ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1202 การออกเสียง

บทที่ 1202 การออกเสียง

เมื่อเรื่องนี้มีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ก็ยังไม่ได้จบลงเช่นกัน มารอนไม่สามารถทำหน้าที่ในครั้งนี้ได้

ในที่สุดเขาก็เสนอราคาที่ต่ำสุดจริงๆ ให้ฉินสือโอว แปดล้านดอลลาร์แคนาดา

ในความเป็นจริงถ้าเขาพูดถึงแค่ราคาที่เสนอ เขาก็สามารถรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ เพราะสิ่งที่พูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงกลยุทธ์อย่างหนึ่งเท่านั้น ทำให้ฉินสือโอวยังคงไม่ทำตามแผนปฏิบัติต่อไปและเขาก็ไม่สามารถเป็นผู้นำได้

สิบล้านดอลลาร์แคนาดาเป็นราคาต่ำสุดของฉินสือโอว ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะมีความหวังที่จะได้ร่วมมือกัน แต่เมื่อคิดดูแล้ว จริงๆ แล้วกาวชีวภาพชนิดนี้เป็นไก่ที่ออกไข่สีทองเลยนะ ทำไมคุณถึงต้องการขายมัน? จะดีกว่าไหมถ้าได้รับเงินปันผลเป็นเวลานานจากการลงทุนในเทคโนโลยีและวัตถุดิบการแปรรูป?

เงินแปดล้านดอลลาร์แคนาดาไม่ได้เข้าตาฉินสือโอวเลยสักนิด แบรนด์อาหารทะเลต้าฉินยังคงเชื่อมต่อกันเป็นลูกโซ่อย่างต่อเนื่องและเขาสามารถสร้างรายได้ถึงสิบล้านลาร์แคนาดาต่อเดือน!

ด้วยเงื่อนไขการเจรจา มารอนจึงกลับไป

ฉินสือโอวจึงรีบไปดูลูกสาว ในที่สุดเด็กหญิงตัวน้อยก็ไม่ร้องไห้แล้ว แต่มือเล็กๆ ที่ถูกพันไว้นั้นเหมือนกีบเท้าของหมูตัวอ้วน

คาดว่าเด็กหญิงตัวน้อยเองก็สับสนเช่นกัน จึงชูมือขวาขึ้นต่อหน้าอย่างงุนงงและนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร

เมื่อเห็นฉินสือโอวเข้ามา เด็กหญิงตัวน้อยก็ตะโกนว่า ‘อาอา’ ในปากพร้อมกับยื่นมือออกมาทางเขา ฉินสือโอวหัวเราะแหะแหะแล้วพูดว่า “มา มา พ่ออุ้ม”

ทำให้เด็กหญิงตัวน้อยพูดตามเขาว่า “อุ้มๆ…”

สีหน้าหน้าของพ่อฉินและแม่ฉินเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นทันที วินนี่เองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน จึงอุ้มเสี่ยวเถียนกวาขึ้นมาแล้วพูดว่า “พระเจ้า ลูกสาวฉันพูดได้”

เสี่ยวเถียนกวา “ฮือๆ…”

วินนี่รีบวางเธอลงอีกครั้งและพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ขอโทษๆ เด็กดีไม่ร้องไห้นะ แม่ไม่ได้ตั้งใจจะแตะอุ้งเท้าน้อยๆ ของหนูเลย”

ฉินสือโอวถึงกับพูดไม่ออก อุ้งเท้าน้อยๆ มันคืออะไร?

เมื่อวางลูกสาวไว้บนตัก เขาหยิบขวดกาวชีวภาพที่แซนเดอร์สให้ไว้ออกมาและพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “มา ผมจะเปิดผ้าก๊อซให้ลูก ผมมียาห้ามเลือดแบบใหม่ล่าสุด มันมีประโยชน์จริงๆ ต่อไปถ้ามีแผลก็สามารถใช้ห้ามเลือดได้”

วินนี่ถอนหายใจและพูดว่า “ใช้ได้จริงเหรอคะ? หายากหรือเปล่า? มือของลูกไม่มีเลือดออกแล้ว คุณยังจะเอาลูกไปทำอะไรอีก มา เด็กดี พูดตามแม่นะ ปาป๊า…”

ฉินสือโอวมีความสุขและพอใจเป็นอย่างมาก วินนี่เป็นคนที่มีความรู้มาก คำแรกที่สอนลูกสาวให้พูดคือพ่อ ซึ่งมันดีมาก

เมื่อได้ยินเสียง ‘ปาป๊า’ ของวินนี่ พ่อฉินก็ตอบรับโดยไม่รู้ตัวว่า “เป็นอะไรไปวินนี่? เกิดอะไรขึ้น?”

เสี่ยวเถียนกวาจ้องไปที่พ่อฉิน ปากเล็กๆ ก็อ้าออกและพูดอย่างไม่ชัดเจนว่า “หม่าม๊า…”

พ่อฉินพูดภาษาจีนกลางซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่ขาดไม่ได้และเขายังออกเสียงม๊า ดังนั้นเสี่ยวเถียนกวาจึงออกเสียงคล้ายกับคำว่า ‘หม่าม๊า’ เล็กน้อย

เมื่อได้ยินเธอเรียกแบบนี้ ดวงตาของวินนี่ก็มีน้ำตาคลอเบ้าทันที เธอกอดลูกสาวไว้แน่น แล้วพูดด้วยความซาบซึ้งใจว่า “เด็กดี เป็นเด็กดีจริงๆ แม่อยู่ที่นี่นะ แม่อยู่นี่”

ถ้าเทียบกับเวลาที่เสี่ยวเถียนกวาพลิกตัวและคลาน เวลาในการออกเสียงของเธอจะถือว่าช้ากว่า

เพราะพัฒนาการทางภาษาของเด็กต้องผ่านหลายขั้นตอน ซึ่งขั้นแรกตั้งแต่เพิ่งเกิดจนถึงประมาณสองถึงสามเดือนจะร้องไห้เป็นหลัก ในเดือนที่สามและสี่จะเริ่มกรีดร้องและทำเสียงเล่นบ้างเล็กน้อย เมื่อเดือนหกหรือเจ็ดเด็กจะเข้าสู่ขั้นตอนของการหัดพูดอ้อแอ้ เช่นการออกเสียงตามพ่อแม่จะปรากฏในขั้นตอนนี้

เวลาที่เสี่ยวเถียนกวาใช้ในการพลิกตัวและคลานนั้นจะสั้นกว่าเด็กทั่วไปถึงครึ่งหนึ่ง จะมีเพียงเวลาที่ใช้ในการออกเสียงเท่านั้นที่ใกล้เคียงกับเด็กทั่วไป ซึ่งอาจเป็นเพราะพลังโพไซดอนที่ช่วยปรับกล้ามเนื้อและกระดูกของเด็กเป็นหลัก แต่สำหรับการเปลี่ยนแปลงของสมองจะไม่ช่วยเท่าไรนัก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน ครอบครัวก็ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมเสี่ยวเถียนกวาให้พูด หลังจากที่พวกเขาพยายามอย่างไม่ท้อถอย เด็กหญิงตัวน้อยไม่เพียงแต่ออกเสียงมาได้ แต่ยังออกเสียงปาป๊าคำนี้ได้สำเร็จอีกด้วย

ไม่กี่วันมานี้ ฉินสือโอวแทบไม่ได้หวนคิดเลยจริงๆ ว่า สองสามวันนี้พวกเขาทรมานเด็กหญิงตัวน้อยอย่างหนัก ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะร้องเรียกว่า ‘ป๊าม๊า’ เดาว่าเด็กหญิงตัวน้อยก็คงจะรู้สึกไม่ดีที่ถูกทรมานเช่นกัน ภายใต้สถานการณ์แบบนี้หู่จือและเป้าจือก็สามารถร้องคำว่า ‘ป๊า’ ออกมาได้เช่นกัน

หลังจากทานอาหารกลางวันในวันเสาร์แล้ว เชอร์ลี่ย์และเด็กๆ ก็เข้ามาร่วมด้วยเมื่อเจอสิ่งนี้ เด็กหญิงตัวน้อยกินฟองนมจนเต็มปาก วินนี่ก็กำลังเช็ดตัวให้เธอ เชอร์ลี่ย์จึงวิ่งมาอุ้มและหยอกเธอเล่น แล้วพูดว่า “เรียกว่าพี่สาวสิ พี่สาว พี่สาว พี่สาว”

เด็กหญิงตัวน้อยเบิกตากว้างจ้องมองเธอและปากเล็กๆ อันอวบอ้วนก็สำลักออกมา อาจเป็นเพราะต้องการพ่นฟองนมใส่หน้าเธอ แต่น่าเสียดายที่วินนี่เช็ดออกจนหมดแล้ว จึงพ่นออกมาไม่สำเร็จ

เมื่อเห็นว่าลูกสาวอยากจะเล่นมากจนทนไม่ไหว วินนี่จึงพูดอย่างหมดหนทางว่า “เชอร์ลี่ย์ ตอนบ่ายนี้จะมาทำอะไร? ฝึกไวโอลินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

เชอร์ลี่ย์มองไปที่เถียนกวา จึงวางเธอลงบนโซฟาแล้ววิ่งกลับไปที่ห้องแล้วหยิบไวโอลินออกมา จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ แล้วเล่นอย่างเต็มที่

ทันทีที่เสียงไวโอลินดังขึ้น หู่เป้าฉงหลัวและแมวป่าที่เพิ่งกินอาหารและนอนอยู่ในบ้านก็รีบลุกขึ้นและวิ่งออกมาทันที เกือบจะเป็นการตอบสนองสิ่งเร้าแล้ว

เด็กหญิงตัวน้องก็อยากจะวิ่งด้วย แต่เธอไม่สามารถลงจากโซฟาเองได้ ทำได้เพียงทนกับความแวววาวของไวโอลินของเชอร์ลี่ย์เท่านั้น

ฉินสือโอวมองดูอย่างเจ็บปวดมาตลอด จึงพูดกับวินนี่ว่า “ไม่ใช่ว่าการฝึกไวโอลินจะเป็นการฝึกฝนนิสัยของคนคนหนึ่งอย่างหนักเหรอ? คุณดูเชอร์ลี่ย์สิ เธอเอาไวโอลินตัวนี้มาเล่นเป็นอะไร? เล่นไปอีกสักสองปี เธอก็คงทำงานเป็นคนตัดไม้ได้เลยนะ”

“ไวโอลินไม่สามารถฝึกได้ในหนึ่งหรือสองวัน โดยเฉพาะเพิ่งจะมาเรียนรู้ตอนกลางคันยิ่งยากกว่า รอให้เถียนกวาของเรารู้เรื่องก่อน ฉันจะสอนเธอเล่นไวโอลิน ในอนาคตเธอจะกลายเป็นหญิงสาวตัวน้อยที่งดงามแน่นอน” วินนี่ปลอบเขา

ฉินสือโอวหัวเราะขึ้นมา เพียงแค่เห็นเถียนกวากำลังคลานได้ในตอนนี้ก็สามารถทรมานหู่เป้าฉงหลัวและแมวป่าได้อย่างเจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปได้แล้ว ในอนาคตเธอจะกลายเป็นหญิงสาวตัวน้อยที่งดงามได้นั้นคงจะเรียกว่าเป็นความเมตตาของพระเจ้า

เสี่ยวเถียนกวารู้สึกไม่ชอบเสียงเสียดสีของไวโอลิน จึงยื่นมือออกไปและร้องตะโกนใส่วินนี่ว่า ‘หม่าม๊า’ แม้จะคลุมเครือไปบ้าง แต่คำๆ นี้ก็ส่งเสียงออกมาได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

วินนี่รอช่วงเวลานี้ เธออุ้มเสี่ยวเถียนขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและหมุนตัวสองรอบ จากนั้นวางกลับลงไปบนโซฟาและจากไป ส่วนฉินสือโอวที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็มองเธออย่างคาดหวัง

เสี่ยวเถียนกวาตกตะลึง เธอมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ จึงทำได้เพียงยื่นแขนออกไปหาฉินสือโอวและตะโกนว่า ‘ปาป๊า’ อย่างร้อนใจ

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ แม่ฉินก็โกรธมาก จึงไปตีหลังเขาและพูดว่า “แกอายุเท่าไหร่แล้ว? ทำไมยังทำตัวเป็นเด็กไปได้ นอกจากนี้ คนในบ้านที่ไหนกันจะทรมานลูกตัวเอง? รีบไปกอดเสี่ยวเวยเลย”

“ว่าแต่บ่ายนี้ไม่มีอะไรทำใช่ไหม? ว่างก็คือว่างนะ” ฉินสือโอวกล่าว

แม่ฉินพาเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังร้องตะโกนออกไปและพูดว่า “เอาล่ะ ถ้าแกไม่มีอะไรทำก็ไปช่วยห่อเกี๊ยวซะ เย็นนี้เราจะกินเกี๊ยวยัดไส้ผักจี่ไฉ่และเนื้อแกะกัน เป็นอย่างไร?”

ฉินสือโอวหัวเราะแหะแหะแล้วพูดว่า “ได้สิ ไม่มีปัญหา”

พ่อฉินและแม่ฉินจะเดินเล่นไปตามเทือกเขาเคอร์บัลในตอนเช้าและขุดผักป่ามาจำนวนมาก จึงเริ่มต้มในน้ำให้เดือดแล้วนำไปเก็บไว้ในที่เก็บน้ำแข็ง ซึ่งจะสามารถรักษาความสดใหม่และเก็บไว้ได้นานไม่เน่าเสีย

ที่บ้านเกิดของฉินสือโอว จริงๆ แล้วเกี๊ยวจะเป็นอาหารหลัก แม่ฉินเห็นวินนี่ไม่ชอบกินเกี๊ยว ดังนั้นปกติแล้วจะทำไม่เยอะและตอนนี้ก็เห็นว่ามีผักจี่ไฉ่มากมายที่ไม่กินและใกล้จะเน่าเสียแล้ว จึงตัดสินใจเอามาห่อเป็นเกี๊ยวให้หมด

ฉินสือโอวยังคงสนใจในการห่อเกี๊ยวมาก นึกถึงเกี๊ยวไส้ผักจี่ไฉ่และเนื้อสอดไส้คำโตที่เคยกินที่บ้านเมื่อก่อน จึงรู้สึกอยากกินไม่ไหวและนี่ก็เป็นสิ่งที่แคนาดาไม่มี

………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน