอานุภาพของค่ายกลหลุมพลัง ที่ดูดเอาพลังชีวิตโดยรอบเข้ามารวมไว้นั้น เขายังสัมผัสได้ถึงปราณราชามังกร เพียงแต่เป็นปริมาณที่น้อยมากเท่านั้น..
นั่นเพราะภายในบริเวณพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ก็มีการสร้างค่ายกลไว้เช่นกันอีกทั้งยังเป็นค่ายกลที่ใช้กักเก็บปราณราชามังกร ที่มีอานุภาพแข็งแกร่งกว่าค่ายกลหลุมพลังของหลิงหยุนหลายเท่านัก!
พระราชวังต้องห้ามนี้ตั้งอยู่ในบริเวณถนนวงแหวนที่สองและนี่คือเหตุผลที่หลิงหยุนไม่หลีกเลี่ยง และพยายามที่จะไม่ย่างกรายเข้าใกล้แถบถนนวงแหวนแห่งนี้
นั่นเพราะหลิงหยุนรู้ว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก..
แต่ยิ่งเป็นสถานที่ที่ห้ามผู้คนเข้ามากเพียงใดหลิงหยุนก็ยิ่งต้องการเข้าไปสำรวจมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่เพียงเพราะชื่อพระราชวังต้องห้าม แต่ยังมีเหตุผลที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งก็คือสุสานใต้ดินซึ่งอยู่ใต้พระราชวังแห่งนี้นั่นเอง..
โม่วู๋เตาเคยบอกกับเขาว่า..ด้านล่างของพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ มีสุสานใต้ดินอยู่ด้านล่าง ทำให้หลิงหยุนสนใจที่อยากจะมาสำรวจยิ่งนัก!
เพราะพระราชวังต้องห้ามที่เก่าแก่นี้ไม่เพียงมีประวัติยาวนานถึงห้าร้อยปี แต่ยังเป็นดินแดนขององค์จักรพรรดิถึงสองราชวงศ์เลยทีเดียว เช่นนี้แล้ว.. จะไม่มีสุสานใต้ดินได้อย่างไรกัน
หลิงหยุนในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกลหลังจากที่ได้เห็นแผนผังทั่วเมืองปักกิ่งแล้ว ทำให้เขาได้รู้ว่าทั่วทั้งเมืองปักกิ่งนั้นได้มีการวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ และพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ก็คือศูนย์กลางของค่ายกลทั้งหมด แต่ยังไม่ใช่ดวงตาค่ายกล และหลิงหยุนเชื่อว่าดวงตาค่ายกลจะต้องอยู่ที่สุสานใต้ดินของพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้อย่างแน่นอน!
นอกเหนือจากโม่วู๋เตาแล้วที่อยากรู้อยากเห็นอย่างมากแล้วหลิงหยุนเองก็อยากรู้อยากเห็นมากเช่นเดียวกัน!
รถบัสค่อยๆขับมุ่งหน้าผ่านถนนวงแหวนที่สี่.. ถนนวงแหวนที่สาม.. และในที่สุดก็มาถึงถนนวงแหวนที่สองจนได้..
ไม่ช้า..รถบัสตระกูลหลิงก็มาถึงถนนที่โด่งดังที่สุดในเมืองปักกิ่ง และยิ่งเข้าใกล้พระราชวังต้องห้ามมากเท่าไหร่ สีหน้าของหลิงหยุนก็ยิ่งเปลี่ยนไปมากเท่านั้น
นั่นเพราะยิ่งเข้าใกล้พระราชวังต้องห้ามากเท่าไหร่รัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนกลับยิ่งหดเล็กลงเรื่อยๆ
“ปิดกั้นจิตหยั่งรู้ด้วยงั้นรึ!ช่างเป็นค่ายกลที่มีอานุภาพล้ำเลิศยิ่งนัก!”
…..
“เอาล่ะ..จอดรถที่นี่เลย พวกเราลงกันได้แล้ว!”
ทันทีที่จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนถูกบีบให้ลดรัศมีในการรับรู้หดลงเหลือเพียงแค่สิบเมตรเสียงร้องตะโกนของหลิงซิ่วที่สั่งให้คนขับรถหยุดก็ดังขึ้น แล้วทุกคนก็พากันเดินลงจากรถทันที
“เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ!”
ทันทีที่ลงจากรถบัสหลิงหยุนก็หมุนไปรอบตัวพร้อมกับสำรวจไปทั่วทั้งบริเวณ และร้องอุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจ..
แม้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะมีรัศมีการรับรู้เหลือเพียงแค่สิบเมตรเท่านั้นแต่ก็นับว่ายังดีกว่าการมองด้วยตาเปล่า และนับว่าโชคดีที่ค่ายกลภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้จำกัดเพียงแค่ขอบเขตของจิตหยั่งรู้เท่านั้น แต่ไม่ส่งผลกับประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์..
หลิงหยุนดูสนอกสนใจสิ่งรอบตัวไปเสียหมดและเพียงแค่กวาดตามองไปรอบๆ เขาก็สามารถเห็นทุกอย่างได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และไกลกว่าสายตาของคนธรรมดาทั่วไปมากนัก..
“ช่างใหญ่โตมากเหลือเกิน!”
ทันทีที่โม่วู๋เตาลงจากรถบัสก็รีบเดินตรงเข้าไปยืนข้างหลิงหยุน พร้อมกับกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ บริเวณทันทีเช่นกัน ทั้งสีหน้า ท่าทาง แววตา และน้ำเสียงของโม่วู๋เตานั้น บ่งบอกว่าเขากำลังตื่นเต้นอย่างที่สุด!
“หลิงหยุน..จิตหยั่งรู้ของข้าหายไปแล้ว ของเจ้าล่ะ!” โม่วู๋เตาที่กำลังยืนสำรวจอยู่ข้างๆหลิงหยุนนั้นถึงกับร้องถามออกมาด้วยความตกใจ..
“ของข้าเองก็หดเหลือเพียงแค่สิบเมตรเท่านั้นแต่ก็นับว่าดีกว่าเจ้าที่ไม่เหลือเลย..”
หลิงหยุนตอบโม่วู๋เตากลับไปด้วยเสียงที่ไม่ดังนักจากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมกับร้องบอกไปว่า
“เข้าไปดูข้างในกันดีกว่า!”
“เย้!ไปกัน..”
เสียงร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจและกลุ่มของหลิงหยุนทั้งสิบสองคนก็พากันเดินมุ่งหน้าไปยังพระราชวังต้องห้ามพร้อมๆกัน..
ในระหว่างทางที่เดินเข้าไปนั้นก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ มาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสี่ยงที่สุดแห่งนี้ของเมืองปักกิ่งเช่นกัน และเวลานี้ธงชาติจีนที่ปักอยู่ด้านบน ก็กำลังโบกสะบัดไปมาอย่างสง่างาม..
“มีคนมาเที่ยวที่นี่มากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
โม่วู๋เตาร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจระหว่างทางที่เดินไปนั้นก็หยุดมองโน่นมองนี่รอบๆตัวไปด้วย แต่ท้ายที่สุดสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่พื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ตรงหน้า..
หลิงหยุนเองก็กำลังสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัวเช่นกันแต่เขาไม่ได้สนใจผู้คนจำนวนมากที่มาท่องเที่ยว สายตาของหลิงหยุนจับจ้องอยู่ที่อนุสาวรีย์วีรชนขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า หลิงหยุนจ้องมองอย่างหลงไหลอยู่นาน..
–เจ้าเห็นเป็นเช่นใดบ้าง-
โม่วู๋เตาเองก็กำลังจ้องอนุสาวรีย์ที่สง่างามนี้อยู่จึงได้เอ่ยถามหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิต
หลิงหยุนตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล–เป็นที่แน่!-
โม่วู๋เตาเอ่ยชม–สายตาของเจ้าแหลมคมทีเดียว..-
หลิงซิ่วเห็นหลิงหยุนกับโม่วู๋เตายืนจ้องมองพื้นที่จตุรัสขนาดใหญ่นี้อยู่นานและคล้ายกับกำลังสื่อสารกันผ่านกระแสจิตอยู่ จึงได้แต่ถามขึ้นว่า
“พวกเจ้าสองคนชอบที่นี่งั้นรึ!ถ้าเช่นนั้นจะเดินดูให้ละเอียดอีกหน่อยก็ได้..”
หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ไม่ล่ะ.. แค่ดูผ่านๆก็เพียงพอแล้ว เพราะเป้าหมายของข้าไม่ใช่ที่นี่..”
“พวกเราไปพระราชวังต้องห้ามกันดีกว่า..”
หลิงซิ่วนั่งลงตรงที่นั่งด้านหน้าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและไม่ลืมที่จะหันไปบอกกับทุกคนในรถ
“นี่..บนรถมีสัญญาณ wifi ด้วย ความเร็วสุดยอดเชียวล่ะ!”
โม่วู๋เตาร้องออกมาอย่างดีอกดีใจ“พี่สาว.. น่าจะบอกพวกเราก่อนหน้านี้!” จากนั้นก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองออกมาเล่นทันที..
ตั้งแต่โม่วู๋เตาลงจากเขามาและได้โทรศัพท์มือถือตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่จิงฉู เขาก็เอาแต่ท่องโลกอินเทอร์เน็ต และเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากในนั้น หากเทียบกับการฝึกฝนวิชาแล้ว โม่วู๋เตาชอบที่จะท่องโลกอินเทอร์เน็ตเสียมากกว่า..
หลิงซวี่ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังโม่วู๋เตาค่อยๆลุกขึ้นยืน และชะโงกหน้าไปมองโม่วู๋เตา พร้อมกับถามขึ้นว่า
“พี่วู๋เตา..ท่านเป็นนักพรต วันๆเอาแต่ท่องโลกอินเทอร์เน็ตเช่นนี้ได้ด้วยรึ!”
หลิงหุยนได้ยินหลิงซวี่ถามโม่วู๋เตาออกไปเช่นนั้นก็ถึงกับกลั้นหัวเราะไว้จนน้ำตาไหล..
โม่วู๋เตานั้นไม่เพียงเป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตหลิงหยุนไว้แต่ยังช่วยชีวิตของหลิงเสี่ยวซึ่งเป็นพ่อของตนกับหลิงซวี่ด้วย ดังนั้น.. โม่วู๋เตาที่อยู่ในบ้านตระกูลหลิงมานาน จึงค่อนข้างสนิทสนมกับทายาทรุ่นเล็กของตระกูลหลิงราวกับพี่น้องทีเดียว..
“ข้าเป็นห่วงประเทศชาติต่างห่างเล่า..เจ้าจะไปรู้อะไร!”
โม่วู๋เตาตอบหลิงซิ่วอย่างขอไปทีพร้อมกับโบกไม้โบกมือไล่.. ส่วนถังเมิ่งนั้นเมื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาได้ก็รีบเข้าไปดูงานในกลุ่มแชทของบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นทันที ระหว่างนั้นก็เอ่ยถามหลิงหยุนว่า
“พี่หยุน..ฉันจะดึงพี่เข้ากลุ่มเอามั๊ย”
หลิงหยุนถามขึ้นทันที..“กลุ่มอะไร!”
หลังจากความฝันเสมือนจริงในคืนนั้น..ความทรงจำของหลิงหยุนในโลกนี้ก็ได้หลอมรวมเข้ากับหลิงหยุนคนปัจจุบัน ทำให้เขาสามารถเข้าใจเทคโนโลยีสมัยใหม่ขึ้นมาก และไม่ได้รู้สึกแปลกใจในเรื่องกลุ่มแชทที่ถังเมิ่งพูดถึง..
เพียงแต่ตลอดหลายเดือนมานี้..หลิงหยุนเอาแต่ทุ่มเทให้กับการฝึกวิชา จนไม่มีเวลาที่จะสนใจกับสิ่งใหม่ๆบนโลกใบนี้ อีกทั้งในใจส่วนลึกของเขานั้น ก็ยังรู้สึกต่อต้านสิ่งเหล่านี้อยู่ด้วย..
นั่นเพราะหลิงหยุนมาจากโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่..โลกที่เจริญรุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยีทันสมัยนี้ จึงเป็นเพียงที่อยู่ชั่วคราวของเขาเท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง และถาวรของตน!
หลิงหยุนต้องอาศัยพลังชีวิตในโลกนี้เพื่อฝึกฝนให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ และโลกใบนี้ก็เป็นเพียงแค่ทางผ่านของเขาเท่านั้น..
ต่างจากโม่วู๋เตาซึ่งโตมาในสำนักเหมาซานบนเขาสูงเมื่อได้เข้ามาอยู่ในเมืองที่รุ่งเรืองเต็มไปด้วยแสงสี และเทคโนโลยีเช่นนี้ จึงอยากจะรู้เห็นไปเสียหมด ผิดกับหลิงหยุนที่มักจะหลบไปหาสถานที่สงบเงียบเพื่อฝึกวิชา..
แต่ถึงกระนั้น..ความคิดและมุมมองที่มีต่อเทคโนโลยีบนโลกใบนี้ของหลิงหยุนก็ได้เปลี่ยนไปมาก ทุกวันนี้เขายอมที่จะดูทีวี ใช้ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ และเครื่องบิน..
เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากนัก..ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย เหตุใดเขาจึงต้องปฏิเสธด้วยเล่า
“จะกลุ่มอะไรอีกล่ะพี่หยุน!ก็กลุ่มผู้บริหารบริษัทเทียนตี้คอร์ปอเรชั่นยังไงล่ะ.. พี่เป็นเจ้าของกิจการนะ!”
“ตอนนี้ในกลุ่มก็มีสมาชิกอยู่เป็นร้อยคนแล้วพี่อยากจะเข้ากลุ่มมั๊ย”
“ไม่..นี่นายยังคิดว่าฉันยุ่งไม่พออีกหรือยังไง”
เวลานี้หลิงหยุนกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังต้องห้ามในโทรศัพท์มือถืออยู่จึงรีบปฏิเสธคำชวนของถังเมิ่งทันที
ถังเมิ่งหันมาค้อนให้หลิงหยุนก่อนจะพูดออกไปอย่างเหนื่อยหน่าย “หึ.. วันๆคงยุ่งอยู่แต่กับการใช้เงินน่ะสิ!”
ทุกคนในรถได้ยินคำพูดของถังเมิ่งต่างก็พากันหัวเราะออกมาเสียงดัง..
“นี่..นายบอกเฉินเจี้ยนเตาให้เปลี่ยนชื่อบริษัทได้แล้ว” หลิงหยุนบอกกับถังเมิ่ง
“อะไรกันพี่หยุน!บริษัท เทียนตี้ คอร์ปอเรชั่น เพิ่งจะเปิดไปเมื่อวันที่ 8 เดือน 8 พรุ่งนี้เพิ่งจะครอบรอบหนึ่งเดือน พี่จะให้ฉันเปลี่ยนชื่อบริษัทแล้วเหรอ?!”
“นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด..”
หลิงหยุนอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ..“ต่อไปบริษัท เทียนตี้ คอร์ปอเรชั่น ก็จะต้องเป็นของตระกูลหลิง ถ้านายอยากให้บริษัทเติบโตได้เร็ว และมั่นคง ก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นกลุ่มบริษัทตระกูลหลิง!”
“ใช่..จริงด้วย!”
ถังเมิ่งร้องออกมาอย่างเห็นด้วย..ในขณะที่หลิงซิ่วกลับไม่เห็นด้วย และรีบแสดงความคิดเห็นของตนด้วยสีหน้า และน้ำเสียงจริงจัง
“นี่หลิงหยุน..บริษัท เทียนตี้ คอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทที่เจ้าก่อตั้งขึ้นมาด้วยตัวเอง จะนำมาเป็นของตระกูลหลิงได้อย่างไรกัน!”
“แม้พวกเราตระกูลหลิงจะรักใคร่กลมเกลียวกันแต่ของตระกูลก็คือของตระกูล ของส่วนตัวก็คือของส่วนตัว เจ้าไม่ควรสับสนนำมารวมกันเช่นนี้!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ในฐานะผู้นำตระกูลหลิง.. ข้าต้องการทำเช่นนี้ไม่ได้รึ”
หลิงซิ่วได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับเดือดดาลนางลุกขึ้นยืนและเดินตรงเข้าไปหาหลิงหยุน พร้อมกับเอื้อมมือไปดึงหูของเขา และตอบโต้กลับไปด้วยความโมโห
“เจ้าเด็กตัวแสบ..นี่เจ้ากล้าอ้างฐานะผู้นำตระกูลหลิงมาข่มขู่ข้าเชียวรึ!”
“พี่หลิงซิ่ว..ข้าไม่กล้าแล้ว! ข้าแค่หยอกเย้าเจ้าเล่นเท่านั้น!” หลิงหยุนรีบร้องขอความเมตตาทันที
หลิงซิ่วดึงมือกลับมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าเด็กแสบ.. ข้าขอบอกไว้เลยว่าต่อให้เจ้าไปถามความเห็นของท่านปู่ ท่านลุงสอง และลุงสาม ก็จะไม่มีใครเห็นด้วยกับเจ้าเป็นแน่!”
“แต่หากเจ้าต้องการจะเปลี่ยนชื่อบริษัทจริงข้าแนะนำให้เจ้าเปลี่ยนเป็น หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่นแทนจะดีกว่า!” “ข้าเห็นด้วย!”
โม่วู๋เตาเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือพร้อมกับร้องตะโกนแสดงความคิดเห็นสนับสนุนหลิงซิ่ว..
ถังเมิ่งเองก็เห็นด้วยเช่นกัน“ก็ดีนะพี่หยุน.. ในเมื่อเราก็มีอาคารหลิงหยุนแล้ว ก็เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นหลิงหยุนคอร์ปอเรชั่นด้วยเลย!”
และการใช้ชื่อบริษัทหลิงหยุน คอร์ปอเรชั่น ซึ่งมีชื่อของหลิงหยุนอยู่นั้น ก็จะทำให้การทำธุรกิจราบรื่นมากยิ่งขึ้น เพราะคงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะกล้าสร้างปัญหาให้เป็นแน่..
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็ตอบไปว่า “ตกลง.. เปลี่ยนเป็นบริษัท หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่น..”
ตี้เสี่ยวอู๋ที่นั่งนิ่งอยู่นานได้พูดขึ้นว่า“พี่หยุน.. ฉันก็เห็นด้วยกับชื่อนี้!”
“ว่าแต่พี่มาเข้ากลุ่มของฉันดีกว่า..เป็นกลุ่มสำนักหมอสวรรค์!”
ตี้เสี่ยวอู๋สร้างกลุ่มแชทในQQ ขึ้น เพื่อให้สะดวกต่อการติดต่อกับศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้ง 72 คน..
“ได้..นายดึงฉันเข้ากลุ่มได้เลย..”
“…..”
ถังเมิ่งได้แต่อึ้งแล้วจึงร้องโวยวายออกมาอย่างไม่พอใจ “พีหยุน.. ทีเรื่องฝึกเรื่องเล่นพี่ก็สนใจขึ้นมาเลย!”
หลิงหยุนกับตี้เสี่ยวอู๋หัวเราะออกมาเสียงดังและไม่มีใครสนใจถังเมิ่งอีกเลย..
ทันทีที่ตี้เสี่ยวอู๋ถึงหลิงหยุนเข้ากลุ่มข้อความในแชทก็เด้งขึ้นมารัวๆ
–พี่หยุนเข้ามา..-
–ทุกคน..เข้ามาทักทายลูกพี่เร็วเข้า!-
–พี่หยุนจริงๆด้วย!-
–พี่อู๋สุดยอด..ดึงพี่หยุนเข้ากลุ่มจนได้!-
หลังจากที่ในกลุ่มเริ่มสงบลงแล้ว..หลิงหยุนจึงพิมพ์บอกกับทุกคนว่า
–ทุกคนตั้งใจฝึกให้ดี..ใครที่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้เป็นคนแรก ข้าจะมีรางวัลให้!-
หลิงหยุนพบว่า..การเข้ากลุ่มแชทที่ตี้เสี่ยวอู๋สร้างขึ้นนั้น ทำให้เขาสามารถสื่อสาร และแนะนำการฝึกฝนให้แก่ศิษย์สำนักหมอสวรรค์ได้ค่อนข้างสะดวกง่ายดายมากยิ่งขึ้น..
ส่วนคนอื่นๆอย่างหลิงซิ่ว หลิงเฟิง หลิงเลี่วย หลิงซิ่ว หนิงหลิงยู่ เกาเฉินเฉิน และโม่วู๋เตา ต่างก็เข้าร่วมกลุ่มของตี้เสี่ยวอู๋ด้วย เว้นเพียงถังเมิ่ง ฉางหลิง กับฉีเสี่ยวชิงที่ไม่รู้วรยุทธ..
ถังทำสีหน้าไม่พอใจเมื่อตี้เสี่ยวอู๋ไม่ยอมดึงชื่อของตนเข้าไปในกลุ่มด้วยพร้อมกับร้องตะโกนใส่หน้าตี้เสี่ยวอู๋อย่างโมโห..
“เสี่ยวอู๋..นายจำไว้เลย!”
ตี้เสี่ยวอู๋ตอบกลับอย่างไม่แยแส..“พี่อู๋บอกว่ากลุ่มนี้ให้เฉพาะผู้ฝึกวรยุทธเข้าได้ นายฝึกรึเปล่าล่ะ”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ถังเมิ่ง.. ฉันเข้ากลุ่มนี้เพราะต้องการใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร เพื่อแนะนำการฝึกฝนให้กับทุกคนเท่านั้น มีแต่เรื่องฝึกวิชา.. นายเข้ามาจะสนุกตรงใหน”
“ได้..แต่ถ้าฉันเริ่มฝึกวรยุทธเมื่อไหร่ พี่ต้องให้ฉันเข้ากลุ่มด้วยนะ”
“ไม่มีปัญหา..”หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ
จากนั้นหลิงหยุนก็เริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังต้องห้ามต่อ..ในบรรดาหนุ่มสาวทั้งสิบสองคน มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่ยังไม่เคยมาเที่ยวพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ ซึ่งก็คือ.. หลิงหยุน หนิงหลิงยู่ ตี้เสี่ยวอู๋ โม่วู๋เตา และฉีเสี่ยวชิง
พระราชวังต้องห้ามนี้เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองปักกิ่ง..
พระราชวังต้องห้ามนี้ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมจีนโบราณมีพื้นที่ครอบคลุมถึง 720,000 ตารางเมตร หรือ 450 ไร่ ภายในมีหอย่อยๆ ขนาดต่างๆ อยู่อีกถึง 980 หลัง และมีห้องรวมกันทั้งหมดถึง 9,999 ห้อง และนี่คือพระราชวังซึ่งเป็นที่อยู่ขององค์จักรพรรดิ!
เมื่อสิบวันก่อนหน้านี้ที่เกาเฉินเฉินนำของหมั้นหมายมาที่ตระกูลหลิงนั้นระหว่างที่ทั้งคู่เข้าหอกันนั้น หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงปราณราชามังกรจำนวนมากที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเตียงมังกร..
เพียงแค่เตียงมังกรยังน่าอัศจรรย์ถึงเพียงนั้นแล้วพระราชวังต้องห้ามที่ใหญ่โตนี่เล่า จะน่าอัศจรรย์มากเพียงใด!
หลิงหยุนตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะให้รถแล่นไปถึงที่ตั้งของพระราชวังต้องห้ามโดยเร็ว..
เพราะแม้กระทั่งเมื่อเขาอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิงด้วยอานุภาพของค่ายกลหลุมพลัง ที่ดูดเอาพลังชีวิตโดยรอบเข้ามารวมไว้นั้น เขายังสัมผัสได้ถึงปราณราชามังกร เพียงแต่เป็นปริมาณที่น้อยมากเท่านั้น..
นั่นเพราะภายในบริเวณพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ก็มีการสร้างค่ายกลไว้เช่นกันอีกทั้งยังเป็นค่ายกลที่ใช้กักเก็บปราณราชามังกร ที่มีอานุภาพแข็งแกร่งกว่าค่ายกลหลุมพลังของหลิงหยุนหลายเท่านัก!
พระราชวังต้องห้ามนี้ตั้งอยู่ในบริเวณถนนวงแหวนที่สองและนี่คือเหตุผลที่หลิงหยุนไม่หลีกเลี่ยง และพยายามที่จะไม่ย่างกรายเข้าใกล้แถบถนนวงแหวนแห่งนี้
นั่นเพราะหลิงหยุนรู้ว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก..
แต่ยิ่งเป็นสถานที่ที่ห้ามผู้คนเข้ามากเพียงใดหลิงหยุนก็ยิ่งต้องการเข้าไปสำรวจมากขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่เพียงเพราะชื่อพระราชวังต้องห้าม แต่ยังมีเหตุผลที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งก็คือสุสานใต้ดินซึ่งอยู่ใต้พระราชวังแห่งนี้นั่นเอง..
โม่วู๋เตาเคยบอกกับเขาว่า..ด้านล่างของพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ มีสุสานใต้ดินอยู่ด้านล่าง ทำให้หลิงหยุนสนใจที่อยากจะมาสำรวจยิ่งนัก!
เพราะพระราชวังต้องห้ามที่เก่าแก่นี้ไม่เพียงมีประวัติยาวนานถึงห้าร้อยปี แต่ยังเป็นดินแดนขององค์จักรพรรดิถึงสองราชวงศ์เลยทีเดียว เช่นนี้แล้ว.. จะไม่มีสุสานใต้ดินได้อย่างไรกัน
หลิงหยุนในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกลหลังจากที่ได้เห็นแผนผังทั่วเมืองปักกิ่งแล้ว ทำให้เขาได้รู้ว่าทั่วทั้งเมืองปักกิ่งนั้นได้มีการวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ และพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้ก็คือศูนย์กลางของค่ายกลทั้งหมด แต่ยังไม่ใช่ดวงตาค่ายกล และหลิงหยุนเชื่อว่าดวงตาค่ายกลจะต้องอยู่ที่สุสานใต้ดินของพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้อย่างแน่นอน!
นอกเหนือจากโม่วู๋เตาแล้วที่อยากรู้อยากเห็นอย่างมากแล้วหลิงหยุนเองก็อยากรู้อยากเห็นมากเช่นเดียวกัน!
รถบัสค่อยๆขับมุ่งหน้าผ่านถนนวงแหวนที่สี่.. ถนนวงแหวนที่สาม.. และในที่สุดก็มาถึงถนนวงแหวนที่สองจนได้..
ไม่ช้า..รถบัสตระกูลหลิงก็มาถึงถนนที่โด่งดังที่สุดในเมืองปักกิ่ง และยิ่งเข้าใกล้พระราชวังต้องห้ามมากเท่าไหร่ สีหน้าของหลิงหยุนก็ยิ่งเปลี่ยนไปมากเท่านั้น
นั่นเพราะยิ่งเข้าใกล้พระราชวังต้องห้ามากเท่าไหร่รัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนกลับยิ่งหดเล็กลงเรื่อยๆ
“ปิดกั้นจิตหยั่งรู้ด้วยงั้นรึ!ช่างเป็นค่ายกลที่มีอานุภาพล้ำเลิศยิ่งนัก!”
…..
“เอาล่ะ..จอดรถที่นี่เลย พวกเราลงกันได้แล้ว!”
ทันทีที่จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนถูกบีบให้ลดรัศมีในการรับรู้หดลงเหลือเพียงแค่สิบเมตรเสียงร้องตะโกนของหลิงซิ่วที่สั่งให้คนขับรถหยุดก็ดังขึ้น แล้วทุกคนก็พากันเดินลงจากรถทันที
“เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ!”
ทันทีที่ลงจากรถบัสหลิงหยุนก็หมุนไปรอบตัวพร้อมกับสำรวจไปทั่วทั้งบริเวณ และร้องอุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจ..
แม้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะมีรัศมีการรับรู้เหลือเพียงแค่สิบเมตรเท่านั้นแต่ก็นับว่ายังดีกว่าการมองด้วยตาเปล่า และนับว่าโชคดีที่ค่ายกลภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้จำกัดเพียงแค่ขอบเขตของจิตหยั่งรู้เท่านั้น แต่ไม่ส่งผลกับประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์..
หลิงหยุนดูสนอกสนใจสิ่งรอบตัวไปเสียหมดและเพียงแค่กวาดตามองไปรอบๆ เขาก็สามารถเห็นทุกอย่างได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และไกลกว่าสายตาของคนธรรมดาทั่วไปมากนัก..
“ช่างใหญ่โตมากเหลือเกิน!”
ทันทีที่โม่วู๋เตาลงจากรถบัสก็รีบเดินตรงเข้าไปยืนข้างหลิงหยุน พร้อมกับกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ บริเวณทันทีเช่นกัน ทั้งสีหน้า ท่าทาง แววตา และน้ำเสียงของโม่วู๋เตานั้น บ่งบอกว่าเขากำลังตื่นเต้นอย่างที่สุด!
“หลิงหยุน..จิตหยั่งรู้ของข้าหายไปแล้ว ของเจ้าล่ะ!” โม่วู๋เตาที่กำลังยืนสำรวจอยู่ข้างๆหลิงหยุนนั้นถึงกับร้องถามออกมาด้วยความตกใจ..
“ของข้าเองก็หดเหลือเพียงแค่สิบเมตรเท่านั้นแต่ก็นับว่าดีกว่าเจ้าที่ไม่เหลือเลย..”
หลิงหยุนตอบโม่วู๋เตากลับไปด้วยเสียงที่ไม่ดังนักจากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมกับร้องบอกไปว่า
“เข้าไปดูข้างในกันดีกว่า!”
“เย้!ไปกัน..”
เสียงร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจและกลุ่มของหลิงหยุนทั้งสิบสองคนก็พากันเดินมุ่งหน้าไปยังพระราชวังต้องห้ามพร้อมๆกัน..
ในระหว่างทางที่เดินเข้าไปนั้นก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ มาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสี่ยงที่สุดแห่งนี้ของเมืองปักกิ่งเช่นกัน และเวลานี้ธงชาติจีนที่ปักอยู่ด้านบน ก็กำลังโบกสะบัดไปมาอย่างสง่างาม..
“มีคนมาเที่ยวที่นี่มากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
โม่วู๋เตาร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจระหว่างทางที่เดินไปนั้นก็หยุดมองโน่นมองนี่รอบๆตัวไปด้วย แต่ท้ายที่สุดสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่พื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ตรงหน้า..
หลิงหยุนเองก็กำลังสำรวจสิ่งต่างๆรอบตัวเช่นกันแต่เขาไม่ได้สนใจผู้คนจำนวนมากที่มาท่องเที่ยว สายตาของหลิงหยุนจับจ้องอยู่ที่อนุสาวรีย์วีรชนขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า หลิงหยุนจ้องมองอย่างหลงไหลอยู่นาน..
–เจ้าเห็นเป็นเช่นใดบ้าง-
โม่วู๋เตาเองก็กำลังจ้องอนุสาวรีย์ที่สง่างามนี้อยู่จึงได้เอ่ยถามหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิต
หลิงหยุนตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล–เป็นที่แน่!-
โม่วู๋เตาเอ่ยชม–สายตาของเจ้าแหลมคมทีเดียว..-
หลิงซิ่วเห็นหลิงหยุนกับโม่วู๋เตายืนจ้องมองพื้นที่จตุรัสขนาดใหญ่นี้อยู่นานและคล้ายกับกำลังสื่อสารกันผ่านกระแสจิตอยู่ จึงได้แต่ถามขึ้นว่า
“พวกเจ้าสองคนชอบที่นี่งั้นรึ!ถ้าเช่นนั้นจะเดินดูให้ละเอียดอีกหน่อยก็ได้..”
หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า“ไม่ล่ะ.. แค่ดูผ่านๆก็เพียงพอแล้ว เพราะเป้าหมายของข้าไม่ใช่ที่นี่..”
“พวกเราไปพระราชวังต้องห้ามกันดีกว่า..”