ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1231 ขาดก็แค่เรื่องเดียวเท่านั้น

บทที่ 1231 ขาดก็แค่เรื่องเดียวเท่านั้น

หลังจากที่บอลลูนลอยขึ้นจากเมือง การประชาสัมพันธ์การเลือกตั้งของวินนี่ก็แพร่กระจายไปทั่ว

ก่อนหน้านี้สองสามวัน วินนี่และเออร์บักยังบอกกับฉินสือโวอยู่เลยว่าไม่ต้องทำอะไร ให้พวกเขาจัดการกันเอง ตอนนี้เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวทำเอิกเกริกแบบนี้ พวกเขาก็ไม่สนใจแล้ว เพราะว่าพวกเขาเข้าใจแล้วว่า ผู้ชายคนนี้สนุกที่จะใช้ชีวิตโอ้อวดความหรูหราแบบนี้

น่าเสียดายที่ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งเขาไม่อนุญาตให้ใช้นโยบายการใช้เงินกับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง มิเช่นนั้นจะถือว่าเป็นการติดสินบนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้ลงเลือกตั้งจะถูกตัดสิทธิ์ทันที เรื่องนี้ทำให้ฉินสือโอวค่อนข้างเสียดาย เพราะเรื่องที่เขาถนัดมากที่สุดคือการใช้เงิน

เมื่อหาเงินง่าย การใช้เงินก็ไม่ใช่เรื่องน่าปวดใจ

แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ต้องตกใจไป เรื่องที่ต้องจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นเขามีวิธีอื่น หลังจากที่ซื้อบอลลูน ฉินสือโอวก็เรียกพวกชาวประมงให้มาหา พลางพูดว่า “อาทิตย์นี้ทุกคนไม่ต้องออกทะเลนะ ไตรมาสที่สองจบลงแล้ว ฉันจะให้ทุกคนพักผ่อน ทุกคนไปพักผ่อนกันเถอะนะ”

พวกชาวประมงโห่ร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ ชาร์คและซีมอนสเตอร์พูดคุยกันอย่างมีความสุขว่าจะไปเที่ยวที่ไหนกันดี คนหนึ่งอยากไปบอสตันส่วนอีกคนอยากไปมอนทรีออล ด้วยเหตุนี้ทั้งสองฝ่ายจึงต้องจัดการกันอย่างรวดเร็ว

ฉินสือโอวมองทั้งสองคนด้วยสายตาแปลกประหลาด พลางพูดขึ้นว่า “พวกนายทำอะไรกันน่ะ?”

“กำลังวางแผนว่าวันหยุดจะไปเที่ยวไหนกันดี” ชาร์คตอบขึ้นมาทันทีโดยธรรมชาติ

ฉินสือโอวพูดออกมาว่า “ล้อเล่นอะไรกัน สัปดาห์นี้ลูกสาวคนโตของนายไม่ได้กลับบ้านหรอกเหรอ? ชาร์คน้อยกำลังเรียนหนังสืออยู่ ที่บ้านก็ยังเลี้ยงหมาสองตัวแมวอีกหนึ่งตัว มีอะไรให้ต้องดูแลมากมาย จะไปเที่ยวได้อย่างไร?”

ชาร์คหัวเราะออกมา “ง่ายจะตายไป ผมสามารถพาลูกสาวไปได้ ให้ชาร์คน้อยมาหาอะไรทานที่ฟาร์มปลาก็ได้ หมาสองตัวนั้นก็ให้บูลช่วยดูแล ส่วนแมวอีกตัวจะฝากไว้ที่เพื่อนบ้าน แบบนี้ก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวตบบ่าเขา แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า “ชาร์ค ทำไมนายถึงไปเที่ยวล่ะ?”

ชาร์คตอบกลับว่า “ที่บ้านยุ่งวุ่นวายเกินไป ผมต้องการออกไปพักผ่อนสักหน่อย”

“งั้นส่งลูกมาที่นี่ เอาหมาและแมวไปฝากไว้กับคนอื่น แล้วที่บ้านยังมีอะไรยุ่งอีกหรือไม่? แบบนี้พักผ่อนอยู่บ้านไม่ดีกว่าเหรอ?” ฉินสือโอวพูดออกมา

ชาร์คมองไปยังฉินสือโอวอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่ว่าท่านชายฉินกลับไม่ได้สนใจเขา อีกทั้งยังหันไปมองซีมอนสเตอร์อีก “ซีมอนสเตอร์ ทำไมนายถึงคิดอยากจะไปเที่ยวงั้นเหรอ?”

ซีมอนเสตอร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “โลกกว้างขนาดนี้ ผมอยากออกไปดูสักครั้ง”

“ให้นายพักผ่อนได้หนึ่งไตรมาส ช่วงฤดูร้อนไม่ต้องมาทำงาน ไปตั้งใจดูให้ดีล่ะ” ท่านชายฉินพูดอย่างเอาอกเอาใจ

นีลเซ็นที่อยู่ข้างๆ มองเกมออก เขาหัวเราะออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “เห็นๆ กันอยู่ว่า บอสอยากให้เราทำอะไรบางอย่างในช่วงวันหยุด”

แบล็คไนฟ์ยักไหล่พลางพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องสงสัยเลย แน่นอนว่าต้องเป็นการช่วยภรรยาของเขาหาเสียง”

แซ็กพูดออกมาอย่างจนปัญญาว่า “กัปตัน คุณอย่าเป็นแบบนี้สิ การเลือกนายกเทศมนตรีของภรรยาบอสเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแน่นอน คุณรออย่างสบายใจเถอะนะ!”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง “ฉันไม่ได้กังวล ฉันแค่ไม่เคยเป็นเจ้าภาพในการหาเสียงเลือกตั้ง รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจมาก เลยจะพาพวกนายมาเล่นสนุกด้วย พวกนายไม่ยอมงั้นเหรอ?”

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาอันดุดันของฉินสือโอว พวกชาวประมงก็พากันพยักหน้าอย่างแรง “ยอมครับยอม!” “ผมยอมอยู่แล้ว!” “ฮ่าๆ ผมรอวันนี้มานานแล้ว!” “อ่อ…พระเจ้า สัปดาห์นี้เราจะได้พักผ่อนกันจริงๆ ใช่ไหม?”

แต่ก็ยังมีบางคนไม่เข้าใจ บูลถามออกมาด้วยความงุนงงว่า “กัปตัน งานหาเสียงไม่ได้เป็นเรื่องที่ปู่เออร์บักจัดการอยู่เหรอ? มันกลายมาเป็นหน้าที่ของคุณตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ฉินสือโอวโบกมืออย่างหมดความอดทน แล้วพูดขึ้นว่า “เลิกพูดไร้สาระได้แล้วไอ้พวกโง่ ฉันบอกว่าฉันเป็นคนรับผิดชอบก็ต้องเป็นฉัน ปู่เออร์บักสองสามวันนี้ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว เขาดูเป็นคนมีหน้าที่รับผิดชอบเหรอ?! โอเค ตอนนี้ก็มาถึงเรื่องที่สอง โบนัสประจำไตรมาส โบนัสของไตรมาสที่สอง”

ทุกคนพากันตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกเขามองไปยังฉินสือโอวอย่างมีความหวังราวกับลูกสุนัขที่มองไปยังกระดูก

ท่านชายฉินยกนิ้วขึ้นมาแล้วพูดขึ้นว่า “จากมูลค่าของปลาที่จับได้ ชาร์ค ซีมอนสเตอร์ เบิร์ด นีลเซ็น แบล็คไนฟ์และบลูทุกคนได้พันละสอง ส่วนคนอื่นๆ พันละหนึ่ง…”

“สุดยอดไปเลย! พระเจ้า ท่านนี่ไม่พักผ่อนเลยนะ“

“ไอ้โง่ คนที่ควรขอบคุณตอนนี้คือบอสต่างหาก!”

ชาวประมงต่างพากันเฉลิมฉลอง พวกเขาหัวเราะและยิ้มออกมาอย่างครึกครื้น เงินพวกนี้ไม่ได้มาก ทุกเดือนผลผลิตของฟาร์มปลาจะมีมูลค่าเกินยี่สิบล้าน หนึ่งไตรมาสได้อย่างน้อยห้าสิบล้าน สองในพันก็เท่ากับหนึ่งแสน ส่วนหนึ่งในพันก็เท่ากับห้าหมื่น!

ฉินสือโอวไม่ลังเลที่จะจ่ายเงินให้กับชาวประมงที่ไว้ใจได้พวกนี้ คนพวกนี้เป็นคนของเขาโดยตรง และสาเหตุที่พวกเขาดูแลฟาร์มปลาด้วยความจริงใจ นอกจากฉินสือโอวและวินนี่ที่ได้ใจพวกเขาแล้ว ก็ยังเป็นเพราะรายได้ที่สูงมากขนาดนี้

ครั้งที่แล้วตอนที่ไปขึ้นศาลอุทธรณ์นิวฟันแลนด์ พวกชาร์คพูดว่าเงินเดือนของพวกเขานั้นสูงกว่าทนายเสียอีก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่ได้โม้ขึ้นมาเอง

เมื่อเห็นท่าทางดีใจของพวกชาวประมง ฉินสือโอวก็หัวเราะออกมา “อย่าพึ่งรีบดีใจไป ยังมีข่าวดีกว่านี้อีก ฉันจะให้พวกนายเพิ่มอีกคนละหนึ่งหมื่นดอลลาร์ ได้หมดทุกคน!”

“โว้ว บอส ผมรักคุณตายเลยครับ!”

“สังคมนิยมคือผู้มีพระคุณของประชาชน!”

“บอส อย่าขยับ ผมจะถ่ายรูปแล้วนำไปล้างเสียงหน่อย แล้วผมจะเอามาให้คุณ!”

ฉินสือโอวยังคงหัวเราะออกมา “ดีมาก แต่ฉันยังมีความต้องการอีกอย่าง นั่นคือตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงช่วงสัปดาห์เลือกตั้ง ทุกคนจำเป็นต้องเลี้ยงข้าวคนอื่นอย่างน้อยสิบมื้อ! ทุกมื้อจำนวนคนต้องไม่ต่ำกว่าสิบคน! คนที่มาทานต้องไม่ซ้ำกันด้วย!”

เสียงโห่ร้องดีใจของพวกชาวประมงหยุดลงทันที ชาร์ครีบตอบกลับทันทีด้วยความร้อนใจว่า “แบบนี้ก็เป็นการติดสินบนสิ! บอส คุณต้องมีสตินะ!”

ฉินสือโอวทำปากมุ่ยแล้วพูดขึ้นว่า “อย่าบอกว่าฉันเป็นคนบอกนะ ตอนที่นายกรัฐมนตรีแฮมเล็ตหาเสียง เขาก็เลี้ยงข้าวฉันเหมือนกัน เลี้ยงคนอีกหลายคนด้วย แต่ฉันกับวินนี่ไม่ได้เป็นคนออกมาเลี้ยงข้าวเอง จะเป็นการติดสินบนได้อย่างไร?”

ซีมอนสเตอร์บีบจมูกตัวเอง หลังจากนั้นคำนวณ “บ้านฮิวจ์ฉันเลี้ยงเอง ฮิวจ์คนน้องฉันก็จะเลี้ยงเอง ปู่ฮิคสันฉันก็เลี้ยง นอกจากนี้ยังมีครอบครัวงี่เง่าของชิลอีก อ้อ ยังมีหมอโอดอมกับพยาบาลลาร่าอีก…”

“ชิบ ซีมอนสเตอร์ นายเหลือคนไว้ให้พวกเราด้วยสิ!”

พวกทหารร้องดีใจออกมาด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่ค่อยสนิมกับคนในเมือง ดังนั้นเรื่องเลี้ยงข้าวคงใช้พวกเขาไม่ได้แน่นอน ต้องจัดปาร์ตี้สิบที่เลยนะ นี่ใช้พลังงานเยอะว่าทำงานหนักติดกันสิบวันอีกนะ เงินหนึ่งหมื่นไม่พอหรอก!

ชาร์คมองไปยังพวกทหารด้วยสายตาดูถูก พลางพูดกลั้วหัวเราะ “เงินของบอสไม่ได้ได้มาง่ายขนาดนั้น พวกนายไม่ถูกใช้ให้ไปเลี้ยงข้าว ก็ต้องมีอย่างอื่นให้ทำแน่นอน!”

ฉินสือโอวยิ้มออกมาอย่างสนใจพลางพูดขึ้นว่า “สมแล้วที่ชาร์คอยู่กับฉันมานานที่สุด เขาพูดถูก พวกทหาร มานี่สิ ฉันมีเรื่องที่ให้พวกนายทำ”

เมื่อจัดแจงงานให้พวกทหารและชาวประมงเรียบร้อยแล้ว การเลือกตั้งในเมืองเล็กๆ ก็กำลังมาถึงจุดสิ้นสุด ฉินสือโอวรู้สึกภาคภูมิใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะเรื่องทั้งหมดนี้จัดการโดยเขา เริ่มตั้งแต่การหาเสียงโดยการแปะโปสเตอร์ ปูทางมาจนถึงการซื้อบอลลูนเพื่อความสาแก่ใจ ตอนนี้ทีมหาเสียงเลือกตั้งได้ทำให้การหาเสียงมาจนถึงจุดไคลแมกซ์แล้ว…

เพราะเหตุนี้เขาจึงรู้สึกภูมิใจมาก

อันที่จริงแล้วที่เขากระตือรือร้นในการหาเสียงขนาดนี้ ไม่เพียงแค่ต้องการที่จะดูแลกระบวนการทั้งหมดเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องการชดเชยอะไรบางอย่างให้กับวินนี่

เดิมทีคนที่ควรจะลงเลือกตั้งคือเขา งานเหล่านี้เขาควรจะเป็นคนทำ แต่เขาทนไม่ได้ที่จะต้องทำงานจุกจิกในฐานะนายกเทศมนตรี ซึ่งวินนี่เข้าใจในเรื่องนี้ จึงลงสมัครแทนเขาเพื่อที่จะให้เขาสามารถควบคุมเมืองได้ และเพื่อที่จะให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างไม่ต้องทุกข์ร้อน

ตอนนี้ทุกอย่างก็เตรียมไว้หมดแล้ว เหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น!

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท