ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1235 ว่าที่ภรรยาของผมเป็นนายกเทศมนตรี

บทที่ 1235 ว่าที่ภรรยาของผมเป็นนายกเทศมนตรี

หลังจบการพูดอภิปรายของผู้สมัครชิงตำแหน่งแล้ว ต่อไปก็คือการตอบคำถามระดับมืออาชีพและจากประชาชนที่ถูกเลือก ผู้สมัครชิงตำแหน่งหกคน พิตบูลของฮิวจ์วิ่งหนีไปแล้ว ส่วนจะวิ่งไปที่ไหนนั้นตอนนี้ก็ยังไม่แน่ชัด ฮิวจ์เองก็กำลังตามหาอยู่ ภายใต้เสียงเรียกร้องของเหล่าประชาชน ทำให้หู่จือและเป้าจือมาแทนที่กลายเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งใหม่ทันที

ฉากแบบนี้ทำเอาพวกนักท่องเที่ยวที่มองดูแทบล้มทับแว่นหักกันเลยทีเดียว สำหรับประชาชนในประเทศแล้ว การคัดเลือกในครั้งนี้เป็นเรื่องที่จริงจังมาก แต่กลับเกิดเรื่องวุ่นๆ เสียได้ ช่างเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันจริงๆ

ในรอบตอบคำถามของประชาชนที่ถูกเลือกนั้น ผู้เข้าแข่งขันทั้งหกจะนั่งเรียงกันหลังโต๊ะ วินนี่ที่เป็นหนึ่งในนั้นได้ที่นั่งตรงกลาง มีหู่จือกับเป้าจือที่ตัวติดกับเธอประกบอยู่ทั้งซ้ายและขวา แรกเริ่มฉินสือโอวเองก็รู้สึกว่าเรื่องชักจะเลยเถิดไปใหญ่เหมือนกัน จึงกวักมือเรียกให้พวกมันรีบกลับลงมา

แต่ว่าเจ้าแลบราดอร์ไม่สนใจเขา ความอยากเป็นจุดสนใจของพวกมันนั้นแรงกล้ามาก พวกมันชอบความรู้สึกที่ถูกคนมุงดูเป็นที่สุด

ทำเอากลุ่มคนมากมายรวมไปถึงเจ้าหน้าที่รักษาการแทนนายกเทศมนตรีฮานี่ย์ แรมโบ้ร้องไห้ไม่ออกเลยทีเดียว มีรายการโทรทัศน์กับสำนักข่าวหลายแห่งส่งทีมสัมภาษณ์มาทำข่าวเกี่ยวกับการเลือกตั้งในครั้งนี้ แต่ว่าความสนใจของพวกเขาล้วนอยู่ที่ตัววินนี่กับหู่จือและเป้าจือกันหมด ทำให้พวกเขาทุกคนกลายเป็นเพียงตัวประกอบกันหมด

การถามคำถามเริ่มถามจากซ้ายไปขวา แม้แต่หู่จือกับเป้าจือเองก็ไม่เว้นถูกถามด้วย ในจุดนี้ทำให้ฉินสือโอวรับรู้ได้ถึงความรู้สึกลำบากใจของประชาชนชาวแคนาดาที่ถูกเลือกแล้ว

“ไม่ทราบว่าในช่วงที่รับตำแหน่งรักษาการแทนนายกเทศมนตรี คุณคิดว่าผลงานที่ดีที่สุดของคุณคืออะไรคะ?” คำถามนี้ถามกับฮานี่ย์ แรมโบ้

ฮานีย์กระแอมทีหนึ่ง แล้วเริ่มพูดคำตอบที่เตรียมไว้ก่อนแล้วออกมาอย่างไม่อึกอัก แต่ว่าก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเพราะคนข้างล่างเวทีไม่มีคนสนใจเลย

“ก่อนหน้านี้คุณทำงานที่ด่านศุลกากรมาตลอด ไม่ทราบว่าทำไมจึงสนใจเข้าชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีขึ้นมาล่ะคะ?” คำถามนี้ถามกับผู้เข้าชิงที่ทางสภาเมืองเลือกมาแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย

เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนนี้แอบก่นด่าในใจ ให้ตายสิ ฉันอยากเข้าชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตายล่ะ ฉันยังไม่รู้เลยว่าทำไมฉันต้องมาสมัครเข้าชิงตำแหน่งนี้ด้วย!

แน่นอนว่า ในความเป็นจริงแล้วเขาไม่กล้าพูดแบบนี้ออกไป เขาเองก็ได้เตรียมคำตอบมาไว้แล้วเหมือนกัน จึงพูดออกไปอย่างไม่อึกอักเช่นกัน และก็ไม่มีประโยชน์เหมือนเดิม คนที่อยู่ข้างล่างยังคงไม่สนใจอยู่ดี

“ในฐานะที่เป็นเจ้าของโรงแรมคนหนึ่ง คุณคิดว่าทักษะพิเศษอะไรในตัวคุณที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับงานของนายกเทศมนตรีบ้างคะ?” คำถามนี้ถามกับเอลตัน เบิร์ต

เอลตันยักไหล่แล้วพูดว่า “ผมไม่พูดอะไรแล้วกันครับ ถ้าหากผมไม่ได้รับเลือก งั้นผมพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้าหากว่าได้รับเลือกแล้ว พวกคุณคอยดูว่าผมจะทำอย่างไรแล้วกันนะครับ ผมไม่ใช่คนที่จะพูดจาเรื่อยเปื่อย”

“โอ้ จบแล้วเหรอคะ?”

เอลตันเกาหัวแล้วพูดว่า “เอาเถอะ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ขอบคุณทุกท่านที่มาร่วมงาน ขอบคุณภรรยาและครอบครัวที่สนับสนุนผม”

ประชาชนด้านล่างพากันผิวปากขึ้นมา แบล็คไนฟ์พูดข้างหูของฉินสือโอวว่า “&*%¥#@…”

ฉินสือโอวจับใจความไม่ได้เลยสักคำ จึงถามกลับไปว่า “นายพูดอะไรนะ ฉันไม่ได้ยินเลย?”

แบล็คไนฟ์ตอบ “บอสครับ เมื่อกี้ผมตะโกนจนเสียงแหบแล้ว!”

“ถือว่าเป็นการได้รับบาดเจ็บในหน้าที่แล้วกัน” ฉินสือโอวเข้าใจความหมายของคำพูดของเขาจึงตอบกลับไปแบบนี้

แบล็คไนฟ์ดีใจสุดขีด จึงเล่าทั้งเรื่องของแอร์แบ็คกับออสเปรออกมา “@#¥%…”

“ไสหัวไป!” ท่านชายฉินโกรธจัดขึ้นมาในชั่วขณะ

ตามระเบียบการแล้ว ถึงเวลาที่ต้องเริ่มสัมภาษณ์หู่จือแล้ว แต่ดิคที่เป็นพิธีกรกลับยื่นไมโครโฟนไปที่หน้าหู่จือ

แล้วถามว่า “เฮ้ แลบราดอร์สุดหล่อ ปกตินายชอบกินอะไรเหรอ?”

ฉินสือโอวตาค้างทันที นี่มันคำถามอะไรกัน? หู่จือสำรวจดูไมโครโฟน รู้สึกว่ามันดูเหมือนกับกระดูกเลย จึงเริ่มกัดแทะอย่างดีอกดีใจ “งั่มๆ งั่มๆ…”

เมื่อเห็นพี่ชายแทะอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว เป้าจือก็ไม่รอช้า พอไมโครโฟนมาอยู่ตรงหน้ามันเท่านั้น มันไม่รอให้ถามก็เริ่มแทะก่อนทันที…

การสัมภาษณ์สิ้นสุดลง ต่อไปก็เหลือแค่รอผลสรุปของการโหวตแล้ว

แม้จะรู้ว่าวินนี่มีความมั่นใจมาก แต่ท่านชายฉินกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น จึงทำให้เขากินมื้อค่ำไม่อร่อย ใจเหม่อลอยออกไป

เพราะเป็นวันสุดสัปดาห์ แฮมเล็ตไม่ต้องทำงาน เขาจึงมาที่เกาะแฟร์เวลเพื่อช่วยสนับสนุนวินนี่ด้วย ดังนั้นการที่บอกว่าวินนี่เป็นสตรีที่ฟ้าส่งมานั้นจึงไม่เกินไปเลย

ระหว่างกินเพรียงคอห่านที่รสชาติหอมหวานอยู่นั้น แฮมเล็ตก็พูดกับฉินสือโอวว่า “เพื่อน นายตั้งใจกินข้าวเถอะครับ วินนี่ต้องได้รับเลือกอย่างแน่นอนไม่มีปัญหาอะไรหรอก อีกอย่างนี่เป็นแค่การเลือกตั้งในเมืองเล็กเท่านั้น ปีก่อนที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ฉันก็ไม่เห็นนายจะใส่ใจขนาดนี้นี่”

ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วพูดว่า “ก็ครั้งนี้เป็นภรรยาผมนี่ครับ คุณเป็นภรรยาผมหรืออย่างไรครับ?”

เมื่อเลยเที่ยงคืนไป การโหวตก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ สถานที่ที่จัดทำการโหวตนั้นเป็นที่เดียวกับที่มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งก็คือโถงใหญ่ของสภาเมืองนั่นเอง ทุกคนจะต่อแถวกันใส่ผลโหวตของตัวเองลงในเครื่องนับอิเล็กทรอนิกส์ ด้านนี้ใส่ผลโหวตลงไป ด้านนั้นก็จะแสดงผลออกมาทันที

กลุ่มคนที่มาโหวตเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายกเทศมนตรีนั้นไม่เหมือนกัน คนกลุ่มแรกจะเลือกการสละสิทธิ์กันเป็นส่วนใหญ่ แต่คนกลุ่มหลังกลับพากันมาใช้สิทธิ์เสียเป็นส่วนใหญ่

นอกเหนือจากนั้นคนที่สามารถมาโหวตเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดได้นั้นต้องมีคุณสมบัติหลายอย่างมากกว่า จำเป็นต้องเป็นคนที่บรรลุนิติภาวะ มีกรีนการ์ดของแคนาดาและมีสิทธิ์ในการเมืองเท่านั้น อย่างพวกเชอร์ลี่ย์ ชาร์คน้อยกับโหวจื่อเซวียนก็คือกลุ่มคนที่ไม่มีสิทธิ์นี้

แต่สิทธิ์ในการโหวตเลือกนายกเทศมนตรีนั้นไม่เหมือนกัน ขอแค่เป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองมามากกว่า 100 วันก็มีสิทธิ์นี้แล้ว แม้แต่เสี่ยวเถียนกวายังมีสิทธิ์มาโหวตเลย เป็นธรรมดาที่พวกโหวจื่อเซวียนก็มีสิทธิ์ด้วยเช่นกัน เพราะว่านายกเทศมนตรีต้องรับผิดชอบคนทุกคนที่อยู่ในเมือง ไม่สนว่าจะเป็นคนแคนาดาหรือไม่ สรุปก็คือขอแค่เป็นคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเขาก็ต้องรับผิดชอบทั้งหมด แม้แต่เด็กๆ ก็นับรวมด้วยเช่นกัน

หลังจากโหวตเสร็จแล้ว ผลโหวตจะถูกตรวจสอบโดยทีมตรวจสอบที่ทางจังหวัดส่งมาก่อน หากไม่มีปัญหาอะไรแล้วจึงจะประกาศผลออกมา ใบคะแนนเสียงมีทั้งหมด 1158 ใบ วินนี่ได้มา 620 ใบ ทีมหู่จือกับเป้าจือได้มา 408 ใบ ส่วนอีกสามคนที่เหลือได้คะแนนเสียงรวมกันที่ 130ใบ…

พอเห็นผลสรุปแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวก็อึ้งไปทันที วินนี่เองก็แปลกใจอย่างที่สุด พวกเขาไม่คิดเลยว่าวินนี่จะชนะได้เฉียดฉิวถึงเพียงนี้ เพราะคะแนนต่างกันแค่ไม่กี่เสียงเท่านั้น พวกเขาก็จะถูกหู่จือกับเป้าจือกำราบเสียแล้ว!

พวกชาวประมงกับพวกทหารเองก็ตกใจกับผลคะแนนนี้เช่นกัน พวกแบล็คไนฟ์เองก็อาศัยอยู่ที่นี่เกิน 100 วันแล้ว พวกเขาก็มีสิทธิ์เลือกตั้งเช่นกัน จึงพากันถามไปมาว่า “ให้ตายเถอะ นายโหวตเลือกใคร?”

“ให้พูดความจริงใช่ไหม?”

“ใช่”

“ได้ ฉันโหวตเลือกหู่จือกับเป้าจือ”

“ฉันก็ด้วย”

“โห ที่แท้พวกนายก็ด้วยเหรอนี่? ดีจริง ฉันก็เหมือนกัน“

“เหอๆ ฉัน ภรรยาฉัน ลูกฉันก็ด้วย”

ฉินสือโอวจ้องตาค้างไปที่พวกทหารและชาวประมงที่กำลังปรบมือกันอย่างดีใจ แล้วตะโกนออกไปว่า “พวกนายทำอะไรกันน่ะ? ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าพวกเราต้องโหวตให้วินนี่? ความเชื่อใจระหว่างคนสองคนล่ะ? ทำไมพวกนายไม่เชื่อฟังคำของบอสเลย?”

แอร์แบ็คพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่า “ไม่ใช่นะครับบอส ตอนนั้นพวกผมคิดว่า นายหญิงชนะการเลือกตั้งแน่นอนอยู่แล้ว ขาดเสียงของพวกผมไปเสียงสองเสียงก็ไม่เป็นไร แต่หู่จือกับเป้าจือก็เข้าร่วมการเลือกตั้งด้วย ถ้าหากว่าพวกมันไม่ได้คะแนนเสียงเลยสักคะแนนเดียว คงขายหน้ามากแน่ๆ ใช่ไหมครับ? พวกผมก็เลยโหวตให้พวกมันน่ะครับ”

“ผมก็เหมือนกันครับบอส ผมนึกว่านายหญิงต้องได้คะแนนเสียงมาหนึ่งพันคะแนน”

“ใช่ๆ ผมก็ด้วยครับ!”

“ฟัค พวกเราใจตรงกันเลย บังเอิญจริงๆ มา ชนแก้วกัน!”

“บอสก็มาดื่มด้วยกันสิครับ นายหญิงก็ชนะการเลือกตั้งแล้วไม่ใช่เหรอครับ? แม้ดูเหมือนสถานการณ์จะแย่แต่ก็ไม่มีอะไรเลย สายรุ้งมักเกิดหลังฝนกระหน่ำเสมอ มาๆ มาดื่มกัน คนเราน่ะ ต้องมีความสุขนะครับ!”

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท