ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1215 กัปตันบราบัสและลูกเรือของเขา

บทที่ 1215 กัปตันบราบัสและลูกเรือของเขา

พลังโพไซดอนสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับคราเคน จุดที่เปลี่ยนไปมากที่สุดไม่ใช่การเติบโตที่รวดเร็ว แต่เป็นการปรับตัวให้เข้ากับแรงดันน้ำที่เปลี่ยนไปต่างหาก

แม้ว่าสัตว์ไร้กระดูกจะมีเซลล์อนินทรีย์บางส่วนเกิดการไหลย้อนกลับไป เหตุการณ์นี้นำไปสู่การเสียสมดุลของน้ำในเซลล์ จากนั้นก็จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่ก็เป็นตะคริว

ความสามารถในการปรับเซลล์ให้สมดุลกับแรงดันของคราเคนนั้นดีมาก ตราบใดที่แรงดันไม่ได้เปลี่ยนแปลงในเวลาอันสั้น มันก็จะสามารถปรับสมดุลให้เหมาะสมกับแรงดันได้เสมอ มันสามารถขึ้นมารับแสงแดดบนผิวน้ำได้ตามใจ และยังสามารถต่อสู้กับฉลามที่ใต้ท้องทะเลลึกได้อีกด้วย

ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมมันให้ลอยไปลอยมาบนผิวน้ำทะเล

บนผืนน้ำทะเล เรือลากอวนขนาดห้าร้อยตันล่องน้ำมาด้วยเสียงอันดังลั่น ชาวประมงที่อยู่บนเรือทิ้งอวนขนาดใหญ่ลงมาในทะเลอย่างระมัดระวัง กัปตันเรือควบคุมไฟเลเซอร์ขนาดใหญ่ให้สาดส่องไปทั่วผืนน้ำ แสงเลเซอร์แสบตาราวกับแสงจากคมดาบ แสงนั้นส่องทะลุหมอกทึบที่อยู่บนผืนน้ำได้ในที่สุด

“ระวังกันหน่อย เจ้าพวกโง่ ถ้าหากพวกแกไม่อยากรีบไปเจอพระเจ้าล่ะก็ ระวังงานที่พวกแกกำลังทำอยู่ให้มากๆ!” เสียงแหบทุ้มต่ำของกัปตันดังขึ้น เสียงของเขาดังมากราวกับเสียงแตรของรถแทรกเตอร์

ลูกเรือหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งหัวเราะออกมาเสียงดัง “กัปตันบราบัส คุณวางใจเถอะ พวกเราไม่อยากจะรีบจากโลกอันสวยงามนี้ไปเร็วนักหรอก ก็แค่วางอวนจับปลาไม่ใช่เหรอ? แม้จะหลับตาอยู่พวกเราก็สามารถทำได้สบายๆ ใช่ไหมพวก?”

ชายหนุ่มสองคนที่ร่วมถอดอวนด้วยหัวเราะขึ้นมาร่วมวงกับเขา

กัปตันบราบัสพึมพำขึ้นมาว่า ‘ไอ้เด็กเวร’ จากนั้นก็ดันรถลากที่ใส่เครื่องส่องไฟเลเซอร์ย้ายไปยังหัวเรือ

บนดาดฟ้ามีคนคนหนึ่งมองไปยังท้องทะเลอย่างไร้จุดหมายยืนอยู่ กัปตันบราบัส ใช้ไฟส่องไปที่ชายคนนั้น เมื่อเห็นว่าสติของชายคนนั้นเลื่อนลอยเขาก็โมโหขึ้นมา พลางตะโกนออกมาว่า “เฮ้! นอร์ริส แกนี่ควรลงนรกไปซะจริงๆ! ฉันบอกแกว่าอย่างไร? ให้ตั้งใจทำงาน ตั้งใจทำงาน ตั้งใจทำงาน!”

นอร์ริสเป็นชาวประมงแก่คนหนึ่ง อายุน่าจะประมาณสี่สิบกว่าปี ท่าทางเหลาะแหละและไม่น่าไว้วางใจ เมื่อได้ยินเสียงคำรามของกัปตัน เขาก็ถือกล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาแล้วพูดอย่างอ่อนแรงว่า “พี่ชาย นายเป็นคนชอบทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เหรอ? น่านน้ำทะเลแห่งนี้เดิมทีไม่มีแนวปะการังเลย พวกเรามายืนทำอะไรกันอยู่ที่หัวเรืองั้นเหรอ? นายรู้หรือไม่ว่าการทำแบบนี้ทำให้ผมดูเหมือนเป็นลูกเรือทาสผู้ดูต้นทางโง่ๆ ในศตวรรษที่สิบห้าเลย”

กัปตันบราบัสถลึงตาพลางตะโกนร้องออกมาว่า “หุบปากหมาๆ ของแกไปเลย นอร์ริส บนเรือแกไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกฉันว่าพี่ชาย! เรียกฉันว่ากัปตันบราบัส! อีกอย่าง ฉันแม่งก็เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของแก ไม่ได้เป็นพี่แท้ๆ อย่ามากเรียกฉันอย่างสนิทขนาดนั้น!”

นอร์ริสทำปากมุ่ย จากนั้นก็ยกกล้องโทรทรรศน์ส่องไปข้างหน้า พลางบ่นออกมาว่า “เอาล่ะเอาล่ะ กัปตันบราบัส กัปตันเรือผู้ยิ่งใหญ่ กระผมน้อมรับคำบัญชา ผมจะตั้งใจเป็นผู้ดูลาดเลาอย่างขยันขันแข็ง ผู้ดูต้นทางงี่เง่า!”

บราบัสกลอกตาแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “ฟังนะ นอร์ริส อย่าหาว่าฉันพล่ามเลย ฉันน่ะก็ไม่ใช่พระเจ้า ไม่อยากฟังแกพูดอะไรไร้สาระ! ฉันจะบอกแกไว้นะ ทางที่ดีแกควรจะเบิกตาของแกให้กว้าง แนวปะการังน่ะฉันไม่กลัวหรอก ฉันกลัวเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์พวกแม่งนั้นมากกว่า!”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์’ คำนี้ นอร์ริสก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที เขาหันกลับมาถามว่า “พี่ชายที่รัก นายช่วยพูดอะไรดีๆ ในที่ที่มีบรรยากาศแบบนี้ได้ไหม? เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ ใช่แล้ว เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ พวกเราทุกคนรู้ว่าน่านน้ำแห่งนี้มีเรือผีอยู่ แล้วทำไมนายยังยืนกรานที่จะมาจับปลาที่นี่ล่ะ?”

บราบัสยังคงตะโกนออกมาเสียงดังเหมือนเดิม “แกว่าเพราะอะไรล่ะ? เพราะว่าฟาร์มปลาของไอ้คนจีนคนนี้มันมีทรัพยากรที่โคตรจะอุดมสมบูรณ์อย่างไรล่ะ! เพราะว่าราคาของปลาที่นี่สูงที่สุด! เข้าใจไหม?”

“ถ้าแกอยากจะได้เงิน ก็เบิกตากว้างๆ ของแกมองไปรอบๆ ให้ดี เพียงแค่ใช้ประโยชน์จากสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยหมอกนี้เติมปลาให้เต็มตู้ก็พอ ถ้าทำได้ฉันรับประกัน ช่วงวันที่เหลือของปีนี้แกสามารถใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ ได้เลย!”

เมื่อได้ยินดังนั้น นอร์ริสก็ดีใจขึ้นมาทันที เขาพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบนหน้าว่า “สบายใจได้ ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน เมื่อกี้แคนเมลไม่ได้บอกกับนายแล้วหรืออย่างไร? เขาติดต่อมาทางวิทยุ เรือของตาแก่โคเฮนก็มาจับปลาที่นี่เหมือนกัน หากว่ามีเรือผีอยู่จริงๆ โอกาสที่พวกเราจะเจอเรือผีก็มีเพียงแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่ใช่เหรอ?”

บราบัสไม่พอใจในคำพูดของนอร์ริสขึ้นมาทันที เขาถลึงตาขึ้นมาด้วยความโมโห ตอนนั้นเองที่ห้องโดยสารก็มีหัวโตๆ ของใครบางคนโผล่ออกมา ชายคนนั้นพูดออกมาด้วยอันดังที่เต็มไปความตื่นตระหนกทันทีว่า “กัปตัน รีบมาดูเร็ว แย่แล้ว! พระเจ้า! รีบมาเร็วเข้า รีบมาเร็ว!”

“เกิดอะไรขึ้น แคนเมล นายเจอเข้ากับอะไรเหรอ?” กัปตันบราบัสรีบเดินออกมาถามด้วยความร้อนใจทันที

แคนเมลรีบตอบกลับว่า “เครื่องตรวจจับปลาน่ะสิ กัปตัน เครื่องตรวจจับปลาเจอเข้ากับปลาขนาดใหญ่แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกำลังเข้ามาใกล้พวกเรา! มันคือตัวอะไรกันนะ? ตั้งแต่หาปลามาผมไม่เคยเจอเจ้าตัวนี้มาก่อนเลย!”

นอร์ริสวิ่งตามกัปตันบราบัสไปยังห้องควบคุมเรือ เขามองไปยังเครื่องตรวจจับปลา จากนั้นเขาก็ตกใจ และร้องออกมาด้วยตะลึงทันทีว่า “พระเจ้า! พวกนายเห็นรูปร่างของมันไหม รูปร่างมันเหมือนกับเรือที่กำลังลอยขึ้นมาจากทะเลเลยใช่ไหมนะ?”

บราบัสหันกลับมาจ้องเขา แล้วถามออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “นายหมายความว่าอะไร?”

นอร์ริสพูดขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกว่า “นายหมายความว่าอะไร? รายงานก็มีบอกไว้ไม่ใช่เหรอ ไม่เคยมีใครเคยเห็นว่าเรือผีปรากฏออกมาได้อย่างไร? มันอาจจะลอยขึ้นมาจากใต้ทะเลก็ได้ไม่ใช่เหรอ? เหมือนกับเครื่องบินของชาวดัตช์หรือเปล่า?”

เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้ แคนเมลก็กรีดร้องออกมาทันที เสียงร้องของเขาราวกับเขาถูกแมงป่องกัด “เรือผีเหรอ? พวกเราเจอเข้ากับเรือผีเหรอ?! ไม่ พระเจ้า ไม่เอาแบบนี้สิ เดือนหน้าผมจะแต่งงานกับแม็กกี้แล้วนะ!”

บราบัสชกเข้าไปที่แคนเมลพลางตะโกนออกมาว่า “หุบปาก ไอ้โง่! คนบ้าขี้เหล้าอย่างนอร์ริสพูดอะไรนายก็เชื่อหมดเลยเหรอ? รีบนำเรือออกจากที่นี่ แจ้งปีเตอร์ด้วย ให้พวกเขารีบเก็บอวนที่ทอดลงไปแล้วขึ้นมา!”

อันที่จริงแล้ว ตอนนี้ในใจของบราบัสว้าวุ่นเป็นอย่างมาก แต่เพราะว่าเขาเป็นกัปตัน เขาจำเป็นที่จะต้องนิ่งสงบเพื่อรักษาสถานการณ์ เขาจึงต้องใช้เสียงดังในการปกปิดความว้าวุ่นใจของตัวเอง และพยายามสงบสติอารมณ์แล้วสั่งให้ลูกเรือรีบทำงาน

ในขณะที่นอร์ริสกำลังไปยังท้ายเรือเพื่อบอกทุกคนเกี่ยวกับเรื่องที่บราบัสประกาศ ปรากฏว่าเมื่อเขาเดินออกไป เขาก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจมาจากท้ายเรือ

บราบัสก็ได้ยินเช่นกัน เขาผลักนอร์ริสออกแล้วตะโกนไปทางท้ายเรือว่า “เจ้าพวกโง่ พวกนายร้องโวยวายหาเรื่องตายทำไมกัน? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

มีคนตะโกนกลับมาจากท้ายเรือว่า “กัปตัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อวนของพวกเราถูกลากลงไปยังใต้ทะเลแล้ว! คุณรีบมาดูเร็วเข้า พวกเรามองไม่เห็นแม้แต่เงาของอวนเลย!”

อวนอันหนึ่งราคาไม่ได้ถูกเลย บราบัสวิ่งไปยังท้ายเรื่องพลางสบถด่าอากาศที่ไม่ดี และด่าฟาร์มปลาบ้าบอนี่และเหตุการณ์บ้าๆ ทั้งหมด

ที่ประตูห้องควบคุมเรือ นอร์ริสจ้องมองเข้าไปยังหมอกหนาสีขาวอันกว้างใหญ่ข้างหน้า ทันใดนั้นเขาก็เข้าไปในห้องควบคุมและปิดประตูทันที

แคนเมลที่กำลังเร่งเครื่องยนต์อยู่ถามออกมาว่า “นายปิดประตูทำไม?”

นอร์ริสพูดออกมาด้วยท่าทีสุขุมว่า “เพื่อน นายไม่สังเกตเหรอ หมอกมันหนาขึ้นเรื่อยๆ เลยใช่ไหม? นายรู้ไหม? ภรรยาคนก่อนของฉันเป็นยิปซี ชนเผ่าของเธอเป็นนักโหราศาสตร์และแม่หมอ ฉันได้เรียนรู้อะไรบางอย่างมาจากเธอเล็กน้อย และฉันก็เข้าใจเรื่องพวกนี้”

“นายหมายความว่าอะไร นอร์ริส?” แคนเมลแสดงท่าทางราวกับเห็นผีออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ความหมายของฉันก็คือ ฉันมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์อันน่ากลัวบางอย่างขึ้นที่ทะเล!”

………………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท