ด้านนอกประตูเสินหวู่เหมิน..มัคคุเทศน์สาวหลี่เฟยกำธนบัตรสีแดงปึกใหญ่ไว้ในมือแน่น สายตาของเธอจ้องมองแผ่นหลังของหลิงหยุน และเพื่อนๆ ที่กำลังเดินจากไปด้วยความรู้สึกราวกับฝันไป..
เงินค่าทิปจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนนี้หลิงหยุนยัดลงมาในมือของหลี่เฟยโดยที่ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และนี่เป็นเงินทิปจำนวนมากที่สุดเท่าที่เธอเคยได้รับมาจากการทำอาชีพมัคคุเทศน์นี้..
“ผู้ชายคนนี้ทั้งหล่อและวิเศษมากจริงๆ!”
หลี่เฟยรำพึงรำพันออกมาด้วยใบหน้าหน้าแดงก่ำ..
หลังจากเที่ยวชมพระราชวังต้องห้ามกันเสร็จแล้วถังเมิ่งก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสั่งการเรื่องการเปลี่ยนชื่อจากบริษัท เทียนตี้ คอร์ปอเรชั่น มาเป็นบริษัท หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่นในทันที.. ในขณะที่โม่วู๋เตาก็เอาแต่ถอนหายใจไม่หยุด..ลักษณะท่าทางของเขาไม่เหมือนคนที่เพิ่งเที่ยวชมพระราชวังต้องห้ามเสร็จ แต่ดูคล้ายกับคนที่เพิ่งจะสูญเสียสมบัติล้ำค่าที่สุดไปเสียมากกว่า นั่นเพราะโม่วู๋เตากลับออกมาโดยที่ไม่สามารถหาสุสานใต้ดินภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้พบนั่นเอง การพบทางเข้าสุสานใต้ดิน ย่อมหมายถึงการที่จะได้พบสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาล แต่โม่วู๋เตาต้องกลับออกมามือเปล่าเช่นนี้ จะไม่ให้เขาโศกเศร้าผิดหวังได้อย่างไรกันเล่า!..
ส่วนตี้เสี่ยวอู๋นั้นกลับออกมาด้วยอารมณ์ปกติเหมือนก่อนเข้าไปเพราะสำหรับเขาแล้วการได้ใช้เวลาหนึ่งวันกับหลิงหยุนนั้นเป็นความตื่นเต้นที่สุดแล้ว!
ส่วนคนอื่นๆก็พูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข และกำลังปรึกษาหารือกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อดี..
มีเพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่กลับออกมาอย่างผู้ได้รับชัยชนะและเวลานี้เขาก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของตนเอง
….
หลังจากที่เดินออกมาจากพระราชวังต้องห้ามแล้วยิ่งห่างไกลจากพระราชวังแห่งนี้มากเท่าไหร่ จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็ยิ่งขยายรัศมีกว้างได้มากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น นั่นเพราะค่ายกลครอบคลุมเพียงแค่เฉพาะบริเวณพื้นที่ของพระราชวังต้องห้ามเท่านั้น เมื่อหลิงหยุนออกห่างจากตัวพระราชวัง ค่ายกลจึงมีผลกับจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนลดลงเรื่อยๆ
ความรู้สึกหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับหลิงหยุนมากขึ้นก็คือจิตหยั่งรู้ของเขานั้นมีความคมชัด และแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก..
หลิงหยุนพบว่า..ไม่ว่าภาพที่อยู่ภายในรัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะอยู่ใกล้ หรือไกลตัวเขาเพียงใดนั้น ความคมชัดจะมีขนาดเท่ากัน คล้ายกับว่าอยู่ใกล้ๆตัวหลิงหยุนนี่เอง..
“ยอดเยี่ยมมากทีเดียว!”หลิงหยุนรำพึงรำพันกับตนเองเบาๆ หลังจากที่จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนสามารถขยายออกด้านนอกได้แล้วหลิงหยุนจึงได้รู้ว่าแม้ร่างกายของตนจะดูดซับเอาปราณราชามังกรเข้าไปมากมาย แต่ขั้นของตนกลับไม่พัฒนา และยังคงอยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่เช่นเดิม..
นั่นเพราะปราณราชามังกรที่ร่างกายของหลิงหยุนดูดซับเข้าไปนั้นส่วนใหญ่ถูกนำไปหลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นกระบี่จักรพรรดิมังกร และบางส่วนก็ถูกเส้นโค้งรูปมังกรทองในจุดตันเถียน ถูกพู่กันจักรพรรดิ และถูกสมุดจักรพรรดิดูดซับเข้าไป..
ครั้งนี้..หลิงหยุนได้ดูดซับเอาปราณราชามังกรอายุหลายร้อยปีที่อยู่ภายในพระราชวังต้องห้ามเข้าไป แม้จะไม่ทำให้เขาสามารถพัฒนาขั้นได้ แต่ปราณราชามังกรจำนวนมากนี้ ก็จะส่งผลที่ยิ่งใหญ่ต่อการปรับร่างกายของเขาอย่างมากที่สุด
เพื่อที่จะสร้างกระบี่จักรพรรดิมังกรขึ้นมานั้นปราณมังกร พลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิและกระบี่จักรพรรดิภายในร่างกายของหลิงหยุนก็ได้ถูกดึงไปใช้จนหมด ทำให้เวลานี้ภายในเส้นลมปราณทั่วร่างกายของหลิงหยุน เหลือเพียงแค่พลังหยิน และหยางเท่านั้น!
‘มังกรทอง’ภายในจุดตันเถียนของหลิงหยุนเวลานี้ ก็ยังคงกำลังกลืนกินพลังสายฟ้าจำนวนมากเข้าไปอย่างเชื่องช้า ทำให้สายฟ้าที่่เกาะอยู่ตามผนังด้านใน และนอกจุดตันเถียนของเขานั้นค่อยๆลดปริมาณลงเรื่อยๆ
หลังจากที่‘มังกรทอง’ ได้ดูดเอาสายฟ้าจำนวนมากเข้าไป ภายในตัวของมังกรทองก็ได้เปล่งประกายสว่างวูบวาบเป็นระยะๆ คล้ายกับอสุนีบาตบนท้องฟ้า และทำให้จุดตันเถียนของหลิงหยุนสว่างวูบวาบเป็นครั้งคราวไปด้วย..
หลังจากที่กระแสลมปราณทั้งสามชนิดภายในเส้นลมปราณทั่วร่างของหลิงหยุนถูกนำไปใช้จนหมดจุดตันเถียนของเขาจึงเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ พลังหยินหยางในดวงตาปลาหยิน และปลาหยาง ก็ได้พวยพุ่งขึ้นมาในปริมาณมากกว่าเดิม และเวลานี้ก็กระจายอยู่เต็มจุดตันเถียนของหลิงหยุน และค่อยๆ ไหลเวียนสู่เส้นลมปราณทั่วร่างของเขาต่อไป
ภายในเวลาอันรวดเร็ว..พลังหยินและหยางก็ได้ไหลเวียนไปแทนที่กระแสลมปราณทั้งสามชนิดที่หายไป
‘ข้าคงไม่ต้องกังวลกับทัณฑ์สวรรค์ที่จะเกิดขึ้นแล้วสินะ!’
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่คนเดียวเงียบๆและได้แต่นึกเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของร่างกายตนเองในเวลานี้ กับทัณฑ์สวรรค์ที่ตนจะต้องเผชิญ
สำหรับผู้บ่มเพาะตนนั้นแน่นอนว่าเมื่อเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) เมื่อใด ย่อมต้องได้เผชิญหน้ากับบททดสอบจากสวรรค์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เวลานี้ภายในเส้นลมปราณตามร่างกายของหลิงหยุนนั้นแม้จะไม่มีปราณมังกรหลงเหลืออยู่แล้ว แต่ปราณมังกรเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน มันแทรกซึมเข้าสู่กระดูก เนื้อหนังเลือด และอวัยวะภายในร่างกายของหลิงหยุน ทำให้เวลานี้ร่างกายของเขานั้นแกร่งกว่าเดิมนับสิบเท่า..
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั่วทั้งกระดูกสันหลังของหลิงหยุนเวลานี้กระดูกสันหลังทั้งยี่สิบหกข้อตั้งแต่หัวจรดท้ายได้กลายเป็นสีทอง และแข็งแกร่งราวกับทองคำแท้ กระดูกที่แข็งแกร่งเช่นนี้ย่อมสามารถที่จะรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ทั่วไปได้ไม่ยากนัก!
“กระบี่จักรพรรดิมังกรกระดูกสันหลังที่กลายเป็นทอง เส้นโค้งรูปมังกรที่มีขางอกมาทั้งสี่ขา ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่หลิงหยุนได้รับมาจากการมาเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามในครั้งนี้!”
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็อดที่จะเศร้าใจเช่นเดียวกับโม่วู๋เตาไม่ได้ที่ไม่สามารถหาทางเข้าสุสานใต้ดินได้พบ แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ยังไม่ละความพยายาม และจะหาวิธีการอื่นแทน..
–พี่ใหญ่..ฉันรู้สึกว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อีก!-
ระหว่างที่เดินออกมานั้นหนิงหลิงยู่ก็ร้องบอกหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิต
“อะไรนะ!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่นึกประหลาดใจ!
หลิงหยุนรู้ว่าหนิงหลิงยู่ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้วร่างของนางนั้นเป็นกายอัปสร จึงสามารถดูดซับเอาพลังชีวิตรอบตัวเข้าไปได้เองตลอดเวลา และเวลานี้หนิงหลิงยู่ก็กำลังที่จะเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่แล้ว..
“หลิงยู่..เวลานี้จิตหยั่งรู้ของเจ้ามีรัศมีครอบคลุมเพียงใดแล้ว”
นอกเหนือจากความเร็วในการกลั่นหยดเสินหยวนแล้วรัศมีของจิตหยั่งรู้ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดระดับของขั้นพลังชี่ได้..
“ดูเหมือนจะไกลกว่าสามพันเมตรแล้วแต่.. แต่ก็ยังจะสามารถไกลได้กว่านั้น..” หนิงหลิงยู่ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก..
ในจุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่นั้น..อยู่ห่างจากพระราชวังต้องห้ามมาราวหนึ่งเพันเมตร การสะกัดกั้นจากค่ายกลภายในพระราชวังจึงได้ลดลงมากแล้ว หลิงหยุนสามารถเปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกได้ทั้งหมด แต่ก็ครอบคลุมได้สูงสุดเพียงแค่สามกิโลเมตรเท่านั้น ในขณะที่จิตหยั่งรู้ของหนิงหลิงยู่กลับขยายออกไปได้ไกว่านั้น..
และตราบใดที่จิตหยั่งรู้ของหนิงหลิงยู่สามารถขยายออกไปจนมีรัศมีครอบคลุมได้ไกลถึงสี่กิโลเมตรแล้วล่ะก็ นางก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ได้!
นั่นย่อมหมายความว่า..หนิงหลิงยู่เองก็ย่อมต้องเผชิญกับบททดสอบจากสวรรค์อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้เช่นเดียวกัน!
“หลิงยู่..เจ้าควบคุมไว้ก่อน เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควร!”
หลิงหยุนไม่สนใจสิ่งใดเขาพุ่งเข้าไปยืนข้างหนิงหลิงยู่ พร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของหนิงหลิงยู่ไว้พร้อมกับกระซิบเสียงเบา..
ด้วยความแข็งแกร่งของหนิงหลิงยู่หลิงหยุนไม่รู้สึกกังวลใจเลยแม้แต่น้อยหากนางต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ เพียงแต่เวลานี้ยังอยู่บนถนนวงแหวนที่สองภายในเมืองปักกิ่ง หากเกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้นในที่นี้ คงจะไม่มีผู้ใดหัวเราะออกเป็นแน่!
“พี่ใหญ่..ไม่ต้องห่วง ข้าควบคุมได้แน่!”
วันนี้หนิงหลิงยู่ไม่ใช่ผู้ที่เพิ่งจะฝึกบ่มเพาะนางจึงรู้วิธีที่จะควบคุมขั้นของตนเอง..
“เยี่ยมมาก..นับจากนี้ไปเจ้าต้องคอยรายงานข้าถึงความเร็วในการกลั่นหยดเสินหยวน และรัศมีการรับรู้ของจิตหยั่งรู้ ข้าจะได้สามารถคำนวณการเกิดทัณฑ์สวรรค์ได้ถูกต้อง!”
หลิงหยุนจับมือของหนิงหลิงยู่ไว้แน่นและสัมผัสได้ว่าพลังปราณภายในร่างของนางยังคงไหลเวียนได้อย่างมั่นคง ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกันก็อดที่จะตกตะลึงกับความอัศจรรย์ของกายอัปสรไม่ได้..
“นี่หลิงหยุน..เจ้าหูตึงหรือยังไง ข้าตะโกนถามเจ้าตั้งนานว่าจะไปที่ใดต่อ เจ้ากลับไม่ตอบ!”
“พี่หลิงซิ่ว..ข้าไม่รู้จักปักกิ่งดีนัก เจ้าตัดสินใจเองได้เลย!”
หลิงหยุนร้องบอกหลิงซิ่วด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม..
“งั้นพวกเราไปช้อปปิ้งที่หวังฝูจิ่งกันดีกว่า!”
หลิงซิ่วร้องตะโกนบอกทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม..
….
ถนนหวังฝูจิ่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังต้องห้ามนักและเป็นถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองปักกิ่ง ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมทั้งใน และนอกประเทศ หรือเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของเหล่านักช้อปเลยทีเดียว.. “สาวๆทุกคน..พวกเจ้าอยากซื้ออะไรก็ช้อปกันตามสบายได้เลย ครั้งนี้หลิงหยุนเป็นเจ้ามือทั้งหมด!”
“ใช่หรือไม่หลิงหยุน!”
หลิงซิ่วร้องตะโกนบอกหนิงหลิงยู่เกาเฉินเฉิน ฉางหลิง ฉีเสี่ยวชิง และหลิงซวี่ พร้อมกับหันไปถามความเห็นของหลิงหยุนง.
“เอ่อ..”
หลิงหยุนได้แต่อ้ำอึ้งและแทบกระอักออกมาเป็นเลือด..
“อะไรกัน!เมื่อครู่เจ้ายังทิปให้ไกด์สาวไปตั้งหนึ่งหมื่นหยวน ไม่เห็นเจ้ามีสีหน้าเจ็บปวดเช่นนี้เลย!”
เมื่อหลิงซิ่วเห็นท่าทีอึกอักของหลิงหยุนจึงรีบยกมือขึ้นเท้าสะเอวพร้อมกับพูดจาประชดประชันหลิงหยุนทันที
“นี่..ข้าก็แค่เป็นห่วงว่าพวกเจ้าจะเดินช้อปปิ้งกันเหนื่อย ก็เท่านั้น!”
หลิงหยุนระล่ำระลักตอบกลับไปทันที.. จากนั้นหญิงสาวทั้งหกก็เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้กันเป็นพัลวันทั้งหมดต่างก็ช้อปปิ้งกันอย่างหนักมือ แม้แต่หนุ่มทั้งหกที่เดินตามยังถึงกับตกตะลึง
ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง..หนุ่มๆ ทั้งหกคนต่างก็ไม่ต่างจากราวเข็นของเคลื่อนที่ แต่ก็ยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น
หลังจากที่หญิงสาวทั้งหมดช้อปปิ้งอยู่บนถนนหวังฝู่จิงนานกว่าห้าชั่วโมงของที่ซื้อมาต่างก็กองพะเนินเป็นภูเขา ชายหนุ่มทั้งหกต่างก็ขนของไปหลบมุมที่ลับตาผู้คน แล้วจึงช่วยกันเรียกเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ของตนเอง..
จากนั้นทุกคนจึงขึ้นรถบัสมุ่งหน้ากลับตระกูลหลิง..
ครั้งนี้หลิงซิ่วเลือกไปนั่งข้างหลิงหยุนและในระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ถามขึ้นว่า “พี่หลิงซิ่ว.. อาคารต่างๆบนถนนหวังฝู่จิงนี้เป็นของผู้ใดงั้นรึ”
หลิงซิ่วถามขึ้นด้วยความสงสัย“เจ้าอยากจะรู้ไปทำไมกัน!”
“ข้าก็จะได้กลับไปบอกลุงสองให้จัดการซื้ออาคารเหล่านี้มาเป็นของตระกูลหลิงน่ะสิ!”
หลิงซิ่วและทุกคนในรถต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน แล้วทุกคนต่างก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ!
หลังจากที่หายตกใจหลิงซิ่วจึงยกมือขึ้นอังหน้าผากของหลิงหยุน พร้อมถามกลับไปว่า “นี่เจ้าไม่สบายใช่หรือไม่!”
ถังเมิ่งที่นั่งอยู่ข้างหลังเป็นฝ่ายตอบขึ้นมาแทนเพราะคงไม่มีใครรู้จักหลิงหยุนได้ดีไปกว่าถังเมิ่งอีกแล้ว
“พี่หยุนสบายดี!”
หลิงซิ่วจึงพูดต่อว่า“หลิงหยุน.. นี่เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ดินแถบนี้มีราคาเท่าไหร่! ที่ดินแถบนี้มีค่ายิ่งกว่าทองคำเสียอีก!”
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปทันที “หากไม่มีค่าดั่งทอง ข้ายังจะซื้อทำไมเล่า!”
หลิงซิ่วนิ่งไปครู่หนึ่งในที่สุดก็พูดขึ้นว่า“หลิงหยุน.. ที่ดินที่มีมูลค่าสูงเพียงนี้ ต่อให้เจ้าอยากซื้อ แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะยอมขาย!”
หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ“พี่หลิงซิ่ว.. ตระกูลหลิงของเราแข็งแกร่งเพียงใดในเวลานี้ หากข้าต้องการจะซื้อ พวกเขาจะไม่ขายให้เชียวรึ!”
นี่นับเป็นครั้งแรกที่หลิงซิ่วเห็นความดื้อรั้นและยะโสโอหังที่แท้จริงของหลิงหยุน!
แต่หลิงหยุนไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นเขาพูดต่อว่า “ไม่เพียงที่นี่เท่านั้น! ที่ใดก็ตามในปักกิ่งที่เป็นแหล่งทำเงิน จะต้องเป็นของตระกูลหลิงเรา!”
“ฉันเห็นด้วยกับพี่หยุน!”ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
ในขณะที่โม่วู๋เตาพูดเพียงแค่สั้นๆ“เจ้าคงเสียสติไปแล้ว!”
“ได้..กลับถึงบ้านแล้วข้าจะพูดเรื่องนี้กับท่านพ่อเอง!” หลิงซิ่วตอบกลับหลิงหยุน
…. ผ่านไปราวชั่วโมงครึ่ง..รถบัสคันหรูก็เลี้ยวเข้าสู่คฤหาสน์ตระกูลหลิง
ทันทีที่ลงจากรถหลิงหยุนก็มองหาพื้นที่ว่าง จากนั้นจึงจัดการเรียกสิ่งของทั้งหมดที่อยู่ในแหวนพื้นที่ออกมากองไว้ พร้อมกับร้องบอกหลิงซิ่วให้มาจัดการ
จากนั้นหลิงหยุนถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ และโม่วู๋เตา ทั้งสี่หนุ่มต่างก็กำลังหาข้ออ้างที่จะออกไปข้างนอกกันต่อ..
“นี่พวกเจ้าทั้งสี่คนจะออกไปไหนกันอีกงั้นรึ!”
หลิงซิ่วร้องถามออกมาด้วยความสงสัยหลิงหยุนจึงตอบกลับไปทันที..
“ข้าก็จะไปรับเงินแล้วก็ไปจัดการเรื่องการแต่งงานของเจ้าน่ะสิ!”
หลิงซิ่วได้ฟังถึงกับหน้าแดงและร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห “เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน! เงินอะไร?! แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องการแต่งงานของข้าด้วย?!” “เย่เทียนสุ่ยติดหนี้เดิมพันข้าหนึ่งหมื่นห้าพันล้านหยวนน่ะสิ!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ขยิบตาให้กับหลิงซิ่วพร้อมกับเล่าเรื่องข้อเสนอของเย่เทียนสุ่ยให้หลิงซิ่วฟัง..
“ฝันไปเถิด!”
หลิงซิ่วร้องตะโกนออกมาอย่างโมโหเมื่อได้รู้ว่าหลิงห่าวกู้เงินจากเย่เทียนสุ่ย ด้วยข้อเสนอให้หลิงซิ่วแต่งงานกับเขา..
“หลิงหยุน..เจ้าฟังข้าให้ดี!”
“หากเจ้าหมูอ้วนนั่นยังกล้าคิดชั่วกับข้าเช่นนั้นอีกเจ้าจะใช้วิธีใดก็ได้ ทำให้มันน้ำหนักลดในคราวเดียวหนึ่งร้อยกิโลกรัม..”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับตอบไปว่า “ก็แค่ตัดขาทั้งสองข้างของมันออก.. ง่ายจะตายไป!”
จากนั้น..หลิงหยุนกับชายหนุ่มทั้งสามคนก็ขึ้นรถหรูสีดำขับออกไปทันที!
เงินค่าทิปจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนนี้หลิงหยุนยัดลงมาในมือของหลี่เฟยโดยที่ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และนี่เป็นเงินทิปจำนวนมากที่สุดเท่าที่เธอเคยได้รับมาจากการทำอาชีพมัคคุเทศน์นี้..
“ผู้ชายคนนี้ทั้งหล่อและวิเศษมากจริงๆ!”
หลี่เฟยรำพึงรำพันออกมาด้วยใบหน้าหน้าแดงก่ำ..
หลังจากเที่ยวชมพระราชวังต้องห้ามกันเสร็จแล้วถังเมิ่งก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสั่งการเรื่องการเปลี่ยนชื่อจากบริษัท เทียนตี้ คอร์ปอเรชั่น มาเป็นบริษัท หลิงหยุน คอร์ปอเรชั่นในทันที.. ในขณะที่โม่วู๋เตาก็เอาแต่ถอนหายใจไม่หยุด..ลักษณะท่าทางของเขาไม่เหมือนคนที่เพิ่งเที่ยวชมพระราชวังต้องห้ามเสร็จ แต่ดูคล้ายกับคนที่เพิ่งจะสูญเสียสมบัติล้ำค่าที่สุดไปเสียมากกว่า นั่นเพราะโม่วู๋เตากลับออกมาโดยที่ไม่สามารถหาสุสานใต้ดินภายในพระราชวังต้องห้ามแห่งนี้พบนั่นเอง การพบทางเข้าสุสานใต้ดิน ย่อมหมายถึงการที่จะได้พบสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาล แต่โม่วู๋เตาต้องกลับออกมามือเปล่าเช่นนี้ จะไม่ให้เขาโศกเศร้าผิดหวังได้อย่างไรกันเล่า!..
ส่วนตี้เสี่ยวอู๋นั้นกลับออกมาด้วยอารมณ์ปกติเหมือนก่อนเข้าไปเพราะสำหรับเขาแล้วการได้ใช้เวลาหนึ่งวันกับหลิงหยุนนั้นเป็นความตื่นเต้นที่สุดแล้ว!
ส่วนคนอื่นๆก็พูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข และกำลังปรึกษาหารือกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนต่อดี..
มีเพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่กลับออกมาอย่างผู้ได้รับชัยชนะและเวลานี้เขาก็รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายของตนเอง
….
หลังจากที่เดินออกมาจากพระราชวังต้องห้ามแล้วยิ่งห่างไกลจากพระราชวังแห่งนี้มากเท่าไหร่ จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็ยิ่งขยายรัศมีกว้างได้มากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น นั่นเพราะค่ายกลครอบคลุมเพียงแค่เฉพาะบริเวณพื้นที่ของพระราชวังต้องห้ามเท่านั้น เมื่อหลิงหยุนออกห่างจากตัวพระราชวัง ค่ายกลจึงมีผลกับจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนลดลงเรื่อยๆ
ความรู้สึกหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับหลิงหยุนมากขึ้นก็คือจิตหยั่งรู้ของเขานั้นมีความคมชัด และแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมมาก..
หลิงหยุนพบว่า..ไม่ว่าภาพที่อยู่ภายในรัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนจะอยู่ใกล้ หรือไกลตัวเขาเพียงใดนั้น ความคมชัดจะมีขนาดเท่ากัน คล้ายกับว่าอยู่ใกล้ๆตัวหลิงหยุนนี่เอง..
“ยอดเยี่ยมมากทีเดียว!”หลิงหยุนรำพึงรำพันกับตนเองเบาๆ หลังจากที่จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนสามารถขยายออกด้านนอกได้แล้วหลิงหยุนจึงได้รู้ว่าแม้ร่างกายของตนจะดูดซับเอาปราณราชามังกรเข้าไปมากมาย แต่ขั้นของตนกลับไม่พัฒนา และยังคงอยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่เช่นเดิม..
นั่นเพราะปราณราชามังกรที่ร่างกายของหลิงหยุนดูดซับเข้าไปนั้นส่วนใหญ่ถูกนำไปหลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นกระบี่จักรพรรดิมังกร และบางส่วนก็ถูกเส้นโค้งรูปมังกรทองในจุดตันเถียน ถูกพู่กันจักรพรรดิ และถูกสมุดจักรพรรดิดูดซับเข้าไป..
ครั้งนี้..หลิงหยุนได้ดูดซับเอาปราณราชามังกรอายุหลายร้อยปีที่อยู่ภายในพระราชวังต้องห้ามเข้าไป แม้จะไม่ทำให้เขาสามารถพัฒนาขั้นได้ แต่ปราณราชามังกรจำนวนมากนี้ ก็จะส่งผลที่ยิ่งใหญ่ต่อการปรับร่างกายของเขาอย่างมากที่สุด
เพื่อที่จะสร้างกระบี่จักรพรรดิมังกรขึ้นมานั้นปราณมังกร พลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิและกระบี่จักรพรรดิภายในร่างกายของหลิงหยุนก็ได้ถูกดึงไปใช้จนหมด ทำให้เวลานี้ภายในเส้นลมปราณทั่วร่างกายของหลิงหยุน เหลือเพียงแค่พลังหยิน และหยางเท่านั้น!
‘มังกรทอง’ภายในจุดตันเถียนของหลิงหยุนเวลานี้ ก็ยังคงกำลังกลืนกินพลังสายฟ้าจำนวนมากเข้าไปอย่างเชื่องช้า ทำให้สายฟ้าที่่เกาะอยู่ตามผนังด้านใน และนอกจุดตันเถียนของเขานั้นค่อยๆลดปริมาณลงเรื่อยๆ
หลังจากที่‘มังกรทอง’ ได้ดูดเอาสายฟ้าจำนวนมากเข้าไป ภายในตัวของมังกรทองก็ได้เปล่งประกายสว่างวูบวาบเป็นระยะๆ คล้ายกับอสุนีบาตบนท้องฟ้า และทำให้จุดตันเถียนของหลิงหยุนสว่างวูบวาบเป็นครั้งคราวไปด้วย..
หลังจากที่กระแสลมปราณทั้งสามชนิดภายในเส้นลมปราณทั่วร่างของหลิงหยุนถูกนำไปใช้จนหมดจุดตันเถียนของเขาจึงเริ่มหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ พลังหยินหยางในดวงตาปลาหยิน และปลาหยาง ก็ได้พวยพุ่งขึ้นมาในปริมาณมากกว่าเดิม และเวลานี้ก็กระจายอยู่เต็มจุดตันเถียนของหลิงหยุน และค่อยๆ ไหลเวียนสู่เส้นลมปราณทั่วร่างของเขาต่อไป
ภายในเวลาอันรวดเร็ว..พลังหยินและหยางก็ได้ไหลเวียนไปแทนที่กระแสลมปราณทั้งสามชนิดที่หายไป
‘ข้าคงไม่ต้องกังวลกับทัณฑ์สวรรค์ที่จะเกิดขึ้นแล้วสินะ!’
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่คนเดียวเงียบๆและได้แต่นึกเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของร่างกายตนเองในเวลานี้ กับทัณฑ์สวรรค์ที่ตนจะต้องเผชิญ
สำหรับผู้บ่มเพาะตนนั้นแน่นอนว่าเมื่อเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) เมื่อใด ย่อมต้องได้เผชิญหน้ากับบททดสอบจากสวรรค์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เวลานี้ภายในเส้นลมปราณตามร่างกายของหลิงหยุนนั้นแม้จะไม่มีปราณมังกรหลงเหลืออยู่แล้ว แต่ปราณมังกรเหล่านั้นก็ไม่ได้หายไปไหน มันแทรกซึมเข้าสู่กระดูก เนื้อหนังเลือด และอวัยวะภายในร่างกายของหลิงหยุน ทำให้เวลานี้ร่างกายของเขานั้นแกร่งกว่าเดิมนับสิบเท่า..
โดยเฉพาะอย่างยิ่งทั่วทั้งกระดูกสันหลังของหลิงหยุนเวลานี้กระดูกสันหลังทั้งยี่สิบหกข้อตั้งแต่หัวจรดท้ายได้กลายเป็นสีทอง และแข็งแกร่งราวกับทองคำแท้ กระดูกที่แข็งแกร่งเช่นนี้ย่อมสามารถที่จะรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ทั่วไปได้ไม่ยากนัก!
“กระบี่จักรพรรดิมังกรกระดูกสันหลังที่กลายเป็นทอง เส้นโค้งรูปมังกรที่มีขางอกมาทั้งสี่ขา ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่หลิงหยุนได้รับมาจากการมาเยี่ยมชมพระราชวังต้องห้ามในครั้งนี้!”
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็อดที่จะเศร้าใจเช่นเดียวกับโม่วู๋เตาไม่ได้ที่ไม่สามารถหาทางเข้าสุสานใต้ดินได้พบ แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ยังไม่ละความพยายาม และจะหาวิธีการอื่นแทน..
–พี่ใหญ่..ฉันรู้สึกว่าจะสามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้อีก!-
ระหว่างที่เดินออกมานั้นหนิงหลิงยู่ก็ร้องบอกหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิต
“อะไรนะ!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่นึกประหลาดใจ!
หลิงหยุนรู้ว่าหนิงหลิงยู่ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้วร่างของนางนั้นเป็นกายอัปสร จึงสามารถดูดซับเอาพลังชีวิตรอบตัวเข้าไปได้เองตลอดเวลา และเวลานี้หนิงหลิงยู่ก็กำลังที่จะเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่แล้ว..
“หลิงยู่..เวลานี้จิตหยั่งรู้ของเจ้ามีรัศมีครอบคลุมเพียงใดแล้ว”
นอกเหนือจากความเร็วในการกลั่นหยดเสินหยวนแล้วรัศมีของจิตหยั่งรู้ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดระดับของขั้นพลังชี่ได้..
“ดูเหมือนจะไกลกว่าสามพันเมตรแล้วแต่.. แต่ก็ยังจะสามารถไกลได้กว่านั้น..” หนิงหลิงยู่ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก..
ในจุดที่ทั้งคู่ยืนอยู่นั้น..อยู่ห่างจากพระราชวังต้องห้ามมาราวหนึ่งเพันเมตร การสะกัดกั้นจากค่ายกลภายในพระราชวังจึงได้ลดลงมากแล้ว หลิงหยุนสามารถเปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกได้ทั้งหมด แต่ก็ครอบคลุมได้สูงสุดเพียงแค่สามกิโลเมตรเท่านั้น ในขณะที่จิตหยั่งรู้ของหนิงหลิงยู่กลับขยายออกไปได้ไกว่านั้น..
และตราบใดที่จิตหยั่งรู้ของหนิงหลิงยู่สามารถขยายออกไปจนมีรัศมีครอบคลุมได้ไกลถึงสี่กิโลเมตรแล้วล่ะก็ นางก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ได้!
นั่นย่อมหมายความว่า..หนิงหลิงยู่เองก็ย่อมต้องเผชิญกับบททดสอบจากสวรรค์อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้เช่นเดียวกัน!
“หลิงยู่..เจ้าควบคุมไว้ก่อน เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่ควร!”
หลิงหยุนไม่สนใจสิ่งใดเขาพุ่งเข้าไปยืนข้างหนิงหลิงยู่ พร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของหนิงหลิงยู่ไว้พร้อมกับกระซิบเสียงเบา..
ด้วยความแข็งแกร่งของหนิงหลิงยู่หลิงหยุนไม่รู้สึกกังวลใจเลยแม้แต่น้อยหากนางต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สวรรค์ เพียงแต่เวลานี้ยังอยู่บนถนนวงแหวนที่สองภายในเมืองปักกิ่ง หากเกิดทัณฑ์สวรรค์ขึ้นในที่นี้ คงจะไม่มีผู้ใดหัวเราะออกเป็นแน่!
“พี่ใหญ่..ไม่ต้องห่วง ข้าควบคุมได้แน่!”
วันนี้หนิงหลิงยู่ไม่ใช่ผู้ที่เพิ่งจะฝึกบ่มเพาะนางจึงรู้วิธีที่จะควบคุมขั้นของตนเอง..
“เยี่ยมมาก..นับจากนี้ไปเจ้าต้องคอยรายงานข้าถึงความเร็วในการกลั่นหยดเสินหยวน และรัศมีการรับรู้ของจิตหยั่งรู้ ข้าจะได้สามารถคำนวณการเกิดทัณฑ์สวรรค์ได้ถูกต้อง!”
หลิงหยุนจับมือของหนิงหลิงยู่ไว้แน่นและสัมผัสได้ว่าพลังปราณภายในร่างของนางยังคงไหลเวียนได้อย่างมั่นคง ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกันก็อดที่จะตกตะลึงกับความอัศจรรย์ของกายอัปสรไม่ได้..
“นี่หลิงหยุน..เจ้าหูตึงหรือยังไง ข้าตะโกนถามเจ้าตั้งนานว่าจะไปที่ใดต่อ เจ้ากลับไม่ตอบ!”
“พี่หลิงซิ่ว..ข้าไม่รู้จักปักกิ่งดีนัก เจ้าตัดสินใจเองได้เลย!”
หลิงหยุนร้องบอกหลิงซิ่วด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม..
“งั้นพวกเราไปช้อปปิ้งที่หวังฝูจิ่งกันดีกว่า!”
หลิงซิ่วร้องตะโกนบอกทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม..
….
ถนนหวังฝูจิ่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังต้องห้ามนักและเป็นถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองปักกิ่ง ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมทั้งใน และนอกประเทศ หรือเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของเหล่านักช้อปเลยทีเดียว.. “สาวๆทุกคน..พวกเจ้าอยากซื้ออะไรก็ช้อปกันตามสบายได้เลย ครั้งนี้หลิงหยุนเป็นเจ้ามือทั้งหมด!”
“ใช่หรือไม่หลิงหยุน!”
หลิงซิ่วร้องตะโกนบอกหนิงหลิงยู่เกาเฉินเฉิน ฉางหลิง ฉีเสี่ยวชิง และหลิงซวี่ พร้อมกับหันไปถามความเห็นของหลิงหยุนง.
“เอ่อ..”
หลิงหยุนได้แต่อ้ำอึ้งและแทบกระอักออกมาเป็นเลือด..
“อะไรกัน!เมื่อครู่เจ้ายังทิปให้ไกด์สาวไปตั้งหนึ่งหมื่นหยวน ไม่เห็นเจ้ามีสีหน้าเจ็บปวดเช่นนี้เลย!”
เมื่อหลิงซิ่วเห็นท่าทีอึกอักของหลิงหยุนจึงรีบยกมือขึ้นเท้าสะเอวพร้อมกับพูดจาประชดประชันหลิงหยุนทันที
“นี่..ข้าก็แค่เป็นห่วงว่าพวกเจ้าจะเดินช้อปปิ้งกันเหนื่อย ก็เท่านั้น!”
หลิงหยุนระล่ำระลักตอบกลับไปทันที.. จากนั้นหญิงสาวทั้งหกก็เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้กันเป็นพัลวันทั้งหมดต่างก็ช้อปปิ้งกันอย่างหนักมือ แม้แต่หนุ่มทั้งหกที่เดินตามยังถึงกับตกตะลึง
ผ่านไปเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง..หนุ่มๆ ทั้งหกคนต่างก็ไม่ต่างจากราวเข็นของเคลื่อนที่ แต่ก็ยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น
หลังจากที่หญิงสาวทั้งหมดช้อปปิ้งอยู่บนถนนหวังฝู่จิงนานกว่าห้าชั่วโมงของที่ซื้อมาต่างก็กองพะเนินเป็นภูเขา ชายหนุ่มทั้งหกต่างก็ขนของไปหลบมุมที่ลับตาผู้คน แล้วจึงช่วยกันเรียกเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ของตนเอง..
จากนั้นทุกคนจึงขึ้นรถบัสมุ่งหน้ากลับตระกูลหลิง..
ครั้งนี้หลิงซิ่วเลือกไปนั่งข้างหลิงหยุนและในระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ถามขึ้นว่า “พี่หลิงซิ่ว.. อาคารต่างๆบนถนนหวังฝู่จิงนี้เป็นของผู้ใดงั้นรึ”
หลิงซิ่วถามขึ้นด้วยความสงสัย“เจ้าอยากจะรู้ไปทำไมกัน!”
“ข้าก็จะได้กลับไปบอกลุงสองให้จัดการซื้ออาคารเหล่านี้มาเป็นของตระกูลหลิงน่ะสิ!”
หลิงซิ่วและทุกคนในรถต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน แล้วทุกคนต่างก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ!
หลังจากที่หายตกใจหลิงซิ่วจึงยกมือขึ้นอังหน้าผากของหลิงหยุน พร้อมถามกลับไปว่า “นี่เจ้าไม่สบายใช่หรือไม่!”
ถังเมิ่งที่นั่งอยู่ข้างหลังเป็นฝ่ายตอบขึ้นมาแทนเพราะคงไม่มีใครรู้จักหลิงหยุนได้ดีไปกว่าถังเมิ่งอีกแล้ว
“พี่หยุนสบายดี!”
หลิงซิ่วจึงพูดต่อว่า“หลิงหยุน.. นี่เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ดินแถบนี้มีราคาเท่าไหร่! ที่ดินแถบนี้มีค่ายิ่งกว่าทองคำเสียอีก!”
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปทันที “หากไม่มีค่าดั่งทอง ข้ายังจะซื้อทำไมเล่า!”
หลิงซิ่วนิ่งไปครู่หนึ่งในที่สุดก็พูดขึ้นว่า“หลิงหยุน.. ที่ดินที่มีมูลค่าสูงเพียงนี้ ต่อให้เจ้าอยากซื้อ แต่ก็ใช่ว่าอีกฝ่ายจะยอมขาย!”
หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ“พี่หลิงซิ่ว.. ตระกูลหลิงของเราแข็งแกร่งเพียงใดในเวลานี้ หากข้าต้องการจะซื้อ พวกเขาจะไม่ขายให้เชียวรึ!”
นี่นับเป็นครั้งแรกที่หลิงซิ่วเห็นความดื้อรั้นและยะโสโอหังที่แท้จริงของหลิงหยุน!
แต่หลิงหยุนไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นเขาพูดต่อว่า “ไม่เพียงที่นี่เท่านั้น! ที่ใดก็ตามในปักกิ่งที่เป็นแหล่งทำเงิน จะต้องเป็นของตระกูลหลิงเรา!”
“ฉันเห็นด้วยกับพี่หยุน!”ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
ในขณะที่โม่วู๋เตาพูดเพียงแค่สั้นๆ“เจ้าคงเสียสติไปแล้ว!”
“ได้..กลับถึงบ้านแล้วข้าจะพูดเรื่องนี้กับท่านพ่อเอง!” หลิงซิ่วตอบกลับหลิงหยุน
…. ผ่านไปราวชั่วโมงครึ่ง..รถบัสคันหรูก็เลี้ยวเข้าสู่คฤหาสน์ตระกูลหลิง
ทันทีที่ลงจากรถหลิงหยุนก็มองหาพื้นที่ว่าง จากนั้นจึงจัดการเรียกสิ่งของทั้งหมดที่อยู่ในแหวนพื้นที่ออกมากองไว้ พร้อมกับร้องบอกหลิงซิ่วให้มาจัดการ
จากนั้นหลิงหยุนถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ และโม่วู๋เตา ทั้งสี่หนุ่มต่างก็กำลังหาข้ออ้างที่จะออกไปข้างนอกกันต่อ..
“นี่พวกเจ้าทั้งสี่คนจะออกไปไหนกันอีกงั้นรึ!”
หลิงซิ่วร้องถามออกมาด้วยความสงสัยหลิงหยุนจึงตอบกลับไปทันที..
“ข้าก็จะไปรับเงินแล้วก็ไปจัดการเรื่องการแต่งงานของเจ้าน่ะสิ!”
หลิงซิ่วได้ฟังถึงกับหน้าแดงและร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห “เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน! เงินอะไร?! แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องการแต่งงานของข้าด้วย?!” “เย่เทียนสุ่ยติดหนี้เดิมพันข้าหนึ่งหมื่นห้าพันล้านหยวนน่ะสิ!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ขยิบตาให้กับหลิงซิ่วพร้อมกับเล่าเรื่องข้อเสนอของเย่เทียนสุ่ยให้หลิงซิ่วฟัง..
“ฝันไปเถิด!”
หลิงซิ่วร้องตะโกนออกมาอย่างโมโหเมื่อได้รู้ว่าหลิงห่าวกู้เงินจากเย่เทียนสุ่ย ด้วยข้อเสนอให้หลิงซิ่วแต่งงานกับเขา..
“หลิงหยุน..เจ้าฟังข้าให้ดี!”
“หากเจ้าหมูอ้วนนั่นยังกล้าคิดชั่วกับข้าเช่นนั้นอีกเจ้าจะใช้วิธีใดก็ได้ ทำให้มันน้ำหนักลดในคราวเดียวหนึ่งร้อยกิโลกรัม..”
หลิงหยุนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขพร้อมกับตอบไปว่า “ก็แค่ตัดขาทั้งสองข้างของมันออก.. ง่ายจะตายไป!”
จากนั้น..หลิงหยุนกับชายหนุ่มทั้งสามคนก็ขึ้นรถหรูสีดำขับออกไปทันที!