อุ๊บ!ฮ่าฮ่า~!
เมื่อเห็นเสี่ยวอิงทำอะไรไม่ถูกจี้เฟิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงนะว่าผู้หญิงที่ฉันใช้คำว่า‘ดุดันแข็งแกร่ง’ มาอธิบายถึงตัวตนของเธอจะมีมุมแบบนี้อยู่ด้วย
หากพูดถึงความแข็งแกร่งของฝีมือแล้วล่ะก็เสี่ยวอิงก็นับว่าไม่เลว อีกทั้งร่างกายที่แข็งแรงและความองอาจหาญกล้าของเธอก็สามารถบอกได้ว่าผู้หญิงแกร่งคนนี้เป็นคนที่ตรงไปตรงมาไร้ซึ่งความเสแสร้งขนาดไหน หรืออาจจะบอกว่าความแข็งแกร่งและกล้าหาญเธอคนนี้คล้ายกับหลี่ลู่หนานก็ไม่ผิด เพียงแต่หลี่ลู่หนานจะเป็นคนที่อารมณ์ร้อนกว่า
แต่อันที่จริงแค่เรื่องความใจร้อนอย่างเดียวก็ทำให้พวกเธอแตกต่างกันราวเหนือกับใต้ เสี่ยวอิงดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกไปสักหน่อยถึงแม้เธอจะดูเหมือนคนที่พร้อมจะโกรธได้ตลอดเวลา แต่พอเธอทำผิด เธอก็จะเกิดความตื่นตระหนก รู้สึกลำบากใจจนทำอะไรไม่ถูก
ไม่แปลกใจเลยที่แม่จะชอบเธอมากขนาดนี้!
จี้เฟิงอดยิ้มออกมาไม่ได้นิสัยในมุมนี้ของเสี่ยวอิงทำให้ดูเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาที่ขี้อายเล็กน้อย
จี้เฟิงเดาว่านิสัยตรงส่วนนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมในวัยเด็กที่เสี่ยวอิงได้เติบโตมาจี้เฟิงเองก็จำได้อย่างแม่นยำว่าในตอนที่เขายังเด็กๆ เขาก็เป็นเด็กที่ขี้ขลาดและรู้สึกกลัวเวลาที่เจอกับอะไรที่แปลกใหม่และไม่คุ้นชิน
นี่ก็อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมแม่ถึงได้ชอบเสี่ยวอิงนักเพราะทุกครั้งที่เห็นเสี่ยวอิงแม่อาจจะนึกถึงความเจียมเนื้อเจียมตัวและขี้ขลาดของเขาในวัยเด็ก เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และความรู้สึกของแม่จี้เฟิงก็ยอมรับเสี่ยวอิงได้มากขึ้นและไม่คิดที่จะปฏิเสธเธออีกต่อไป
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฉันโดนไปเมื่อกี้จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว! จี้เฟิงยิ้มน้อยๆ และเงยหน้าขึ้นมอง เขาเพิ่งเห็นด้านหลังของแม่ อาสะใภ้สาม และพี่รองของเขากำลังเดินหันหลังกลับเข้าห้องไป เขาถึงกับหัวเราะออกมาทันที
เสี่ยวอิงเราขึ้นไปกันเถอะ จี้เฟิงยิ้ม
ค่ะหัวหน้าน้อย! เสี่ยวอิงตอบทันที ในตอนนี้เธอกลับมาเป็นบอดี้การ์ดหญิงผู้กล้าหาญอีกครั้ง
หัวหน้าน้อย…สามคำนี้ฟังแล้วมันทำให้ผมรู้สึกขนลุกยังไงก็ไม่รู้ ผมยังไม่ชินเท่าไหร่น่ะ… เรียกผมว่าจี้เฟิงก็พอ เขายิ้มเล็กน้อยและหันหลังเดินขึ้นไปข้างบน
หัวหน้าน้อย
จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อยคำสามคำนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา เพราะเขาไม่อยากพึ่งพาอำนาจของตระกูลไม่ว่าเขาจะทำอะไร และชื่อจี้เฟิงก็ฟังดูสบายกว่า
เสี่ยวอิงมองแผ่นหลังของจี้เฟิงแล้วอึ้งไปปากน้อยๆของเธอมุ่ยเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
พอกลับมาถึงบ้านจี้เฟิงก็เห็นเซียวซูเหม่ยและอีกสองคนนั่งอยู่บนโซฟา พูดคุยและหัวเราะกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนจี้ช่าวเหลยพี่ชายคนที่สองของจี้เฟิง ก็เลิกคิ้วและหันมามองจี้เฟิงเป็นครั้งคราว
แม่ครับแม่ขายผมแบบนี้เลยหรอครับ! จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น แม่ไม่กลัวว่าผมจะบาดเจ็บเลยเหรอ?
แม้แต่อาของเธอยังสู้เธอไม่ได้เลยแล้วเธอยังจะกลัวถูกทุบตีอีกงั้นเหรอ เซียวซูเหม่ยยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร เหลียงหงตันที่นั่งอมยิ้มอยู่ก็พูดขึ้น เสี่ยวเฟิง เวลาที่อาสะใภ้อยู่ที่บ้าน อาของเธอพูดชื่นชมกังฟูของเธอไม่หยุดเลย เขายังบอกอีกว่า ตอนที่เขาอายุเท่าๆกันกับเธอ เธอยังเก่งกว่าเขาซะอีกนะ! ใบหน้าของจี้เฟิงหมองลงทันทีเขายิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า อาสะใภ้สาม ที่แท้คุณอาก็ร่วมมือกับพวกเขาด้วยเหรอเนี่ย!
พอเลยๆเจ้าเด็กเหลือขอ! เซียวซูเหม่ยหัวเราะระคนด่า แม่ขอบอกเราไว้เลยนะ ว่าแม่มองเสี่ยวอิงเหมือนลูกสาวแท้ๆคนหนึ่ง ต่อจากนี้ไปห้ามเราไปรังแกเธอแบบนั้นอีก เข้าใจมั้ย
จี้เฟิงไม่กล้าพูดอะไรสักคำ เขาทำได้แค่เพียงพยักหน้าอย่างจริงจัง
น้องสามตอนบ่ายมีธุระอะไรที่ไหนหรือเปล่า จี้ช่าวเหลยถามขึ้น
จี้เฟิงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า เหมือนจะไม่มีนะครับ
ตอนนี้เหลือแค่ต้องไปทานมื้อค่ำที่บ้านของคุณปู่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรให้เขาทำแล้วจริงๆ เพราะที่หยานจิงเขาก็ไม่มีเพื่อนที่ไหน
แน่นอนว่าถ้าต้องอยู่ที่บ้านแม่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อด้วยนิสัยที่สุขุมกว่าคนอื่นๆในวัยเดียวกันของเขา ต่อให้ต้องนั่งอยู่กับที่เป็นวันๆ เขาก็สามารถทำได้อย่างสบายๆ
อีกอย่างเขาไม่ได้เจอแม่มาครึ่งปีแล้วคราวนี้กว่าจะหาโอกาสมาหยานจิงได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เขาต้องอยากอยู่กับแม่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่แล้ว
จี้ช่าวเหลยยิ้มและพูดว่า ในเมื่อนายไม่มีธุระอะไร ก็ออกไปกับฉันสิ!
ไปทำอะไรเหรอ จี้เฟิงถาม
ไปดูจี้ช่าวหยุนกันเจ้าเด็กนั่นอยู่ในเขตทหารของหยานจิงมาสามเดือนกว่าแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นจะดีขึ้นบ้างหรือเปล่า! จี้ช่าวเหลยยิ้ม เขาปวดหัวกับน้องชายคนนี้มาก อายุก็ยังน้อยแต่เรียนรู้วิชาเสเพลได้เก่งเป็นที่หนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องอื่นถึงไม่เก่งแบบนั้นบ้าง ช่างน่าละอายจริงๆ
ช่าวเหลยอีกสองสามวันพวกเธอค่อยไปก็ได้! จี้เฟิงยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร เหลียงหงตันก็พูดขึ้นมาว่า เสี่ยวเฟิงเพิ่งมา เธอก็จะลากเขาออกไปซะแล้ว ถ้าป้าใหญ่ไม่ด่าก็แปลกแล้ว!
จี้ช่าวเหลยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแหยๆออกมา ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย น้องสามรอวันว่างๆแล้วเราค่อยไปกันก็ได้ ฉันจะติดต่อช่าวหยุนก่อนเพื่อดูว่าเขาว่างเมื่อไหร่
เซียวซูเหม่ยที่อยู่ข้างๆหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า ไม่เป็นไรหรอก พวกเด็กๆไปกันเถอะ!
ถึงแม้เธอจะพูดแบบนี้แต่ในเมื่อจี้ช่าวเหลยรู้แบบนี้แล้ว เขาก็ไม่มีทางพาจี้เฟิงออกไปตอนนี้หรอก เขาดึงจี้เฟิงให้นั่งลงแล้วหยิบกระดานหมากรุกออกมาจากใต้โต๊ะน้ำชาในห้องนั่งเล่น แล้วชวนจี้เฟิงนั่งเล่นหมากรุกอยู่ตรงนั้น
เจ้าเด็กคนนี้ฉลาดกว่าเมื่อก่อนมาก! เหลียงหงตันกล่าวเสียงเบา เมื่อก่อนตอนที่จี้ช่าวเหลยยังไม่ได้ไปอยู่เจียงโจว เขาได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มเสเพลตัวจริงเลยค่ะ ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ต้องเกรงใจเขา ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลต่างพากันปวดหัว
เซียวซูเหม่ยหัวเราะทันทีและกล่าวว่า เด็กๆล้วนต้องมีวันที่จะเติบโตขึ้น!
เธอมองจี้เฟิงที่กำลังมองกระดานหมากรุกก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดอย่างจริงจังในใจของเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ ลูกชายของเธอได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ไม่ว่าจะการพูด การกระทำ หรือแม้แต่กลิ่นอายของเขา เขาไม่ใช่เด็กๆอีกต่อไป
อนิจจา!เวลาผ่านไปเร็วมาก พริบตาเดียวก็เกือบยี่สิบปีแล้ว… เซียวซูเหม่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ
พี่สะใภ้อย่าได้ถอนหายใจเลย เหลียงหงตันยิ้ม พี่ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่า เสี่ยวเฟิงกับช่าวเหลยเติบโตขึ้นมากขนาดไหน เพราะขนาดผู้หญิงอวดดีหยิ่งยโสอย่างจางหยุนเอ๋อก็ยังต้องหน้าซีดตัวสั่นเผ่นแน่บกลับไปแทบไม่ทัน ต่อไปจะไม่มีใครกล้ามารังแกพี่สะใภ้อีกแล้ว!
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เซียวซูเหม่ยพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อยเธอเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าแค่ลูกชายของเธอพูดเพียงไม่กี่ประโยค ก็ทำให้อีกฝ่ายตกใจจนตัวแข็งทื่อ แล้วพอคิดถึงท่าทางหยิ่งยโสของจางหยุนเอ๋อเมื่อก่อน… หึ! แอบสะใจอยู่ไม่น้อย
แต่ตอนนี้จี้เฟิงรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า!
ต้องขอบอกเลยว่าทักษะหมากรุกของจี้ช่าวเหลยนั้นกากมากแต่ผู้ชายคนนี้ยังคิดว่าฝีมือของเขานั้นไม่เลวเลย เขารุกฆาตจี้เฟิงด้วยความสะใจ สายตาและท่าทางของเขาดูสนุกและภาคภูมิใจกับฝีมือของเขามาก
จี้เฟิงที่น่าสงสารไม่เพียงแต่ต้องลดระดับฝีมือของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่เขายังต้องจงใจเดินไปให้จี้ช่าวเหลยกินหมากของเขาอีกหลายตา แต่กว่าจี้ช่าวเหลยจะเห็นช่องทาง เขาก็ต้องวนเวียนทำแบบนั้นอยู่ซ้ำๆ ถ้าหากเลือกได้จี้เฟิงยอมไปสู้กับเทียนกั๋วถงสักร้อยรอบดีกว่าต้องมานั่งเล่นเกมหมากรุกอ่อนด๋อยแบบนี้อีกต่อไป พอ!พอแล้ว! ไม่เล่นแล้ว!
ในที่สุดหลังจากจบเกมที่สามจี้เฟิงก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาโละกระดานหมากรุกและกล่าวว่า พี่รอง! วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน!
ทำไมล่ะ จี้ช่าวเหลยงงมาก เขารู้สึกว่าเขากำลังสนุกเลย ฉันเพิ่งจะเริ่มแสดงฝีมือเองนะ!
หน้าผากของจี้เฟิงปรากฏเส้นสีดำขึ้นมาหลายเส้นเขากระแอมไอแห้งๆแล้วพูดว่า เอางี้ดีกว่าพี่รอง เล่าเรื่องตระกูลจี้สายรองให้ผมฟังหน่อย พวกเขาส่วนใหญ่ทำงานอะไร สถานะเป็นยังไง มีอิทธิพลมากแค่ไหน บอกให้ผมรู้หน่อย เพราะผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขาเลย!
อืมก็ดีเหมือนกัน! เมื่อจี้ช่าวเหลยได้ยินว่าเป็นเรื่องสำคัญ เขาก็เลิกสนใจและไม่คิดที่จะเล่นหมากรุกอีกต่อไป
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบบุหรี่ออกมาแล้วส่งให้จี้เฟิง หลังจากพวกเขาจุดบุหรี่กันเรียบร้อยแล้ว จี้ช่าวเหลยก็พูดขึ้นว่า ที่จริงแล้ว คำว่า ‘สายรอง’ หรือ ‘คนทางนั้น’ เป็นแค่คำพูดโดยทั่วๆไปที่เราเรียกกันอย่างไม่เป็นทางการ ตระกูลจี้ของเราก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งตระกูลที่เก่าแก่แห่งหยานจิง มันถูกแบ่งออกเป็น 3 สาขา คุณปู่ของเราถือได้ว่าเป็นสายเลือดหลัก นอกจากนั้นแล้วยังมีอีกสองสาขาหรือที่เราเรียกว่าสายเลือดรองนั่นแหละ สาขาหนึ่งคือน้องชายของคุณปู่ นั่นเป็นสาขารองสายที่หนึ่ง อ้อ ใช้แล้ว! จี้เส้าโหยวก็อยู่สาขานั้น
ยังมีอีกหนึ่งสาขา จี้เฟิงถาม เขารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าตระกูลจี้สายรองจะมีถึงสองสาขา เขาคิดมาตลอดว่าตระกูลจี้สายรองจะมีแค่เพียงสายเลือดของทางจี้เส้าโหยว ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะคิดเกี่ยวกับตระกูลจี้ง่ายเกินไป
สายเลือดสุดท้ายนี่ใหญ่โตไม่ใช่เล่นหึหึ! จี้ช่าวเหลยหัวเราะ คุณปู่มีพี่น้องหลายคน แต่หลังจากช่วงสงครามที่วุ่นวายแล้ว พี่น้องของคุณปู่ที่เหลือรอดชีวิตมาได้ก็มีแค่น้องชายกับพี่สาวอย่างละคนเท่านั้น
ถ้าอย่างนั้นสาขาที่สามที่ว่านี่ก็คือพี่สาวแท้ๆของคุณปู่ที่จริงแล้วก็เป็นสายเลือดเดียวกันกับพวกเรา เธอคือคุณย่าของพวกเราใช่รึเปล่า? จี้เฟิงอดถามไม่ได้ พี่รอง จากที่ผมฟังน้ำเสียงของพี่แล้วเนี่ย สาขานี้ดูเหมือนจะมีอะไรซับซ้อนมากกว่านี้ใช่มั้ย?
อืม..ฉันจะพูดยังไงดี สายเลือดรองทั้งฝั่งของคุณย่าใหญ่ ก็เรียกได้ว่ามีลูกหลานมากมายจริงๆ พวกเขาแตกกิ่งก้านสาขาไปมากมายราวกับต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม เพียงแค่ว่าพวกเขาไม่ได้เดินสายอาชีพทางเส้นทางทางการเมือง อย่างเช่นญาติๆหลายคนของเราจะไปทางการทำธุรกิจเกี่ยวกับห้างสรรพค้าใหญ่เสียมากกว่า แต่ก็มีหลายคนที่อาศัยชื่อเสียงตระกูลจี้ ใช้ชีวิตเสเพลเป็นลูกคุณหนูเอาแต่ใจไปวันๆ หรือไม่ก็เป็นอันธพาลคอยหาเรื่องคนอื่น จี้ช่าวเหลยอธิบาย ที่จริงแล้วที่ฉันพูดถึงเรื่องนี้ ฉันอยากจะบอกว่า นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สายรองของคุณปู่เล็กแข็งกระด้างขึ้นมา เพราะพวกเขามีเงินสนับสนุนมหาศาล….
จี้เฟิงถึงกับอึ้งไปทันทีแต่เพียงไม่นานเขาก็ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้รับฟัง สายเลือดรองทั้งสองสายของตระกูลจี้นั้นร่วมมือกัน!
ด้วยการสนับสนุนทางการเงินที่มหาศาลและอิทธิพลทางด้านการเมืองที่แข็งแกร่งของตัวเองไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะมีความคิดที่จะตั้งตนเป็นใหญ่ในตระกูล เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ปกติด้วยซ้ำ!
จริงๆแล้วสายรองของทางคุณย่าใหญ่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่สนใจตำแหน่งผู้นำตระกูลจี้นะ แต่ความแข็งแกร่งทางด้านเส้นสายและอิทธิพลของเขาไม่เพียงพอ พวกเขาจึงร่วมมือกับคุณปู่เล็ก จี้ช่าวเหลยหยุดพูดเล็กน้อยก่อนจะพูดเสริมอีกว่า โดยเฉพาะลูกหลานของทางสายคุณย่าใหญ่ มีทั้งเงินทั้งอำนาจ เลยทำตัวเกเรอย่างไม่เกรงกลัว มีบางคนถึงขนาดด่าไม่เห็นฉันอยู่ในสายตา แต่สุดท้ายก็ถูกฉันทุบตีสั่งสอนไปชุดใหญ่ แต่ก็โดนไปหลายครั้งอยู่นะ กว่าจะดีขึ้นมาได้!
จี้เฟิงหัวเราะออกมาทันที พี่รองก็เคยร้ายไม่ใช่เล่นนี่นา!
จี้ช่าวเหลยไม่ได้รู้สึกเขินอายแม้แต่น้อยเขาเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า ถึงพี่รองของนายจะเสเพลเหมือนนักเลง แต่ก็เสเพลอย่างมีระดับและมีมารยาท นักเลงกับอันธพาลไม่เหมือนกันนะ! และที่สำคัญฉันกับไอ้พวกลูกคุณหนูที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อพวกนั้นมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกเขาแทบจะเป็นขยะสังคมเลยก็ว่าได้!
จี้เฟิงอดหัวเราะอยู่ในใจไม่ได้มีใครที่ไหนพูดชมตัวเองได้อย่างไร้ยางอายขนาดนี้กันบ้างล่ะเนี่ย
แต่จี้เฟิงก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่พี่ชายคนที่สองของเขาพูดมามันก็ถูกเด็กสมัยนี้ นอกจากจะทำตัวเหลวแหลกเกเรไปวันๆแล้ว พวกเขาแทบทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็นเลย แบบนี้คนที่มีสมองพิการยังจะดีซะกว่า!
นักเลงตัวจริงอย่างที่เขาพูดกันส่วนใหญ่ล้วนมีชื่อเสียงทางด้านทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัว ไม่ใช่การหาเรื่องคนอื่นโดยไร้เหตุผล ส่วนพวกขยะสังคมหรืออันธพาลชั้นต่ำ จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่หรือเกิดเมาจนเผลอไปขับรถชนคนตายก็อย่าหวังว่าพวกเขาจะรับผิดชอบ อย่างดีก็ใช้เงินปิดปากให้เรื่องเงียบ อย่างเลวก็กดขี่จนอีกฝ่ายกลายเป็นฝ่ายผิดซะเองที่วิ่งมาให้รถชน!
ทันใดนั้นหัวใจของจี้เฟิงก็เต้นเร็วขึ้นเขาอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า พี่รอง อาหารค่ำวันนี้ที่เราต้องไปกินที่บ้านคุณปู่ คนของตระกูลคุณย่าก็จะไปด้วยใช่หรือเปล่า พี่เลยคิดว่าพวกเขาจะร่วมมือกันเพื่อสร้างปัญหาให้กับฉันใช่มั้ย?
อืมฉันคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง! จี้ช่าวเหลยพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า คนพวกนั้นมีเงิน เวลาอยู่ข้างนอกก็ถูกคนอื่นๆประจบสอพลอจนเคยตัว จนแทบจะไม่รู้ว่าตัวเองสกุลอะไร พอเห็นนายผู้ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สามปรากฏตัวขึ้น จะให้พวกเขายังคงไปเที่ยวเตร่ได้อย่างสบายใจอยู่ ก็คงจะเป็นเรื่องแปลก! แน่นอนว่ามีแค่บางคนเท่านั้นน่ะนะที่สกุลจี้จริงๆ ฮ่าฮ่า~!
ขณะที่พูดมุมปากของจี้ช่าวเหลยก็ปรากฏเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาราวกับว่าเขารู้สึกดูแคลนคนเหล่านี้มาก
จี้เฟิงเข้าใจความหมายของพี่ชายคนที่สองของเขาดีคนจากทางฝั่งสายเลือดรองของคุณปู่เล็ก อยากขึ้นเป็นผู้นำตระกูลรุ่นที่สาม ก็ไม่แปลกยังไงซะพวกเขาก็เป็นคนของตระกูลจี้ แต่คนของตระกูลคุณย่าใหญ่ก็อยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูลจี้ด้วยเนี่ยนะ
หรือว่าพวกเขาลืมนามสกุลพวกเขาไปแล้วจริงๆ!