ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1244 กุ้งขาวและปลายอดม่วง

บทที่ 1244 กุ้งขาวและปลายอดม่วง

“นั่นก็คือผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงด้านสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล ผู้ก่อตั้งการศึกษาทางพันธุกรรมของมหาสมุทรนานาชาติ ศาสตราจารย์มากวิชาด้านการศึกษามหาสมุทรของมหาวิทยาลัยโทรอนโต คุณแซนเดอร์ส วอร์ตัน!”

ท่านชายฉินยื่นมือชี้ไปข้างๆ อย่างชั่วร้าย เพื่อทำการแนะนำผู้เชี่ยวชาญแซนเดอร์สที่รับเคราะห์แทน จากนั้นก็พูดต่อว่า “ผมก็แค่ใช้ความรู้ที่ได้รับจากศาสตราจารย์แซนเดอร์ส ใช้วิธีการเลี้ยงแบบวิทยาศาสตร์เท่านั้น ทุกคนก็สามารถลองได้นะครับ ผมคิดว่าขนาดคนโง่อย่างผมยังสามารถประสบผลสำเร็จได้บ้าง ทุกท่านจะต้องสามารถประสบผลสำเร็จได้เยอะเลยล่ะครับ”

จากนั้นสายตาอันรุ่มร้อนของเหล่าเจ้าของฟาร์มปลาก็เปลี่ยนไปอยู่ที่ตัวแซนเดอร์สแทน ในใจศาสตราจารย์สูงวัยกำลังระเบิดไม่หยุด เขาอยากจะบอกกับฉินสือโอวคำหนึ่งว่านายประชดกว่านี้ได้อีกไหม? เสียดายที่สถานที่นี้ไม่อำนวยนัก

หลังจบช่วงการปรึกษาหารือแล้ว พนักงานของกรมประมงก็นำสมุดเล่มเล็กราวกับสมุดภาพแจกให้กับทุกคน ฉินสือโอวรับมาเล่มหนึ่งแล้วเปิดดู ข้างในเป็นข้อมูลการเก็บเกี่ยวของเจ้าของฟาร์มปลาที่ได้รับความสนใจ

เมื่อก่อนไม่สามารถจัดงานประมูลประเภทนี้ขึ้นมาได้ นอกจากเรื่องวิสัยทัศน์แล้ว ยังเป็นเพราะการคัดค้านจากเหล่าเจ้าของฟาร์มปลาด้วย

ก็เหมือนกับฟาร์มเลี้ยงวัวแพะไก่เป็ด สถิติการตายของฟาร์มแต่ละที่นั่นไม่เหมือนกัน คุณภาพของสัตว์ที่เลี้ยงมาก็ไม่เหมือนกันด้วย ตัวอย่างเช่นคนญี่ปุ่นเก่ง ที่สามารถเลี้ยงวัววากิวที่เป็นสัตว์แย่งเงินออกมาได้

ดังนั้น ฟาร์มปลาที่ประสบความสำเร็จแต่ละที่ก็จะมีผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นความลับที่พวกเขาไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ การทำกำไรก็ต้องพึ่งเจ้าสิ่งนี้นั่นแหละ และเป็นธรรมดา ที่สิ่งที่เรือขโมยปลาอยากขโมยที่สุดก็คือสินค้าของพวกเขาเหล่านี้

พวกเจ้าของฟาร์มปลาไม่อยากให้สินค้าขึ้นชื่อของตัวเองเปิดเผยออกมา ส่วนเรื่องการแลกเปลี่ยนทรัพยากรเหรอ? ช่างเถอะ พวกเขาแค่ปกป้องพื้นที่สามในสิบของพวกเขาไว้ก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนหรอก

แต่ตอนนี้ไม่หมือนกัน เศรษฐกิจซบเซา ส่วนทางด้านส่งออกก็ตกต่ำลงทุกปี พวกเขาไม่สามารถปิดตัวได้อีกต่อไปแล้ว

อีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือฉินสือโอวยินยอมที่จะแบ่งทรัพยากรฟาร์มปลาของเขาให้ เทียบกับฟาร์มปลาต้าฉินที่สามารถยืนหยัดแบรนด์ของตัวเองไว้ได้นั้น ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของพวกเขาเทียบไม่ติดแม้เพียงขี้เล็บเลย

ฉินสือโอวเปิดดูสมุดภาพ ภาพแรกก็เกี่ยวกับฟาร์มปลาของเขาเลย เป็นการแนะนำข้อมูลของปลาลิ้นหมาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นปลาลิ้นหมาเกล็ดเงินของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เพราะปลาลิ้นหมาของฟาร์มปลาต้าฉินในตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ตรงส่วนหลังมีเกล็ดเงินที่เกาะกลุ่มกันเป็นเส้นสีเงินเพิ่มขึ้นมา ทำให้ได้ชื่อนี้มา

แต่ทว่า ปลาลิ้นหมาชนิดนี้ยังไม่ได้ถือว่าเป็นพันธุ์ใหม่ จากกฎการตั้งสายพันธุ์ใหม่ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาตินั้น การจะเป็นสายพันธุ์ใหม่ได้จำเป็นต้องมีการแบ่งแยกของการสืบพันธุ์ แน่นอนว่าปลาลิ้นหมาของฟาร์มปลาต้าฉินยังไม่มี

เจ้าของฟาร์มปลาที่นั่งอยู่ด้านหน้าฉินสือโอวพลิกดูสมุดภาพรอบหนึ่ง ก็หันหลังกลับมาถามอย่างตื่นเต้นว่า “เฮ้ ฉิน นายสนใจขายลูกปลาลิ้นหมาเกร็ดเงินบ้างไหม? ฉันยินดีให้ราคาสูงเลยนะ”

โดนัลด์ที่อยู่ข้างๆ เบะปากแล้วพูดว่า “แวร์น นายอย่าฝันหวานไปเลย แม้ว่าฉินยินดีจะแบ่งลูกปลาชนิดนี้ แต่งานประมูลเริ่มพรุ่งนี้นะ ถ้าหากนายอยากซื้อ ก็ไปเตรียมเงินให้พร้อมไว้ดีกว่า”

แวร์นเจ้าของฟาร์มปลาหัวเราะร่าสองทีแล้วหันหน้ากลับไป เปิดดูสมุดภาพต่อ

ภาพที่สองก็ยังคงเกี่ยวกับฟาร์มปลาต้าฉิน ภาพนี้เป็นภาพของปลาทะเลตัวแบนมหาสมุทรแอตแลนติก

ปลาชนิดนี้สามารถโตจนมีขนาดใหญ่ที่มีความยาวสองสามเมตรได้ไม่มีปัญหา พวกมันเป็นปลาน้ำลึก อาศัยอยู่ในหินทรายและโคลนใต้น้ำลึก 50-2000 เมตร กระจายตัวอยู่ตั้งแต่แลบราดอร์ถึงกรีนแลนด์จนถึงเกาะน้ำแข็งในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ และทะเลแบเรนตส์ตอนใต้ไปจนถึงอ่าวบิสเคย์

ปลาทะเลตัวแบนของฟาร์มปลาต้าฉินไม่เพียงแต่ตัวใหญ่ เนื้อก็เยอะและแน่น ซอสปลาลิ้นหมาสำหรับย่างที่กำลังได้รับความนิยมในนิวยอร์กตอนนี้ ก็ใช้ชิ้นเนื้อปลาลิ้นหมาของฟาร์มปลาต้าฉินด้วย ราคาสูง แน่นอนว่ารสชาติก็ดี เปี่ยมไปด้วยสารอาหาร

ฉินสือโอวพลิกดูสักพัก แล้วหาผลิตภัณฑ์ทะเลที่ตัวเองสนใจ

ว่าไปแล้ว ผลิตภัณฑ์ทะเลของฟาร์มปลาของเขานั้นถือว่าหลากหลายแล้ว แต่ก็ยังไม่พอ ไม่สามารถทำให้เขาใช้สร้างเป็นแบรนด์สำหรับอาหารทะเลได้

จากความคิดของเขาและบัตเลอร์ แบรนด์อาหารทะเลต้าฉินต้องครอบคลุมไปด้วยผลิตภัณฑ์ทางทะเลอย่างน้อยหนึ่งร้อยชนิดจึงจะใช้ได้ แน่นอนว่ายิ่งเยอะก็ยิ่งดีกว่า

เปิดจนถึงหน้าที่สี่ มีกุ้งชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นมาในสายตาของเขา กุ้งกุลาดำฉบับพัฒนาแล้ว

ทั่วโลกมีกุ้งขาวอยู่แค่ 28 ชนิด หนึ่งในนั้นที่บริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของทวีปอเมริกามี 7 ชนิด ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกมี 6 ชนิด มหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกมี 14 ชนิด มหาสมุทรแปซิฟิกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนมี 1 ชนิด แอฟริกาตะวันตกมี 1 ชนิด ในทั้งหมดนี้ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงคือกุ้งขาวของญี่ปุ่น จีนและกุ้งกุลาดำ

กุ้งกุลาดำในสมุดภาพนั้นเป็นกุ้งขาวชนิดที่สามารถโตได้มาก สามารถโตจนมีความยาวได้ถึงสามสิบเซนติเมตร ตัวเดียวก็มีน้ำหนักมากถึงหนึ่งชั่ง

กุ้งชนิดนี้ไม่เพียงแต่สามารถโตจนมีขนาดใหญ่เท่านั้น เนื้อยังสดใหม่ เต็มไปด้วยสารอาหาร เปลือกของพวกมันค่อนข้างแข็งแรง สามารถทนทานต่อการใช้มือจับได้ นอกเหนือจากนี้แล้วความทนทานในการออกจากน้ำแล้วอยู่ในอากาศก็มากอีกด้วย เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้สามารถจำหน่ายกุ้งตัวเป็นๆ ได้

ฉินสือโอวเปิดดูต่ออย่างสนใจ กุ้งขาวชนิดนี้มาจากฟาร์มปลาแห่งหนึ่งในรัฐโนวาสโกเชีย เจ้าของฟาร์มมีชื่อว่านิโค ตู้ ดูจากนามสกุลแล้วน่าจะเป็นชาวจีน ทำให้เขายิ่งสนอกสนใจขึ้นมา

ผลิตภัณฑ์ทางน้ำที่สามารถอยู่บนสมุดภาพได้นั้นล้วนแต่เป็นของที่มีจุดขายทั้งนั้น สิ่งที่กุ้งกุลาดำที่พัฒนาแล้วชนิดนี้ต่างจากแบบเก่าก็คือ มันสามารถปรับตัวได้กับน่านน้ำที่ค่อนข้างหนาวเย็น!

แม้ดูเหมือนจุดที่พัฒนาแล้วจุดนี้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่กลับเป็นประโยชน์อย่างมากในการโปรโมตกุ้งกุลาดำ

กุ้งกุลาดำเป็นพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกุ้งขาว พวกมันสามารถต้านทานโรคได้ดี มีความสามารถในการปรับตัวกับความเค็ม สามารถอยู่ได้ในพื้นที่อุณหภูมิสูงและออกซิเจนต่ำได้ แต่เสียตรงที่ความสามารถในการปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิต่ำค่อนข้างน้อย โชคร้ายตรงที่อุณหภูมิของน้ำในฤดูหนาวของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือนั้นค่อนข้างหนาวเย็น ไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของกุ้งกุลาดำ

กรมประมงใส่ใจกับความเป็นส่วนตัวของเหล่าเจ้าของฟาร์มปลามาก บนนั้นจึงมีเพียงการแนะนำข้อดีของกุ้งขาวอย่างคร่าวๆ เท่านั้น ไม่ได้มีข้อมูลที่ละเอียดมาก เพื่อเป็นการรักษาเคล็ดลับในการเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ไว้นั่นเอง

แม้ว่าการรักษาลิขสิทธิ์ของทางแคนาดาจะค่อนข้างเข้มงวด แต่ว่าเคล็ดลับการเพาะเลี้ยงไม่ได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในการรักษาลิขสิทธิ์ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ญี่ปุ่นเก็บเคล็ดลับการเลี้ยงวัววากิวไว้ในกางเกงตัวเองนั่นเอง เพราะเมื่อเปิดเผยออกมาแล้วก็จะถูกคนอื่นแย่งไปเลียนแบบทันที

ฉินสือโอวยื่นกุ้งกุลาดำให้แซนเดอร์สดู แล้วถามเสียงเบาว่า “พวกเราเพาะเจ้านี้ดีไหมครับ? สามารถทำได้หรือเปล่า?”

เพราะศาสตราจารย์สูงวัยเคยประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงปูดันเจเนสส์มาแล้ว ตอนนี้จึงเป็นตอนที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาศึกษาอยู่สักพักแล้วก็พูดอย่างมั่นใจว่า “ได้ ไม่มีปัญหา!”

ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นก็เปิดอ่านต่อไป ไม่นานก็เห็นผลิตภัณฑ์ทางน้ำที่น่าสนใจอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือปลายอดม่วงพันธุ์มินิ

ปลายอดม่วงก็จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ของปลาทะเลตัวแบน บ้านเกิดของฉินสือโอวเรียกมันว่าปลาลิ้น ปลาชนิดนี้อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมัน เนื้อละเอียดรสชาติดี มีประโยชน์แถมยังอร่อย จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

ที่ฟาร์มปลาก็มีปลายอดม่วง แถมยังเป็นปลายอดม่วงไซโนกลอสซัสที่มีค่ามากกว่าเสียด้วย ปลาชนิดนี้มีเนื้อค่อนข้างน้อย ตอนกินให้ความรู้สึกลื่นไหล แม้จะต้มนานเนื้อก็ไม่แก่ ไม่มีกลิ่นคาวและกลิ่นแปลกปลอม จัดว่าเป็นปลาที่มีโปรตีนและคุณค่าทางสารอาหารสูงมาก

ความหมายอีกอย่างของคำว่ามีค่า ก็คือมีน้อยนั่นเอง

ปลายอดม่วงไซโนกลอสซัสอร่อยก็จริง แต่ว่าพวกมันกระจัดกระจายอยู่ฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ มีจำนวนน้อยมากในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ฉินสือโอวเคยใช้พลังไซดอนพัฒนาปลายอดม่วงไซโนกลอสซัสแล้ว แต่สุดท้ายก็ทำให้พวกมันอ้วนขึ้น โตไวขึ้นเท่านั้น ความสามารถในการขยายพันธุ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ปลายอดม่วงไซโนกลอสซัสจึงไม่สามารถอยู่ในรายการจัดจำหน่ายทั่วไปได้ เป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกเสียดายไม่น้อยเลย

ปลายอดม่วงพันธุ์มินิชนิดนี้นี่แหละ ที่ทำให้เขามีหวังที่จะขยายการเพาะเลี้ยงออกไปได้

………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท