ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1213 สายพันธุ์ใหม่

บทที่ 1213 สายพันธุ์ใหม่

ในท้องทะเลลึกอันมืดมิด ทั้งเหน็บหนาว เดียวดายและสิ้นหวังมาก เดาว่าปลาและกุ้งทุกตัวคงรู้สึกแบบนี้ พวกมันจึงต้องการอ้อมกอดที่อบอุ่น การนำทางที่มีความหวังและการปลอบโยน

ดังนั้น เมื่อมีแสงปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกมันในเวลานี้ พวกมันจะทำอย่างไร?

ไม่ต้องลังเลเลยสักนิด พวกมันเข้าไปใกล้ๆ ทันที ขณะนี้ฉินสือโอวจึงเห็นปลาตัวใสยาวสี่ห้านิ้วว่ายน้ำเข้าหาปลาตกเบ็ดที่มีความยาวประมาณสามสิบเซนติเมตร

แสงสว่างจากโคมไฟที่ห้อยอยู่บนหัวของปลาตกเบ็ดนั้นอ่อนมาก จนไม่สามารถส่องสว่างใบหน้าของพวกมันได้ ไม่อย่างนั้นเดาว่าปลาเหล่านี้คงจะโดดเดี่ยว เหน็บหนาว ต้องการการปลอบโยนและไม่สามารถพึ่งพาได้ต่อไป

ฉินสือโอวสามารถมองเห็นลักษณะของปลาตกเบ็ดชนิดนี้ได้อย่างชัดเจน มันน่าเกลียดมากจริงๆ! พระเจ้า นี่มันฝันร้ายชัดๆ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ? เขาเฝ้าดูปลาตัวน้อยเหล่านี้ที่ถูกแสงไฟล่อเข้าไปและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนเด็กๆ ที่เคยดูหนังสยองขวัญ ฉากที่ศีรษะของมนุษย์โผล่ออกมาบ้างล่ะ วิญญาณชั่วร้ายโผล่ออกมาบ้างล่ะ มันน่ากลัวจนฉี่แทบราดจริงๆ!

ปลาตกเบ็ดอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นฟันแหลมคมที่ไม่เท่ากันและเขี้ยวสลับกัน จากนั้นครีบที่อยู่ด้านบนของหัวยังสามารถหดกลับได้ ปลาตัวเล็กเหล่านี้จึงตกเข้าไปในปากของพวกมันแบบนี้…

ในขณะที่ปลาตกเบ็ดกำลังจะหุบปากลง จู่ๆ งูเหลือมยักษ์ตัวแบนตัวหนึ่งก็ลอยตัวขึ้นมาจากทรายที่ก้นทะเล ร่างใหญ่ของมันทับตัวปลาตกเบ็ดและร่างของมันลอยคดเคี้ยวไปข้างหน้า หลังจากพวกมันจากไป ที่ที่ปลาตกเบ็ดเคยอยู่ก่อนหน้านี้ก็ไม่หลงเหลืออะไรไว้เลย!

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่งูเหลือมยักษ์ แต่เป็นแมลงยักษ์คล้ายตะขาบที่เชื่อมต่อกันไปมา

หลังจากแมลงยักษ์คล้ายตะขาบปรากฏตัวขึ้น ปลาตกเบ็ดตัวอื่นๆ ก็ว่ายน้ำเร่งความเร็วทันทีและแสงของโคมไฟดวงเล็กที่อยู่บนหัวของพวกมันก็ค่อยๆ มืดสลัวลง สุดท้ายแสงสว่างก็อ่อนลงจนแทบมองไม่เห็นอะไรเลย ซึ่งนี่เป็นการปกป้องตัวเองที่จำกัดมากที่สุด

หลังจากแมลงยักษ์คล้ายตะขาบกินปลาตกเบ็ดไปตัวหนึ่งแล้วมันก็วนอยู่รอบๆ อีกครั้งและรวบรวมร่างอย่างรวดเร็วแล้วกลับไปที่รังหลุมดำ

จากนั้นไม่นาน โคมไฟเล็กๆ ของปลาตกเบ็ดก็สว่างขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พวกมันยังคงจับปลาและกุ้งตัวเล็กมาเป็นอาหารต่อไปเรื่อยๆ

อย่ามองว่าปลาตกเบ็ดมีขนาดเล็ก นิสัยการกินของพวกมันรุนแรงเหมือนกับฉลามวัว พวกมันกินได้ทุกอย่าง เพราะมีฟันที่แหลมคม พวกมันจะแทะปลาที่บังเอิญได้รับบาดเจ็บหรือเพิ่งตาย แม้ว่ามันต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

ฉินสือโอวเข้าไปดูอย่างละเอียดและพบว่าปลาตกเบ็ดเหล่านี้ไม่เหมือนกับที่เขารู้จักในอินเทอร์เน็ตและในหนังสือมาก่อนหน้านี้ นอกจากครีบที่ส่องแสงบนหัวของพวกมันแล้ว ยังมีส่วนเล็กๆ ที่เหมือนกับขาแมลงยื่นออกมาสองข้างและยังมีหนวดอยู่รอบๆ ปากอีกด้วย

ดังนั้น หนวดของพวกมันจึงสามารถแกว่งไปมาได้อย่างช้าๆ ซึ่งดูเหมือนกับสาหร่ายทะเล อีกทั้งหนังปลาอันมันวาวและเรียบเนียนของพวกมันยังมีจุดสีแดง เหมือนจะกระจายอยู่บนสาหร่ายสีแดง ดังนั้นต่อให้ปลาและกุ้งที่มีสายตาดี ก็ไม่สามารถมองเห็นการมีอยู่ของพวกมันได้ง่ายๆ

ฉินสือโอวจำได้ว่าเขาไม่เคยเห็นปลาตกเบ็ดที่มีหนวดบนปากมาก่อน เขารู้สึกว่านี่คงจะเป็นปลาตกเบ็ดสายพันธุ์ใหม่ที่มนุษย์ยังไม่ได้ค้นพบ

แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่น่าแปลกอะไร ความลึกที่สุดของมหาสมุทรที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันคือหนึ่งหมื่นหนึ่งพันเมตร และอุปกรณ์ดำน้ำที่ก้าวหน้าที่สุดสามารถดำน้ำได้ลึกถึงเจ็ดพันหกร้อยเมตร ทะเลลึกเกือบสี่กิโลเมตรเป็นเขตหวงห้ามที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปได้

แม้ว่าสถานที่เหล่านี้จะหนาวเย็น ออกซิเจนต่ำและมืดสลัว แต่ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ อย่างเช่นหมึกยักษ์สามารถอยู่รอดได้ในน้ำที่ลึกขนาดนี้ได้และอาหารหมึกยักษ์ก็มีมากมาย พวกมันสามารถอยู่รอดได้ในที่แบบนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่แห่งนี้มีอาหารมากเพียงพอ

และยังแสดงให้เห็นว่ายังมีความลึกลับอีกมากมายที่มนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้ในโลกใต้ทะเลลึก ถ้าฉินสือโอวสนใจก็สามารถเข้าไปดูได้

แต่ปริศนาความลึกลับที่เขายิ่งสืบหาได้มากเท่าไร ฉินสือโอวจึงยิ่งรู้สึกว่าตัวเองยิ่งไม่ปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ธรรมชาติของมนุษย์นั้นจะแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด ตัวเขาเองก็เป็นแบบนี้ เช่นตอนนี้เขาได้ค้นพบปลาตกเบ็ดสายพันธุ์ใหม่จึงต้องการแสดงให้โลกเห็น

แต่ถ้าผ่านมือของเขา ความลับของมหาสมุทรก็ถูกกระตุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ และยังมีสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งคล้ายกับแมลงยักษ์คล้ายตะขาบปรากฏตัวออกมาซึ่งมันสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ปัจจุบันของมนุษยชาติได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะดึงดูดความสนใจของผู้คนได้มากแค่ไหน?

ดังนั้นถ้าลองคิดดูให้ดีแล้ว เขาจึงควบคุมการเดินทางของเขาไว้และจัดการดูแลฟาร์มปลาของเขาให้ดีก่อน ส่วนที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนมุดเข้าไปในกระดองของแมลงยักษ์คล้ายตะขาบ จากนั้นก็พบหมึกยักษ์ที่มีหนวดยาวกว่าหนึ่งเมตรในกลุ่มกรรมกรไร้กระดูกลอยเข้ามาและเอากระดองนี้ไปด้วย คาดว่ามันจะเข้าใกล้กับชายหาดในวันพรุ่งนี้

จากนั้นจึงเอาจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับคืน ฉินสือโอวลุกขึ้นเล่นโทรศัพท์มือถือและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปลาตกเบ็ดในอินเทอร์เน็ต มันเป็นอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ ในอินเทอร์เน็ตไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับปลาตกเบ็ดที่เขาเพิ่งเห็นเลย

วินนี่อุ้มเถียนกวาเดินเข้ามาและจัดหมอนให้ลูกสาวพิงแล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ รีบวางโทรศัพท์ลงได้แล้ว มาเล่นเป็นเพื่อนลูกแล้วก็เล่านิทานให้เธอฟังจนหลับด้วยนะคะ”

ฉินสือโอวยิ้มและกำลังจะวางโทรศัพท์ลง ก็มีสายโทรศัพท์เข้ามา เมื่อเห็นแบบนี้เขาจึงทำท่าไม่มีทางเลือกใส่วินนี่และพูดว่า “ให้ผมทำอย่างไรได้ งานผมยุ่งมาก”

หลังจากพูดจบ เขาก็รับโทรศัพท์และถามอย่างสุภาพว่า “สวัสดีครับ นี่คือฟาร์มปลาต้าฉิน คุณคือใครครับ?”

“พระเจ้า ฉินนี่นายสุภาพขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ฉันเองหวงเหล่ย เพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมปลาย ยังจำได้ไหม?” เสียงที่คุ้นเคยของฝั่งตรงข้ามดังขึ้น

ในใจฉินสือโอวเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็หัวเราะแล้วพูดว่า “โอ้พระเจ้า พี่เหล่ยเองหรอกเหรอ? ล้อเล่นอะไรกันเนี่ย แน่นอนฉันจำนายได้ ฉันยังคุยกับเพื่อนร่วมชั้นเก่าว่านายจะมาเมื่อไม่นานมานี้เอง มันเป็นแบบนี้นะ ฉันกำลังจะแต่งงานในเดือนกันยายนไม่ก็ตุลาคม ถ้าเตรียมงานเรียบร้อยแล้วฉันจะแจ้งให้พวกนายรู้ทีละคน อย่าลืมมางานแต่งงานของฉันนะ”

เพื่อนร่วมชั้นเก่าคนนั้นจึงหัวเราะทันที ฉินสือโอวยักไหล่ใส่วินนี่ จากนั้นก็ตั้งใจถามว่า “แล้วนายล่ะ นายไม่สะดวกหรือมีปัญหาอะไรไหม? โทรมาหาฉันมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”

หวงเหล่ยยิ้มอย่างเขินอายแล้วพูดว่า “จริงๆ ก็ไม่สะดวกหรอกเพื่อน ฉันก็กำลังจะแต่งงานในเดือนตุลาคมนี้เหมือนกัน เดาว่าคงจะไปถึงไม่ทัน เดิมที่ฉันอยากจะมาเชิญนายกลับมา”

ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเสียใจ จากนั้นเมื่อไม่มีอะไรจะพูดแล้ว อีกฝ่ายก็พูดไม่กี่ประโยคแล้วก็วางสายโทรศัพท์ไป

ห้องนอนอันเงียบสงบ จึงทำให้วินนี่ได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสองคน เธอมองไปที่ฉินสือโอวอย่างแปลกใจและพูดว่า “ทำไมคุณไม่ถามเขาเกี่ยวกับวันแต่งงานของเขาล่ะ? บางทีเราอาจจะคลาดกัน เขาน่าจะเร่งให้ตรงกับวันชาติของประเทศคุณนะ? ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณก็สามารถไปงานแต่งงานของเขาได้”

ฉินสือโอวถอนหายใจและพูดว่า “อะไรเนี่ย เพื่อนคนนี้ไม่ได้ติดต่อผมเลยหลังจากเรียนจบมัธยมปลาย สิบกว่าปีแล้ว บอกตามตรงผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าจะมีคนแบบเขาโทรมา เขาโทรมาก็แค่ต้องการเงินสมทบเท่านั้น ดังนั้นผมก็เลยใช้งานแต่งงานของเราขัดเขาไปก่อน ถ้าเขามาร่วมงานแต่งงานของเรา ผมจะไปงานเขาแน่นอน อย่างน้อยก็ให้อั่งเปาชิ้นโตกับเขา”

วินนี่วิเคราะห์อย่างมีเหตุผลว่า “นี่มันไม่เหมือนกันนะ ฉิน เราอยู่ที่แคนาดา สำหรับเขาแล้ว กว่าจะมาได้แต่ละรอบมันไม่ใช่ง่ายๆ เลย เราจะบินกลับไปโดยไม่ได้อะไรเลยหรือไง”

……………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท