ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1221 กลับมาตกปลา

บทที่ 1221 กลับมาตกปลา

ฉินสือโอวมีท่าทีที่ค่อนข้างสบายใจต่อเรือสำรวจทั้งหมดเหล่านี้ ใจของเขานั้นกว้างขวางราวกับมหาสมุทร

อันที่จริงแล้วการปรากฏตัวของเรือสำรวจสามารถช่วยเขาได้ เพราะว่ามีเรือเล็กๆ เหล่านี้อยู่ในฟาร์มปลา ทำให้พวกเรือขโมยปลาไม่สามารถเข้ามาได้

แน่นอนว่าหลังจากที่ตำนานสัตว์ประหลาดเป็นที่รู้จัก ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาท้าทายอำนาจของมันอีก แม้ว่าเงินจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ว่าก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตน้อยๆ ของพวกเขา

เมื่อสภาพอากาศปลอดโปร่ง บัตเลอร์ก็นั่งเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษมา ตอนที่เขาลงจากเครื่องบินฉินสือโอวกำลังปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องชื่อของเหอชั่งและหนีกู่กับวินนี่อยู่…เหอชั่งและหนีกู่เป็นชื่อของเฟอเรทแบลคฟุตสุดแสนจะน่ารักทั้งสองตัว

เดิมที่ฉินสือโอวคิดว่าจะให้พวกมันชื่อชุคกับเบตต้า แต่ปรากฏว่าพอเขาเห็นว่าตรงกลางหัวของเฟอเรทผู้พี่ไม่มีขนอยู่จึงทำให้มันหัวโล้น เขาไม่รู้ว่านี่เป็นผลงานมาจากการต่อสู้กับไก่ชน เขายังคิดว่าเป็นเพราะมันไม่ระวังจึงทำขนหลุดไป บวกกับที่มันเป็นเพศผู้ แบบนี้เขาจึงได้ตั้งชื่อให้มันว่าเหอชั่ง[1]

เพื่อให้คล้องจองกัน เฟอเรทผู้น้อยจึงได้ชื่อหนีกู่[2] เมื่อวินนี่ได้ยินชื่อของทั้งสองนี้ตัวเธอก็ตกใจ เธอตกใจมากจนถึงกับลืมคัดค้านไปเลย เฟอเรทผู้น่ารักทำไมถึงได้มีชื่อแบบนี้นะ

สำหรับเรื่องนี้ สองพี่น้องเฟอเรทแสดงท่าทีออกมาเหมือนกัน ให้ตายเถอะ ชื่อนี้ตั้งมาแบบขอไปทีใช่ไหม? เหอชั่งกับหนีกู่นี่มันอะไรกัน? ไม่เหมาะกับลักษณะของพวกเราเลยแม้แต่นิดเดียวเลยไม่ใช่เหรอ?

หลังจากนั้นวินนี่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอยืนกรานที่จะไม่ให้สองพี่น้องเฟอเรทใช้ชื่อนี้อย่างเด็ดขาด เธอพูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ชื่อนี้ไม่เพราะเลยนะคะ ที่รัก พวกเราตั้งใจตั้งชื่อให้เด็กทั้งสองตัวนี้หน่อยเถอะ พวกมันเป็นเฟอเรทแบลคฟุตเชียวนะ! ทั้งโลกมีอยู่แค่ห้าร้อยตัวเท่านั้นนะคะ!”

เสี่ยวหมิงมองไปยังวินนี่อย่างไม่พอใจ ชื่อของพวกพี่ชายเพราะนักเหรออย่างไร?

เสี่ยวหลัวปอก็มองไปยังวินนี่ด้วยความไม่พอ หนูก็เป็นหมาป่าขาวอัจฉริยะที่ยังเหลือรอดในปัจจุบันบนโลกนี้เพียงไม่กี่ตัวเองนะ หลัวปออะไรกัน? โลโบชื่อนี้ยังพอได้ แต่พวกคุณเรียกฉันว่าอะไรกันล่ะ?

ฉินสือโอวดันเจ้าตัวเล็กที่ต้องการเข้ามาผสมโรงออกไป เขาพูดกับวินนี่อย่างอ่อนโยนว่า “ที่รัก คุณรู้ไหม ผมรักคุณ ผมรักคุณมากเลยนะ คุณไม่ชอบผมก็ไม่ชอบ แต่ว่าคุณคิดดูดีๆ นะ ชื่อเหอชั่งและหนีกู่ไม่เพราะเหรอ? คุณไม่ชอบเหรอ?”

วินนี่ตอบกลับว่า “ไม่ ที่รัก ฉันไม่ชอบค่ะ”

ฉินสือโอวยิ้มออกมา “คุณลองคิดดูอีกที คุณไม่ชอบจริงๆ เหรอ? ชื่อดีเลี้ยงง่าย คุณดูเสี่ยวหมิงกับหลัวปอสิ ยังมีหู่จือกับเป้าจืออีก พวกมันมีชีวิตที่ดีมากเลยนะ”

เหล่าสัตว์เลี้ยงทั้งหลายต่างพากันถอนหายใจออกมา พูดถึงเรื่องการตั้งชื่อ พวกมันไม่เคยเห็นใครไร้รสนิยมเท่าพ่อฉินของพวกมันมาก่อนเลย!

วินนี่พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ชื่อนี้ไม่เพราะเลยจริงๆ นะคะ ชื่อมันแย่เกินไป ฉิน หรือว่าพวกเราจะเรียกพวกมันว่าโรมิโอกับจูเลียตดีคะ ชื่อนี้เพราะกว่าตั้งเยอะ ใช่ไหมคะ?”

ฉินสือโอวจับมือวินนี่พลางมองไปยังดวงตาของวินนี่ด้วยสายตาอ่อนโยน “โรมิโอกับจูเลียตมันน่าเศร้าเกินไป เหอชั่งกับหนีกู่ดีกว่าเยอะ คุณลองคิดอีกทีสิว่าชอบหรือเปล่า?”

ในที่สุดวินนี่ก็หมดความอดทน “จะไม่เปลี่ยนชื่อที่เพราะกว่านี้จริงๆ เหรอคะ?”

“คุณไม่ชอบจริงๆ งั้นเหรอ? คุณคิดดูดีๆ นะ ลองเอาใจเค้ามาใส่ใจเราดูสิ ชอบหรือเปล่า?” ฉินสือโอวยังคงรุกด้วยความอ่อนโยนอย่างต่อเนื่อง

วินนี่พูดขึ้นมาอย่างจำนนว่า “เอาล่ะ ฉันชอบนิดหน่อยแล้ว”

ฉินสือโอวยิ้มออกมา พลางพูดมาอย่างมีความสุขว่า “ดูสิ ผมรู้ว่าคุณชอบ ชื่อที่คุณไม่ชอบผมไม่กล้าตั้งหรอก พอคุณชอบแบบนั้นก็ดีเลย งั้นต่อไปพวกมันชื่อเหอชั่งกับหนีกู่ก็แล้วกัน”

เฟอเรทแบลคฟุตทั้งสองตัวมองไปยังวินนี่ด้วยสายตาอ้อนวอน วินนี่มองไปยังพวกมันด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าทำอะไรไม่ถูก “ครอบครัวของเราเป็นประชาธิปไตย ชื่อนี้ก็ถูกตั้งขึ้นตามนี้ล่ะ”

ตอนนั้นบัตเลอร์ก็เดินเข้ามาพอดี เขาถามออกมาอย่างร่าเริงว่า “พวกคุณกำลังตั้งชื่อให้อะไรกันอยู่เหรอ?”

เรื่องที่เฟอเรทแบลคฟุตอยู่ที่ฟาร์มปลาตอนนี้ยังเป็นความลับ หลังจากที่ฉินสือโอวได้ยินเสียงของบัตเลอร์ เขาก็รีบดันพวกมันทั้งสองตัวเข้าไปซ่อนไว้ใต้หมอนทันที สองพี่น้องเฟอเรทชะโงกหน้าออกมาข้างนอก แบบนี้ก็ขาดอากาศหายใจตายพอดี โอเคไหม?

ยังดีที่วินนี่ใส่ชุดออกกำลังกายอยู่ ที่เสื้อมีกระเป๋าสองข้างที่หน้าอก เธอหยิบสองพี่น้องเฟอเรททั้งสองใส่เข้าไปในกระเป๋า พวกมันทั้งสองตัวโผล่หัวออกมาเล็กน้อย กระเป๋าสองใบนั้นมีขนาดที่เขากับพวกมันพอดี

ฉินสือโอวแสร้งทำเป็นพูดออกมาเรื่อยเปื่อย “อ้อ ไม่มีอะไร ฉันกับวินนี่คิดว่าจะมีลูกอีกสักคนเลยคิดอยากตั้งชื่อขึ้นมา ว่าแต่ นายมาได้อย่างไร? ลมอะไรพัดนายมาที่นี่เหรอ?”

ขอเพียงไม่พูดถึงเรื่องธุรกิจ ความคิดของบัตเลอร์ก็ค่อนข้างเรียบง่าย เขารีบพูดเปิดประเด็นกับท่านชายฉินทันที “บ้าเอ๊ย! อย่าพูดถึงเลยเพื่อน ห้างของเราอาหารหมดแล้ว ต้องรีบออกทะเลแล้ว ปลาและกุ้งทั้งหมดขาดแคลน สองสามมานี้ท่าเรือและสนามบินถูกปิดเนื่องจากหมอกลงจัด อาหารทะเลหมดเกลี้ยงแล้ว”

เรื่องง่ายๆ แบบนี้ แค่พวกชาวประมงออกทะเลไปก็จบเรื่อง

บัตเลอร์บอกว่าต้องจัดหาอาหารให้กับห้างทั้งหมดสี่แห่ง ทั้งที่อยู่ในไมอามีและนิวยอร์กด้วย นอกจากนี้เขายังเปิดตลาดอาหารทะเลที่ผูกขาดกับฟาร์มปลาต้าฉินอีกสองแห่งที่ชาร์ลอตต์และวอชิงตันอีกด้วย เพราะการที่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของสหรัฐอเมริกาเชื่อมต่อกันเป็นทางยาว เขาเกือบที่จะขยายอาณาจักรได้ทั่วทั้งแนวชายฝั่งแล้ว

“ต่อไปพวกเราก็จะครองตลาดนิวออร์ลีนส์ ที่นั่นอยู่ใกล้กับอ่าวเม็กซิโก มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่ว่าพวกเรายังคงจะแข็งแกร่งกันอยู่แบบนี้ใช่ไหม? หลังจากชนะที่นิวออร์ลีนส์ พวกเราก็จะไปทางตะวันตก และเปิดตลาดในฮูสตัน!”

“จากฮูสตันจะไปยังซานอันโตนิโอ แบบนี้พื้นที่ครึ่งหนึ่งของอเมริกาก็จะถูกพวกเราล้อมรอบไว้แล้ว ใช้เวลาไม่กี่ปี พวกเราก็จะสามารถครองตลาดอาหารทะเลระดับไฮเอนด์ในอเมริกาได้อย่างสมบูรณ์! เป็นอย่างไร ภูมิใจไหม?”

ฉินสือโอวมองไปที่แผนที่ เมื่อได้ยินแผนของบัตเลอร์ เขาก็รู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมา พวกเขากำลังสร้างอาณาจักร แม้ว่าจะอยู่ในช่วงขยายอาณาเขต แต่ว่าตอนนี้เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

แบบนี้ ฉินสือโอวก็มีแรงจูงใจที่จะออกทะเลไปตกปลาทันที เขาเป็นคนนำทีมด้วยตัวเอง เขาพาชาวประมงทุกคน ออกทะเลและทำงาน!

เรือปริ้นเซสเมล่อนและเรือฮาวิซทถูกส่งออกไปพร้อมกัน เรือฮาวิซทจับพวกปลาและกุ้งในน้ำลึก เช่นปลาหัวเมือก ปลาแฟงค์ทูธ ล็อบสเตอร์พวกนั้น ส่วนเรือปริ้นเซสเมล่อนใช้สำหรับตกปลาขนาดใหญ่ที่อยู่รอบๆ

เรือยักษ์ขนาดพันตันนั้นดุดัน เรือปริ้นเซสเมล่อนพุ่งไปยังจุดน้ำลึกอย่างรวดเร็ว พวกเขาโยนอวนลงไปตรงตำแหน่งที่ฝูงปลาฝูงใหญ่อยู่

เมื่อเก็บปลาทะเลตัวแบนเสร็จ ก็มีข่าวมาจากชาร์คที่อยู่บนเรือฮาวิซท “บอส ที่นี่เจอเข้ากับอวนติดตา คุณมาดูหน่อยเถอะ”

อวนติดตากับอวนลากและอวนล้อมนั้นเหมือนกัน พวกมันเป็นอวนชนิดหนึ่งที่ใช้ในการตกปลา

แต่ว่าของเล่นชิ้นนี้สร้างความเสียหายให้อย่างมหาศาล อวนขนาดใหญ่มักประกอบไปด้วยตาข่ายขนาดใหญ่ กลางและเล็กสามชั้นรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นปลาตัวใหญ่หรือปลาตัวเล็กก็ไม่สามารถหนีหลุดออกไปได้ การใช้มันในทะเลอาจทำให้เกิดหายนะทางระบบนิเวศได้ เพราะเหตุนี้ ในหลายประเทศจึงห้ามใช้อวนติดตาในการจับปลา

ฉินสือโอวขึ้นขับเรือยนต์ที่อยู่บนเรือปริ้นเซสเมล่อนออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เข้าใกล้เรือฮาวิซทแล้ว เขาก็เห็นชาร์คโบกมือให้เขาอยู่ที่ดาดฟ้าเรือ

น่านน้ำมหาสมุทรที่อยู่หน้าเรือฮาวิซท มีตาข่ายสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ที่ทอจากสายใยพลาสติกหลายชั้นลอยอยู่ มีตาข่ายหลายอันอยู่รวมกัน ที่ด้านบนมีทุ่นลอยน้ำพลาสติกติดอยู่ ส่วนด้านล่างมีตะกั่วจมอยู่ ตาข่ายเหล่านี้ถูกกางออกมาในแนวตั้ง ราวกับต้องการล้อมปิดทางศัตรูไว้อย่างแน่นหนา

ฉินสือโอวนึกถึงเรือประมงร้อยตันขนาดเล็กที่เข้ามาในน่านน้ำฟาร์มปลาอย่างอุกอาจ คาดว่าอวนพวกนี้จะมาจากเรือลำนั้น เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้เขากัดฟันแน่นอยู่เงียบๆ หากรู้แต่แรกเขาคงให้คราเคนล่มเรือลำนั้นไปแล้ว ให้เรือขโมยปลาพวกนั้นรับรู้ที่ความไม่พอใจของเขา!

………………………………………………………..

[1] เหอชั่ง แปลว่าพระในภาษาไทย

[2] หนีกู่ แปลว่าแม่ชีในภาษาไทย

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท