ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1233 เปิดม่าน

บทที่ 1233 เปิดม่าน

สัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม เมืองแฟร์เวลคึกคักกว่าช่วงงานเฉลิมฉลองประจำชาติเสียอีก

ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน เวทีสูงหลังหนึ่งก็ถูกสร้างขึ้น รอบๆ เวทีประดับประดาไปด้วยดอกไม้ ดอกไม้พวกนี้ยังมีคนมาคอยจัดจนถึงช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คนที่มาทำงานคือคุณลุงฮิคสัน ดอกไม้พวกนี้ก็มาจากสวนดอกไม้ของเขา

ชายวัยกลางคนผู้มีท่าทีสง่างามคนหนึ่งกำลังเตรียมกล่าวสุนทรพจน์บนเวที ชายผู้นั้นคือดิค คอฟแมน มิเชลและกอร์ดอนถามมาจากที่โรงเรียนประถมศึกษามาแล้ว เขาคือพิธีกรในการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้

ไม่ว่าการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีของนครเซนต์จอห์นจะจัดที่เมืองใดหรือครั้งไหนก็ตาม พิธีกรก็จะเป็นชายผู้นี้ พวกเขาต่างส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น พิธีกรคนล่าสุดคือพ่อของดิค คุณปู่คอฟแมน หลังจากที่เขาจบมหาวิทยาลัย งานนี้ก็ถูกส่งต่อมายังเขาทันที

นอกจากนี้ ฮิวจ์คนน้องและพวกพ้องก็กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการปรับลำโพงอยู่ เพราะเหตุนี้จึงเกิดเสียงกรีดร้องของลำโพงดังไปทั่วท้องถนนเป็นระยะ

ถนนทั้งสองข้างถูกประดับไปด้วยธงที่ปลิวไสวไปมา ธงหลากหลายแบบแขวนอยู่ตามถนน ไม่ว่าจะเป็นธงประจำชาติแคนาดา ธงประจำรัฐนิวฟันแลนด์ และยังมีธงของเมืองแฟร์เวลอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีโปสเตอร์ของผู้สมัครลงเลือกตั้งปลิวไปมาด้วยอีกจำนวนหนึ่ง บนโปสเตอร์เหล่านั้นเป็นรูปของผู้ลงสมัครเลือกตั้งทั้งห้าคน

บนถนนสายหลักหลายสาย มีคนมาแจกใบปลิวอยู่ตลอดเวลา ด้านบนใบปลิวเป็นการแนะนำผู้ลงสมัครเลือกตั้งทั้งห้าคนรวมถึงนโยบายการหาเสียงของพวกเขา โดยไม่ต้องสงสัย คนที่เป็นที่ตื่นตาตื่นใจที่สุดก็คือวินนี่

แวดวงการเมืองของนิวฟันแลนด์นั้นมีลักษณะที่เฉพาะที่สุดในแคนาดา พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ หลายอย่างนั้นเหมือนกับประเทศอังกฤษ เนื่องจากพวกเขาตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่หลายอย่างก็ยังเหมือนประเทศแคนาดา เพราะว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองพวกเขาก็กลับคืนสู่แคนาดา…

แวดวงการเมืองชั้นสูงนั้นค่อนข้างวุ่นวาย การเมืองเล็กๆ ระดับเมืองจึงไม่ได้มีอะไรเป็นหลักแน่นอนเป็นธรรมดา เรื่องตลกของการเลือกตั้งในเมืองเล็กๆ จึงมีออกมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย สุนัขเป็นนายกเทศมนตรีบ้าง แมวเป็นนายกเทศมนตรีบ้าง ที่มากไปกว่านั้นคือ ยังมีการเอาคนตายมาเป็นนายกเทศมนตรีด้วย…

แต่เมืองแฟร์เวลถือว่าเป็นเมืองขนาดใหญ่ การเลือกตั้งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เหล่าประชาชนต่างก็รู้เรื่องนี้ดี ทิศทางการเมืองของเมืองแห่งนี้จำเป็นจะต้องได้รับการนำทัพโดยนายกเทศมนตรีที่เก่งกาจ ในเรื่องนี้พวกเขาต่างก็จริงจังกับมันมาก พวกเขาจะเลือกคนที่พวกเขาคิดว่าเหมาะสมที่จะเป็นนายกเทศมนตรีมากที่สุด

ดังนั้น แม้ว่าหนึ่งในผู้ลงสมัครในครั้งนี้จะมีสุนัขอยู่ด้วยหนึ่งตัว แต่พวกเขาก็เข้าใจดีว่านี่เป็นการสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานครึกครื้นเท่านั้น คงไม่มีใครลงคะแนนเสียงให้สุนัขจริงๆ แน่นอน

ใช่แล้ว ผู้ลงสมัครนายกเทศมนตรีของเมืองแฟร์เวลในครั้งนี้มีสุนัขอยู่ด้วยหนึ่งตัว จนถึงตอนนี้ฉินสือโอวพึ่งจะเข้าใจเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าฮิวจ์คนน้อง เจ้าบ้านั่นไปหาพิตบูลสุนัขที่ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งนักสู้มาจากไหน ก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วันสุนัขพันธุ์พิตบูล ตัวนั้นมีท่าทางดุร้ายมาก หลังจากนั้นมันก็ถูกลงชื่อเป็นผู้ลงสมัครเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรี

“พระเจ้า” ฉินสือโอวโบกมือเรียกให้ชาร์คมาหา “สุนัขของฮิวจ์คนน้องตัวนั้นมันอะไรกัน? ไร้สาระ งานที่จริงจังขนาดนี้ ให้เขามายุ่งได้อย่างไร! ไป พาหู่จือกับเป้าจือมาจัดการมันสิ จากนั้นวินนี่ก็จะมีคู่ต่อสู้ลดน้อยลง!”

ชาร์คชี้ไปที่รูปภาพของสุนัขที่กำลังยิ้มยิงฟันอยู่แล้วพูดออกมาว่า “บอส นี่เป็นพิตบูลเลยนะ มันเก่งมาก เกรงว่าหู่จือกับเป้าจือจะตกที่นั่งลำบากได้นะครับ”

“งั้นไปพาฉงต้ามา!”

“มันสู้สุนัขเพศเมียตัวนี้ไม่ไหวหรอกครับ!”

ผู้ลงสมัครเลือกตั้งทั้งห้าคนในครั้งนี้จะมาแทนนายกเทศมนตรีฮานี่ย์ แรมโบ้ เขามีคุณสมบัติที่จะได้ลงสมัครเลือกตั้งโดยอัตโนมัติ ส่วนผู้สมัครที่เหลือสามในสี่คนได้ไปยื่นขออนุมัติจากสภาเมืองนครเซนต์จอห์นด้วยตัวเอง ส่วนอีกหนึ่งคนนั้นเป็นคนที่รัฐบาลสรรหามา

คนที่รัฐบาลสรรหามานั้นคือเสมียนศุลกากร แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เรื่องนี้เป็นแฮมเล็ตที่เข้ามาช่วยฉินสือโอว เขาวางแผนให้ทุกคนทำท่าทีไม่สนใจเสมียนคนนั้น เพื่อที่จะลดความกดดันในการหาเสียงของวินนี่

ผู้ลงสมัครทั้งสามคนของเมืองได้แก่ วินนี่ ชาวประมงและเจ้าของโรงแรมอย่างเอลตัน เบิร์ตและสุนัขพิตบูลของฮิวจ์คนน้อง

เมื่อดูจากรายชื่อผู้ลงสมัครเลือกตั้งก็มองออกได้ทันทีว่า การลงสมัครเลือกตั้งของวินนี่เป็นความหวังของทุกคน พวกเขาทุกคนต่างพากันช่วยเธออย่างเต็มที่ คู่แข่งของเธอนั้นไม่ได้เรื่อง กิจกรรมหาเสียงของเธอก็ถูกจัดขึ้นมากที่สุด แขกผู้มาช่วยหาเสียงของเธอนั้นแข็งแกร่งที่สุด ถ้าหากว่าแบบนี้แล้วเธอยังไม่ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรี แบบนั้นก็ถือว่าโดนหลอกแล้วล่ะ!

ช่วงนี้วินนี่ได้ไปเป็นแขกรับเชิญทางสถานีวิทยุและสื่อต่างๆ มากขึ้น รายการข่าวเศรษฐกิจแห่งนครเซนต์จอห์นได้เชิญเธอไปสัมภาษณ์ในหัวข้อ ว่าที่นายกเทศมนตรีที่สวยที่สุดในนิวฟันแลนด์กำลังจะได้รับชัยชนะ

เหมือนกับการเลือกตั้งอื่นๆ การเลือกตั้งในครั้งนี้ถูกจัดขึ้นในสุดสัปดาห์ ในวันเสาร์ผู้ลงสมัครเลือกตั้งจะกล่าวสุนทรพจน์และเปิดให้ผู้ลงสมัครตอบคำถามจากประชาชน เที่ยงคืนของวันเสาร์หรือเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะอดหลับอดนอนเพื่อรอลงเลือกตั้ง และพวกเขาจะเริ่มนับคะแนนทันที นายกเทศมนตรีจะได้รับการเลือกภายในชั่วข้ามคืน

การกล่าวสุนทรพจน์จะเริ่มตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป ผู้สมัครเลือกตั้งทุกคนมีเวลาในการกล่าวสุนทรพจน์อย่างเต็มที่คนละครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เมื่อถึงเวลาสี่โมงเย็น ผู้ลงสมัครเลือกตั้งห้าคนจะนั่งรวมกันเพื่อรอรับคำถามจากประชาชนและผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่ทางรัฐบาลส่งมา ในส่วนนี้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่งานจบลงทุกคนก็สามารถกลับบ้านไปทานข้าวและหารือเรื่องที่จะสนับสนุนผู้ลงสมัครเลือกตั้งคนไหนได้

ตอนเช้าวินนี่อยู่กับเออร์บักและแมคคาลลียน พวกเขากำลังพูดคุยกันถึงเรื่องเนื้อหาในการกล่าวสุนทรพจน์ สำหรับเนื้อหาร่างฉบับสุดท้าย ฉินสือโอวได้ดูมันด้วย เมื่อเห็นว่าไม่มีตรงไหนที่ต้องการให้เขาช่วย เขาก็เลยออกไปเที่ยวเล่น

ผู้ลงสมัครเลือกตั้งทั้งห้าคนจะมีห้องพักรับรองที่โรงแรมในเมืองชั่วคราว ฉินสือโอวที่พึ่งจะออกมาจากที่นั่น เขาก็เจอเข้ากับฮิวจ์คนน้อง เขากำลังจูงสุนัขพิตบูลอยู่ในมือ แต่มันไม่ได้เป็นสุนัขโตเต็มวัย เป็นเพียงลูกสุนัขที่ค่อนข้างตัวใหญ่เท่านั้น อีกอย่างมันก็ไม่ได้ดุร้ายมาก มันยิ้มออกมาด้วยท่าทางซื่อๆ

ฉินสือโอวชี้ไปที่มันแล้วถามว่า “นี่นายกำลังเล่นอะไรอยู่?”

ฮิวจ์พูดข่มขู่เขากลับว่า “เด็กน้อย นายควรจะทำตัวดีๆ หน่อย มันชื่อบุช ต่อไปมันจะเป็นนายกเทศมนตรีของพวกเรา หลังจากที่มันได้รับเลือก นายจะให้มันกินนายเหมือนนายเป็นอาหารเลย!”

“ทำไมจู่ๆ นายถึงคิดเลี้ยงพิตบูลขึ้นมาล่ะ?” ฉินสือโอวถามออกมาด้วยความสงสัย สุนัขสายพันธุ์นี้ดุร้ายมาก ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงในเมือง แน่นอนว่าเลี้ยงในชนบทนั้นไม่เป็นอะไร เพราะเขาก็ยังเลี้ยงหมีสีน้ำตาลและหมาป่าขาวเลย

ฮิวจ์คนน้องตอบกลับมาว่า “อะไรที่เรียกว่าจู่ๆ ก็อยากเลี้ยงขึ้นมา? ยังจำที่เราเล่นสกีกันเมื่อปีที่แล้วได้ไหม? ที่นายทำเรื่องไร้สาระในตอนนั้นน่ะ”

ฉินสือโอวทำหน้าบึ้งแล้วพูดออกมาว่า “ไม่ต้องให้นายย้ำหรอก ฉันได้ พูดเรื่องที่จะพูดตรงๆ เลยเถอะ”

“ตอนนั้นนายไม่ใช่เหรอที่ให้หู่จือกับเป้าจือมาแกล้งฉัน? ตอนนั้นฉันสาบานอย่างเงียบๆ ว่า ต่อไปฉันจะเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่ที่ดุร้ายมาแก้แค้นนาย! ตอนนี้วันนั้นได้มาถึงแล้ว!” ฮิวจ์คนน้องจงใจกัดฟันแน่นแล้วพูดลอดฟันออกมา

ฉินสือโอวหัวเราะแห้งออกมา แล้วพูดอย่างดูถูกว่า “เพื่อน นายไม่ได้แก้แค้นหรอก นี่เป็นการเสิร์ฟอาหารชัดๆ ตอนบ่ายฉันจะพาฉงต้ามา วันนี้มันยังไม่ได้กินอะไรพอดี สุนัขของนายตัวนี้ถือว่าเป็นอาหารของมันสักมื้อแล้วกัน!”

พิตบูลนั้นโง่แต่ก็มีประสาทสัมผัสไวมาก มันสัมผัสได้ถึงเจตนามุ่งร้ายลึกๆ ที่ฉินสือโอวมีต่อมัน มันจึงอ้าปากเห่าฉินสือโอวอยู่สองสามครั้ง

ฉินสือโอวโบกมือให้ฮิวจ์คนน้องจากนั้นก็เดินออกมา เขาต้องกลับไปพาหู่จือและเป้าจือมาที่นี่

หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ ชาวเมืองต่างก็พากันเข้ามาในเมืองเพื่อที่จะเตรียมตัวเข้าร่วมการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีที่จัดขึ้นทุกๆ สี่ปี

การกล่าวสุนทรพจน์ของผู้เลือกตั้งทั้งห้าคน ผู้ที่ขึ้นเวทีคนแรกคือพิตบูลที่ชื่อบุชของฮิวจ์คนน้อง แม้ว่าเขาจะครอบครองสุนัขสายพันธุ์ดุร้ายที่มีนิสัยกล้าหาญ แต่คาดว่ามันคงไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน นั่นคือการที่ถูกคนนับพันจ้องมองมา…

ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ฮิวจ์คนน้องปล่อยมือจากมันบนเวที มันก็วิ่งหนีหางจุดตูดลงเวทีไปอย่างรวดเร็ว

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน