พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 381

ตอนที่ 381

พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 381 เกาะเซียนนามราชันย์พำนัก
“มั่วถง?” มั่วชิงเฉินเสียงหลงเอ่ยถาม

ท่าทีของหญิงสาวมีความสงสัยให้เห็น “ทำไมหรือ เจ้ารู้จักอย่างนั้นหรือ”

เห็นสีหน้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของหญิงสาวใจของมั่วชิงเฉินเป็นอันต้องกระตุก ดูท่าหญิงสาวผู้นี้คงจะมีความแค้นในใจต่อสตรีที่ชื่อว่ามั่วถงคนนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว

นางเพียงแต่ได้ยินว่าสตรีสกุลมั่ว แล้วยังอยู่ที่หลิวโจวพาลทำให้นึกถึงบรรพบุรุษหญิงท่านนั้นอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อใจเย็นลงแล้วกลับคิดว่าบนโลกใบนี้ไฉนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้

นางจิตนาการไม่ออกว่าบรรพบุรุษหญิงที่ทุกคนในตระกูลต่างเคารพบูชา สตรีที่ครอบครองเพลิงแก้วใจกระจ่างเหมือนกับตนเอง นักหลอมโอสถชั้นสูงที่มีฝีมือน่ามหัศจรรย์จะเป็นคนที่ทำลายชีวิตแต่งงานของผู้อื่น เอาสามีของผู้อื่นไปครอบครอง

“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยจะรู้จักได้อย่างไร เพียงแต่บังเอิญว่ามีชื่อสกุลเดียวกับข้าน้อยก็เท่านั้นถึงได้รู้สึกแปลกใจขึ้นมา” มั่วชิงเฉินพูดอย่างเปิดเผย

สีหน้าของหญิงสาวดีขึ้น “เป็นเช่นนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก้าวขึ้นมา ฟังคำข้าอธิบายอย่างละเอียด”

มั่วชิงเฉินก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างเชื่อฟัง

เมื่อเข้าใกล้หญิงสาวไม่ถึงสามนิ้วแสงวิญญาณรอบข้างจู่ๆ ก็ส่องประกายขึ้นมา นางเพียงแต่ทันได้ยินเสียงร้อนรนของเผยสิบสามร้องตะโกนว่า “แม่นางมั่ว” เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งกลับพบว่าภาพทิวทัศน์เปลี่ยนไปอีกครั้ง ตอนนี้นางมาอยู่ในห้องนอนของสตรี

“นั่งเถิด คนเยอะอย่างไรก็ไม่สะดวก นั่งตรงนี้ฟังข้าอธิบายช้าๆ” หญิงสาวอมยิ้มพลางพูด

“แล้วพวกเขาเล่า” มั่วชิงเฉินเก็บความแปลกใจแกมหวาดกลัวถามออกมาด้วยความสงบ

หญิงสาวพิจารณามั่วชิงเฉินแล้วหัวเราะออกมา “เด็กน้อยช่างหาญกล้านัก ดูท่าสวรรค์จะสงสารข้า ข้าไม่ได้ไหว้วานคนผิด เจ้าวางใจพวกเขาเพียงแค่ถูกสิ่งต้องห้ามที่โดนเปิดออกส่งไปด้านนอก ตอนนี้น่าจะอยู่นอกเขตค่ายกลแล้ว คาดว่าไม่นานก็คงแยกย้ายไปกันเอง”

มั่วชิงเฉินลอบคิดสบายใจ เป็นเช่นนี้ก็ดี ทั้งสี่คนมีนางเพียงคนเดียวที่ถูกหญิงสาวเลือก แล้วตอนนี้ยังมาสนทนาลับกับนางเพียงลำพัง ไม่แน่ว่าอาจทำให้คนอื่นเกิดใจละโมบ หากหลังจากแยกย้ายไปแล้วพวกเขาทั้งสามคนร่วมมือกันตนเองย่อมรับมือไม่ไหวเป็นแน่

“หลิวโจวมีเกาะเซียนเกาะหนึ่ง เรียกขานว่าราชันย์พำนัก ห่างจากราชันย์พำนักหมื่นลี้เส้นรอบวงจะมีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่าถ้ำสดับอารมณ์นั่นคือที่พักของมั่วถง แม้ถ้ำสดับอารมณ์จะเร้นลับแต่มั่วถงนั้นมีชื่อเสียงเรียงนามระบือไกล เจ้าไปถึงเกาะเซียนราชันย์พำนักลองถามดูก็น่าจะรู้เอง” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาเรียบๆ

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วมุ่น “หากว่าหาไม่พบเล่า”

“จะไม่พบได้อย่างไร!” เสียงของหญิงสาวสูงขึ้นในทันใด “มั่วถงนางมารผู้นั้น ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไร บุรุษที่พบเจอนางทั้งหมดไม่มีใครไม่ตกหลุมแทบเท้าข้างกายนาง ทุกวันนี้ไม่รู้ว่ามีบุรุษมากมายเท่าไรไปหานาง!”

มั่วชิงเฉินเม้มปาก หญิงผู้นี้เดี๋ยวก็พูดว่ามั่วถงนิสัยหยิ่งในศักดิ์ศรี เดี๋ยวก็ตะโกนเรียกนางว่ามารร้าย นางคิดว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไรตัวนางเองก็ยังขัดแย้งอยู่กระมัง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาช่างสลับซับซ้อนยิ่งนัก นางโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ถนัดรับเรื่องนี้ ช่างวุ่นวายเสียจริง

“สถานการณ์เบื้องต้นก็มีเท่านี้ สำหรับเรื่องระหว่างข้ากับนางเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ดีเกินไป ขอเพียงพาข้าไปที่นั่นก็พอแล้ว มั่วถงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด เจ้าเองก็เป็นสตรี นางไม่มีทำอะไรเจ้า” หญิงสาวเหลือบมองใบหน้ามั่วชิงเฉินทีหนึ่งพลางพูดขึ้น

มั่วชิงเฉินตกใจ “ท่านอาวุโส แท้จริงแล้วเป็นเพราะข้าน้อยเป็นสตรีท่านถึงได้เลือกข้าน้อย”

หญิงสาวเบะปาก “ไม่เช่นนั้นเหล่า ในหมู่พวกเจ้าทั้งสี่คนบำเพ็ญตบะของเจ้าไม่ได้สูงที่สุด เจ้าเด็กหนุ่มนั่นไม่เพียงอยู่ระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายแล้วยังชำนาญการค่ายกล เขาถึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”

พูดถึงตรงนี้หญิงสาวก็นิ่งไปสักพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “ใช่แล้ว ข้าจะต้องเตือนเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะมีความสัมพันธ์เช่นไรกับชายบำเพ็ญผู้นั้น หากไปถ้ำสดับอารมณ์เจ้ามิอาจพาบุรุษไปด้วยได้”

เห็นมั่วชิงเฉินนิ่งเงียบหญิงสาวจึงเอ่ยอธิบาย “มั่วถงนางไม่ชอบเห็นบุรุษ แต่มักจะนิยมชมชอบสตรีหน้าตางดงาม เอาเป็นว่าเจ้าจำเอาไว้ก็พอแล้ว”

มั่วชิงเฉินทนไม่ไหวนึกอยากหัวเราะออกมา หญิงสาวคนนี้ช่างพูดจาขัดแย้งเสียจริงเชียว

‘ช่างเถิดเรื่องของผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรนางก็ไม่อยากไปยุ่ง อย่างไรซะเมื่อถึงเวลาก็พาคน…เอ่อ…ไม่ เอาไฟสะท้อนหทัยไปให้ถึงก็พอแล้ว’

นางกำลังจะตอบกลับได้ยินหญิงสาวพูดขึ้นว่า “ภายในม่านพลังนี้กระแสจิตของเจ้าถูกข้าฝังตราประทับลงไป หากว่ารับปากแล้วไม่ทำตามข้าย่อมมีวิธีจัดการกับเจ้า ภายในช่วงเวลานี้เจ้าไม่อาจใช้ไฟสะท้อนหทัยได้ ในภายภาคหน้าเมื่อได้พบมั่วถงตามที่ปรารถนาของย่อมตกเป็นของเจ้า”

มั่วชิงเฉินลอบตรวจสอบทะเลแห่งจิตอย่างไม่แสดงอาการ ตามที่พูดไว้นางพบว่าบริเวณมุมเล็กๆ ที่ไม่โดดเด่นมีแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่ง เมื่อคิดจะเข้าใกล้กลับสัมผัสได้ถึงความอันตรายอย่างร้ายแรง นางเม้มริมฝีปากด้วยความจนปัญญา “ข้าน้อยทราบแล้ว จะต้องพยายามสุดความสามารถในการทำตามคำขอของท่านอาวุโสให้สำเร็จ”

หญิงสาวหัวเราะ รอยยิ้มแลมีความใจกว้าง และมีความมืดหม่น สายตาทอดมองความว่างเปล่าที่อยู่ไกลออกไป แย้มยกริมฝีปากเอ่ยพูดว่า “น้ำตาสีชาด มืดคล้ำพาลคนเมา เงาเหงาบนหอตะวันออกผอมโทรม จิตใจแตกสลาย ถามถึงคู่เหตุใดถึงไม่กลับ…”

ร้องจนสุดท้ายเสียงค่อยๆ เบาลงจนไม่ได้ยิน ทั่วทั้งร่างกายของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นโปร่งแสง

ไฟสะท้อนหทัยที่ร่วงลงบนพื้นส่องประแสงวิญญาณสองสามครั้ง ในที่สุดก็กลับสู่ความสงบสุข

มั่วชิงเฉินมองไฟสะท้อนหทัยสีเขียวหยก เมื่อครู่นี้เป็นเหมือนห้วงฝัน นางอดถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ได้ ก้มตัวลงไปเก็บไฟสะท้อนหทัยขึ้นมา

มั่วชิงเฉินกวาดตามองห้องนอนของหญิงสาวทีหนึ่งแล้วจึงก้าวเท้าเดินไปถึงประตูผลักประตูออก แต่กลับสัมผัสถึงความรู้สึกหน้ามืดหัวหมุนเหมือนแผ่นดินพลิกกลับปะทะเข้ามา นางรีบตั้งมั่นร่างกายเบิกตาโตแต่กลับพบว่าตนเองตกลงบนเกาะแห่งหนึ่ง

ปล่อยกระแสจิตออกไปสำรวจดูอย่างระแวดระวังครู่หนึ่งมั่วชิงเฉินก็พบว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่หมู่เกาะที่มีหอยผูกมัด ดูท่าประตูห้องนอนของหญิงสาวคงเป็นม่านพลังส่งย้าย นางไม่รู้ว่าถูกส่งย้ายมาที่ใด

หยิบแผนที่ออกมาดูอยู่นานในที่สุดก็สบายใจ ที่แห่งนี้ยังคงเป็นหมู่เกาะในน่านน้ำโกลาหล เพียงแต่ตั้งอยู่ทิศทางตรงกันข้ามกับหมู่เกาะหอยผูกมัดอย่างพอดิบพอดี

เป็นเช่นนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องพบเจอกับพวกเผยสิบสามทั้งสามคนอีก

คิดดูแล้วว่ามีเวลาเหลือไม่ถึงหนึ่งเดือนจากคำเชิญครึ่งปีของเฉิงหรูยวน มั่วชิงเฉินไม่ล่าช้าอีกต่อไป ขึ้นเหยียบแผ่นไหมเกล็ดน้ำแข็งบินกลับไป

นางบินอยู่เต็มๆ ห้าวัน ก็เห็นว่าตนเองใกล้ถึง ‘เกาะสามต้องห้าม’ ที่มาถึงในตอนแรก มั่วชิงเฉินเริ่มลดความเร็วลง

ตลอดทางมานี้นางไม่ได้พบเจอใคร แต่อาศัยจากประสบการณ์และสัญชาตญาณหากมีคนคิดลักขโมยที่แห่งนี้คงเป็นสถานที่เหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย หากว่ารอจนเหยียบบน ‘เกาะสามต้องห้าม’ แล้วคงทำได้เพียงยืนมองอยู่เฉยๆ

เป็นไปตามที่คาดไว้ เมื่อมั่วชิงเฉินหยุดพักบนเกาะเล็กขนาดเท่าฝ่ามือ เพิ่งจะเหยียบไหมเกล็ดน้ำแข็งบินได้ไม่นานผิวทะเลที่นิ่สงบมาตลอดกลับระเบิดขึ้นมา เงาดำสองร่างพุ่งจู่โจมนาง

มั่วชิงเฉินที่เตรียมตัวมาก่อนหน้านี้ในมือมีระเบิดสะท้านฟ้ากว่าร้อยสายแล้วเขวี้ยงออกไปพร้อมกัน เสียงระเบิดรุนแรงทำให้น้ำทะเลเหมือนบ้าคลั่ง ระเบิดสูงกว่าสิบจั้ง ร่างเงาหนึ่งในนั้นถูดยอดคลื่นพัดขึ้นไปสูงกลางอากาศ ร่างเงาอีกร่างกลับเข้ามาใกล้มั่วชิงเฉินในชั่วพริบตา

คนผู้นี้คงจะเป็นนักลอบโจมตีมือฉมังแล้ว ต่อให้เกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างฉับพลันเช่นนี้ขึ้นก็ไม่หยุดแม้แต่น้อย และยิ่งไม่มีคำพูดไร้สาระเช่น ‘ถนนเส้นนี้ข้าเป็นคนบุกเบิก ต้นไม้ต้นนี้ข้าเป็นคนตัด’ กลับพุ่งโจมตีมั่วชิงเฉินโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

มั่วชิงเฉินมองระดับบำเพ็ญตบะของผู้จู่โจมออกอย่างเร็ว ระดับก่อแก่นปราณชั้นต้น

ในขณะที่ลอบผ่อนลมหายใจร่างกายก็ขยับบิดซึ่งเป็นจังหวะหลบคมกริชของผู้โจมตี กริชฟันปลาปรากฏขึ้นในมือพุ่งออกไปปะทะเข้ากับกริชของฝ่ายตรงข้าม

เสียงของอาวุธกระแทกเข้าหากันดังขึ้นไม่หยุด มั่วชิงเฉินถือกริชหนึ่งด้ามเอาไว้ในมือแต่ละข้าง ตั้งกระบวนท่ารวดเร็วประหนึ่งสายฟ้าผาดบีบให้คนผู้นั้นต้องถอยหลังลงไปไม่หยุด

คนผู้นั้นเริ่มมีสีหน้าขมขื่น ออกล่าห่านป่าทุกวันแต่วันนี้กลับโดนห่านจกตา พวกเขาสองพี่น้องทำเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแล้ว เลือกลงมือกับผู้บำเพ็ญเพียรที่ตกแถวโดยเฉพาะ ไม่ต้องพูดถึงเด็กน้อยระดับก่อแก่นปราณชั้นต้น แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณชั้นปลายก็ไม่อาจรับมือการโจมตีของพวกเขาได้

หางตาเหลือบไปเห็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่อยู่บนยอดคลื่น คนผู้นั้นเม้มปากแน่น เขาไม่เชื่อหญิงบำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณชั้นต้นคนหนึ่งจะสู้พวกเขาสองคนได้

กริชฟันปลามีแสงวิญญาณวนรอบเป็นบางเวลา นั่นคือพลังวิญญาณที่ดูดซับมาจากกริชของคู่ต่อสู้

แน่นอนว่ามั่วชิงเฉินไม่ยินยอมที่จะปะทะตรงๆ กับผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณพร้อมกันสองคน นางใช้ระเบิดสะท้านฟ้าเพื่อที่จะกระจายการโจมตีสองคนพร้อมกัน ทำให้คนหนึ่งพุ่งไปอยู่ที่สูงตามยอดคลื่น และบุกโจมตีอีกคนอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งมรสุม ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้พักหายใจ

ฉวยโอกาสยามฝ่ายตรงข้ามจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัวม่านพลังแสงอาทิตย์จันทราในกริชฟันปลาขับเคลื่อน ลำแสงสว่างจ้าแสบตาสะท้อนออกมาทำให้คนผู้นั้นสูญเสียการมองเห็นไปช่วงหนึ่ง ต่อมาก็รู้สึกเย็นวาบตรงหัวใจ

ขาซ้ายของมั่วชิงเฉินกระแทกไปที่แผ่นหลังของคนผู้นั้น ทำให้คนต้องตกลงทะเลไป จากนั้นกริชฟันปลาในมือหายไปกลายเป็นธนูเขียวซ่อนเร้นขึ้นมาแทน ศรแหลมคมดอกหนึ่งถูกยิงออกไปนำพาซึ่งแสงสีทองน่าหวาดกลัวพุ่งตรงไปยังคนผู้นั้น

เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็ยาว แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น คนผู้นั้นเห็นว่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์พลาดท่า จึงตัดสินใจอย่างรวดเร็วเด็ดเดี่ยวไม่รอกให้ศรแหลมคมเข้ามาใกล้ตนก็ดิ้นบิดตัวพลิ้วจากนั้นเหยียบของวิเศษเหาะตัวหนีออกไปไกล

มั่วชิงเฉินหรี่ตามองจึงถอนสายตากลับมา หันมองผู้บำเพ็ญเพียรที่เลือดไหลบริเวณมุมปากแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วจึงยื่นมือไปกระตุกถุงเก็บวัตถุของเขาเอาไว้แล้วเก็บเท้ากลับมาคนผู้นั้นตกลงน้ำเสียงดัง ไม่นานก็มีฝูงปลากินเนื้อเข้ามารุม

การเดินทางหลังจากนั้นคลื่นลมสงบเงียบ มั่วชิงเฉินมาถึงเกาะสามต้องห้ามพอดีกับเรือที่มาในวันนี้ จึงขึ้นเรือเริ่มเดินทางกลับ

ยามที่เหยียบพื้นดินเกาะหมายเลขสามสิบห้ามั่วชิงเฉินก็รู้สึกสบายใจ ไม่สนใจนำของรางวัลจากการกรำศึกช่วงหลายมานี้ไปจัดการออกขาย นางพุ่งตรงไปที่พัก ไม่ว่าอย่างไรพักผ่อนสักหนึ่งวันแล้วค่อยว่าเรื่องอื่น

ในบ้านพักที่ไม่โดนเด่นหลังหนึ่งมีเสียงร้องครางของหญิงสาวและเสียงหอบหายใจของชายหนุ่มดังออกมาเป็นครั้งคราว

ใต้มุ้งบางหญิงสาวนั่งบนร่างชายหนุ่มขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาทั้งสองข้างปรือปรอย ใบหน้าแดงระเรื่อเห็นชัดว่าตกอยู่ในห้วงอารมณ์อย่างลึกล้ำ

ผู้ชายกลับลืมตา ทั้งๆ ที่หายใจลำบากแต่ดวงตาเรียวยาวทั้งสองข้างกลับแพรวพราวสว่างใส มองหญิงสาวบบนกายคล้ายเหมือนจะยิ้ม

หญิงสาวลืมตาพบกับสายตาของชายหนุ่ม อดรู้สึกเขินอายไม่ได้ “คุณชาย ท่าน ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร”

ชายหนุ่มหัวเราะเสียงทุ้ม จู่ๆ ออกแรงมือทั้งสองข้างพลิกตัวทับหญิงสาวเอาไว้ใต้ร่างพุ่งพรวดเข้าไปด้วยความเร็ว หญิงสาวถูกพาไปยังสวรรค์วิมานในพริบตา

“ท่าน ท่าน…ท่านเบาหน่อย…” หญิงสาวพูดจาไม่เป็นภาษา มือทั้งสองข้างกับจับบ่าของชายหนุ่มไว้แน่น

ชายหนุ่มเห็นว่าหญิงสาวไปถึงจุดสุดยอดแล้วก็ยิ่งขยับเร็วมากขึ้น พลางขยับอีกครู่หนึ่งถึงได้ปลดปล่อยออกมา

หญิงสาวยังคงหอบหายใจ ชายหนุ่มกลับพลิกตัวลงมาเริ่มสวมใส่เสื้อผ้า

“คุณชาย ท่าน…” หญิงสาวไม่พอใจ

ชายหนุ่มสวมใส่เสื้อสีขาวนวลด้วยท่วงท่าสง่างาม หัวเราะและพูดว่า “น้องสาวข้ากลับมาแล้ว วันนี้คงจะเล่นเป็นเพื่อนแม่นางนานไม่ได้”

หญิงสาวมองอย่างกล่าวโทษ “น้องสาวอะไรกัน น้องสาวไม่จริงกระมัง”

ชายหนุ่มยกริมฝีปากขึ้น “คำพูดของแม่นางช่างทำร้ายใจข้าน้อยนัก” พูดพลางสืบเท้าเดินไปนอกประตู

หญิงสาวสะบัดมือสวมเสื้อผ้า ก้าวเท้าตามออกไป

มั่วชิงเฉินมาถึงหน้าประตูบ้าน นางเหลือบมองประตูฝั่งตรงข้ามตามสัญชาตญาณ ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ ประตูถูกเปิดออก ถังมู่เฉินใบหน้าเปื้อนยิ้มเดินออกมา เรียกตะโกนเหมือนเวลาปกติ “น้องสาว เจ้ากลับมาแล้ว”

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

Status: Ongoing

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท