ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1226 เตรียมหาเสียงในเมือง

บทที่ 1226 เตรียมหาเสียงในเมือง

เด็กที่น่าสงสารงั้นเหรอ? ฉินสือโอหัวเราะเยาะออกมาเพราะคำนี้ วาฬที่ถูกพวกเขาฆ่าตัวนั้นต่างหากที่น่าสงสาร ไม่ใช่เหรอ?

พูดตามความจริงแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับชไนเดอร์และครอบครัวของเด็กคนอื่นๆ ที่มีท่าทีอ่อนน้อมแบบนี้ ฉินสือโอวก็เริ่มใจอ่อน เขาก็เป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง สิ่งที่เด็กหนุ่มทั้งสี่กระทำเป็นเรื่องร้ายแรงที่ไม่สามารถให้อภัยได้

แต่ว่าในสถานการณ์เช่นนี้เขาหมดหนทางจริงๆ “คุณก็รู้ คุณชไนเดอร์ ในคดีนี้ผมไม่ได้เป็นคนฟ้องลูกของพวกคุณ แต่เป็นพวกเขาที่ทำผิดกฎหมาย ตอนนี้เป็นประเทศที่ฟ้องพวกเขา ผมก็หมดหนทางเหมือนกัน”

เจ้าของโรงงานเหล็กพูดอย่างร้อนรนว่า “ไม่ๆ คุณฉิน พวกเขามีวิธีแน่นอน ใช่ไหม?”

ฉินสือโอวนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ถ้าหากพวกคุณยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาสูงสุด เช่นนั้นผมจะยอมที่ถอนข้อกล่าวหาที่บอกว่าพวกเขาทั้งสี่คนยิงเต่ามะเฟือง ผมคิดว่าคุณก็รู้ว่านี่คือสิ่งเดียวที่ผมสามารถทำได้”

ชไนเดอร์ มองไปยังทนายโบราโซ คาร์นินเดอะฟอร์ธ ที่เขาจ้างมาด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง เขาส่ายหัวและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ความหมายของเขาคือแค่นี้มันยังไม่เพียงพอ

แต่สิ่งที่ฉินสือโอวทำได้ก็มีเพียงเท่านี้ หรือว่าต้องให้เขาไปเปลี่ยนคำพูดก่อนหน้านี้ แล้วบอกว่าพวกเขาทั้งสี่คนไม่ได้เป็นคนฆ่าวาฬงั้นเหรอ? ไม่ได้หรอกนะ มันคือเรื่องจริง เขาไม่สามารถเปลี่ยนคำพูดได้

ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของครอบครัวชไนเดอร์ ฉินสือโอวจึงเดินออกมาด้วยท่าทีนิ่งสงบ ผู้หญิงคนหนึ่งพุ่งเข้ามาคว้าเสื้อของเขาไว้ เธอตะโกนออกมาด้วยเสียงอันแหบพร่าว่า “ทำไมคุณถึงได้ใจร้ายแบบนี้? คุณไม่มีลูกเหรอ? ทำไมคุณไม่ยอมช่วยเด็กพวกนี้ พวกเขาทำอะไร? พวกเขาเพียงแค่ฆ่าวาฬตัวเดียวก็เท่านั้น วาฬตัวเดียวมันจะอะไรนักหนาเหรอ? มันมีมูลค่าเท่าไหร่? พวกเราจะชดใช้ให้สิบเท่า ยี่สิบเท่า หนึ่งร้อยเท่าเลย!”

ฉินสือโอวใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น เขาพูดขึ้นมาว่า “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ คุณผู้หญิง แต่ผมคิดว่าคนที่ต้องการส่งลูกๆ ของคุณเข้าคุกอันที่จริงแล้วไม่ใช่กฎหมายหรอก แต่เป็นเพราะความรักแบบไม่ลืมหูลืมตาของพวกคุณต่างหาก!”

เบิร์ดและนีลเซ็นมีฐานะเป็นถึงบอร์ดี้การ์ดของฉินสือโอว นีลเซ็นใช้ร่างกายของตัวเองกันฉินสือโอวและผู้หญิงคนนั้นให้ห่างกัน ส่วนเบิร์ดก็พาฉินสือโอวเดินแยกออกมาด้านข้าง พลางพูดขึ้นว่า “บอส รีบเดินเถอะครับ”

เมื่อออกมาจากศาล ฉินสือโอวก็ถอนหายใจออกมา ปรากฏว่ามีคนพูดขึ้นมาอีกว่า “คุณฉิน สวัสดีครับ ตอนนี้พอจะมีเวลาไหมครับ? มีคนต้องการพบคุณ”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา ให้ตายเถอะเขากลายเป็นคนใหญ่คนโตตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ? มีคนต้องการคุยกับตัวเองทีละคนสองคนแบบนี้น่ะ? เอาล่ะ ตอนนี้จะมีเรื่องอะไรมาคุยกับเขางั้นเหรอ? แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัยรุ่นพวกนั้นแน่นอน

เขาพยักหน้าอย่างว่าง่าย เขาอยากรู้ว่าชไนเดอร์และคนอื่นๆ จะหาคนแบบไหนมากดดันคนอย่างตัวเอง

ปรากฏว่าเมื่อเข้าห้องทานกาแฟไป เขาก็เห็นแฮมเล็ตพุ่งเข้ามาจับมือเขาไว้

“โว้ว ท่านนายกรัฐมนตรี ตอนนี้ยังอยู่ในเวลางาน ทำไมคุณถึงวิ่งออกมาแบบนี้ล่ะ?” ฉินสือโอวหัวเราะออกมา

แฮมเล็ตชี้ไปที่ด้านนอกศาลแล้วพูดว่า “ไม่มีทางอื่นแล้ว ปกติอยากจะเจอนายก็หาไม่เจอ ฉันก็ไม่มีเวลาไปเกาะแฟร์เวล ทำได้เพียงแค่รอนายมาที่นครเซนต์จอห์นแล้วนัดมาคุยเท่านั้น”

บริกรนำน้ำผลไม้มาเสิร์ฟหนึ่งแก้ว ฉินสือโอวบอกว่าเขาไม่ได้สั่ง แฮมเล็ตยิ้มพลางพูดออกมาว่า “ฉันช่วยสั่งให้นายเอง นายชอบน้ำผลไม้ ไม่ชอบกาแฟไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวปฏิเสธออกไปว่า “ไม่ครับ วันนี้ผมอยากดื่มกาแฟสักแก้ว มีเรื่องให้คิดมากเกินไปแล้ว”

บริกรนำน้ำผลไม้กลับไป เขาแอบตกใจอยู่ในใจเงียบๆ มิน่าล่ะถึงมีแต่คนบอกว่าเจ้าของฟาร์มปลาชาวจีนคนนี้เป็นคนที่สุดยอดมาก เพราะว่าเป็นคนที่สุดยอด น้ำผลไม้ที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้คิดจะปฏิเสธก็ปฏิเสธได้ เอาแต่ใจจริงๆ

แฮมเล็ตหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี แล้วบอกกับบริกรว่า “รีบเปลี่ยนเป็นกาแฟที่ใช้เมล็ดกาแฟคั่วบดจากกัวเตมาลา แอนติกามาเร็ว”

เมื่อบริกรเดินออกไป ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมาแล้วมองไปยังแฮมเล็ต จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “อยากเจอผม มีเรื่องอะไรรึเปล่าครับ?”

แฮมเล็ตตอบว่า “ฉันคิดว่านายจะมาหา แต่ปรากฏว่ารอตั้งนานนายก็ไม่มา เพราะแบบนั้นฉันเลยมาหานายเอง แน่นอนว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนาย เรื่องที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ นายรู้แล้วใช่ไหม?”

ฉินสือโอวถามกลับด้วยความสงสัย “การอุทธรณ์ครั้งสุดท้ายของศาลฎีกาสูงสุดแห่งแคนาดางั้นเหรอครับ?”

แฮมเล็คพูดขึ้นอย่างตะลึงว่า “อุทธรณ์อะไรกัน? เดี๋ยวก็จะเดือนกรกฎาคมแล้ว การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของเกาะแฟร์เวลจะเริ่มขึ้นแล้ว! นายไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยเหรอ?!”

ฉินสือโอวพึ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองนั้นได้ปล่อยไก่ออกมาอีกแล้ว เขาพึ่งจะออกมาจากศาลแล้วก็โดนแฮมเล็ตเรียกตัวมาทันที ในหัวของเขากำลังคิดถึงแต่เรื่องของคดีอยู่

“อ้อๆ การเลือกตั้งเปลี่ยนวาระ แน่นอนว่าผมสนใจ วินนี่ได้เตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว ผมสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการลงเลือกตั้งของเธออย่างเต็มที่” ฉินสือโอวพูด

แฮมเล็ตพยักหน้าแล้วพูดว่า “แบบนี้ก็ไม่เลว หากวินนี่ได้รับเลือก เธอก็จเป็นนายกเทศมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของเกาะแฟร์เวล”

ฉินสือโอวไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมืองพวกนี้เลยจริงๆ เพราะแบบนี้เขาจึงถือโอกาสถามแฮมเล็ตในเรื่องที่เขากังวลมากที่สุด “ผู้หญิงลงสมัครเลือกตั้งไม่ค่อยมีความได้เปรียบเลยใช่ไหม?”

แฮมเล็ตยักไหล่ “แน่นอน ประชาชนยังคงไว้วางใจในความเป็นผู้นำของเพศชายมากกว่า ส่วนสาเหตุขอไม่อธิบาย เพราะมันต้องพูดถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ ระบบการเมืองรวมถึงความเจริญของสังคมด้วย แต่ว่าก็ต้องมองที่โอกาสด้วย สำหรับการเลือกตั้งระดับเมือง ผู้หญิงอาจจะไม่โดดเด่น แต่หากเป็นการเลือกตั้งระดับมหานคร แบบนั้นเธออาจจะไม่มีโอกาสเลยแม้แต่เงา”

ฉินสือโอวถามว่าทำไม แฮมเล็ตถูมือไปมาอย่างเก้ๆ กังๆ แล้วพูดว่า “แคนาดามีเมืองเล็กๆ อยู่เยอะ แต่ละเมืองมีครัวเรือนไม่กี่สิบครัวเรือน พวกเขาไม่ได้สนใจว่าใครจะเป็นนายกเทศมนตรีเมือง นายไม่ได้ดูข่าวเหรอ? นายกรัฐมนตรีเมืองบางเมืองเป็นสัตว์นำโชคด้วยนะ”

เรื่องนี้ไม่ต้องดูข่าวก็รู้ แคนาดาและอเมริกานั้นเหมือนกัน มักจะมีข่าวออกมาบ่อยๆ ว่าชาวบ้านบอกว่าอะไรที่น่ารักก็จะกลายเป็นนายกเทศมนตรีคนใหม่ของพวกเขา การเลือกพวกสัตว์น่ารักพวกนั้นก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบเช่นกัน มีบางเมืองเลือกแมวเลือกสุนัขพวกนั้นมาเป็นนายกเทศมนตรี…

เมื่อกาแฟมาเสิร์ฟ ฉินสือโอวก็พูดขอบคุณแล้วยกมันขึ้นดมกลิ่น อือ กลิ่นหอมไม่เลวเลย

ที่แฮมเล็ตเรียกเขา อันที่จริงเขาต้องการที่จะระบาย เรื่องด้านบนก็ได้รับการเตรียมการเรียบร้อยแล้ว รอให้วินนี่ลงสมัครเลือกตั้งและจากนั้นก็ทำการลงคะแนนเสียง เขาส่งเอกสารรับรองให้วินนี่แค่นี้ก็ได้แล้ว

ด้วยความนิยมของวินนี่ที่มีต่อชาวเมือง การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีครั้งนี้จึงไม่ใช่ปัญหา อีกอย่างแฮมเล็ตที่อยู่ในเมืองยังคอยช่วยเหลือเรื่องทีมงานที่อยู่ในมหานครอีกด้วย มีคนพวกนี้คอยสนับสนุน โอกาสที่วินนี่จะชนะก็ยิ่งมีมากขึ้น

มาถึงเดือนกรกฎาคม การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองแฟร์เวลก็ได้เริ่มขึ้น

วันเวลาเลือกตั้งถูกกำหนดไว้ที่สัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม ฉินสือโอวรู้สึกว่าแม้ว่าวินนี่จะมั่นใจว่าเธอจะได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี แต่ว่าตัวเองก็ไม่สามารถวางใจได้ เขาจึงทุ่มสุดตัวในการช่วยแฮมเล็ตหาเสียงเพื่อช่วยสนับสนุนวินนี่

อันดับแรก เขาไปยังโรงพิมพ์เพื่อให้พิมพ์ภาพวินนี่หลายๆ ภาพ จากนั้นก็เอาไปแปะที่รั้วบ้านทุกหลัง แบบนี้ไม่ว่าใครจะเดินออกมา ก็จะเห็นรอยยิ้มอันสง่างามของวินนี่

เหล่านักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวเกาะเล็กๆ ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่กับสิ่งที่เห็น เมื่อพวกเขาเข้ามาในเมืองก็จะเห็นโปสเตอร์สาวงามคนหนึ่งอยู่ทุกที่ จนมีคนถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “เธอเป็นดาราที่มีชื่อเสียงคนไหนของแคนาดากันเหรอ? ถึงแม้ว่าจะสวยมาก แต่ทำไมไม่เคยเห็นเลยล่ะ?”

ผลการลงทุนในเมืองเล็กๆ ของฉินสือโอวก่อนหน้านี้เริ่มเห็นผมแล้ว เขาประชาสัมพันธ์เรื่องการเลือกตั้งของวินนี่ผ่านทางวิทยุโดยเฉพาะ อันที่จริงนี้เป็นช่องบันเทิง เพราะวินนี่จะพูดคุยกับทุกคนเกี่ยวกับบทความสนุกๆ ที่เจอในอินเทอร์เน็ต หรือไม่ก็ร้องเพลงอะไรพวกนั้น

ทุกอย่างเกิดขึ้นช้าๆ จนในที่สุดช่องวิทยุช่องนั้นก็กลายเป็นช่องคาราโอเกะสำหรับร้องเพลง ทั้งวันมีแต่เสียงร้องโหยหวนออกมาไม่หยุด!

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท