ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1240 รอบชิงชนะเลิศ! รอบชิงชนะเลิศ!

บทที่ 1240 รอบชิงชนะเลิศ! รอบชิงชนะเลิศ!

ร่างกายของหอยทากสามารถเก็บน้ำได้มาก หลังย่างจนน้ำออกมาแล้วทาน้ำมันลงไปแทน พวกมันก็สามารถเก็บน้ำมันได้ด้วย ดังนั้นจึงต้องใช้น้ำมันเป็นส่วนผสมเครื่องปรุงในการย่าง เจ้าสิ่งนี้รสชาติอร่อยมาก มันสามารถผสมผสานรสชาติของเครื่องปรุงได้ดีอย่างไร้ที่ติ

หลังฉินสือโอวย่างเสร็จสองเส้นแล้วก็ยื่นให้วินนี่เส้นหนึ่ง เจ้าตัวเล็กพวกนี้อ้วนท้วม มันวาว โดนย่างจนกลายเป็นสีเหลืองทองอ่อนๆ จนกลายเป็นชิ้นเนื้อที่หอมกรุ่น พอได้เข้าปากแล้วรสชาติมีส่วนคล้ายจักจั่นย่าง แต่ว่าจะหอมกว่า นุ่มกว่า

นอกเหนือจากนี้แล้ว หอยทากยังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำและน้ำมัน เคี้ยวทีเดียวก็มีน้ำมันและน้ำพุ่งออกมาเต็มปาก ช่างเป็นอะไรที่สดใหม่ และหอมหวาน ยิ่งเมื่อผสมผสานเข้ากับเครื่องปรุงแล้ว เป็นรสชาติที่ของย่างอย่างอื่นเทียบไม่ได้เลย

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เพราะมีปริมาณไขมันต่ำ กินหอยทากจึงไม่ทำให้อ้วนได้ง่าย ผู้หญิงสามารถกินได้มากตามใจชอบ

ฉินสือโอวเดินเรื่อยเปื่อยไปหาชาร์คแล้วพูดกับเขาว่า “เจ้าสิ่งนี้ย่างแล้วรสชาติไม่เลวเลย”

ชาร์คหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “แน่นอนสิครับ ตอนเด็กผมชอบไปหว่านแหริมทะเลเพื่อจับพวกมัน สามารถกินได้เต็มอิ่มในฤดูร้อนของทุกปีเลยครับ”

“แล้วปีที่แล้วทำไมนายถึงไม่บอกล่ะ? หอยทากเยอะขนาดนั้น เสียของหมดเลย” ฉินสือโอวพูดพร้อมส่ายหัว ปีที่แล้วก็กินเจ้าพวกนี้เหมือนกัน แต่ว่ากินโดยใช้การอบกับผัดไฟแดง

ชาร์คยักไหล่แล้วพูดว่า “ปีที่แล้วหอยทากไม่อ้วน พวกมันเป็นพวกแตกแยก ไม่เหมาะกับการนำมาย่างกิน เพราะย่างให้น้ำมันออกมาไม่ได้ ทำให้ตอนกินจะรู้สึกแห้งมาก เหมือนกับเนื้อกระต่ายในฤดูใบไม้ผลินั่นแหละครับ”

วิธีการย่างหอยทากของพวกเขามีหลากหลายรูปแบบ นอกจากการย่างทั่วไปอย่างที่ฉินสือโอวทำแล้ว ยังมีการย่างด้วยการทาน้ำเชื่อมเพื่อทำหอยทากย่างหวาน และย่างด้วยการใช้สาหร่ายใบใหญ่มาห่อไว้เพื่อให้เหมือนกับการนึ่งด้วยเป็นต้น วิธีหลากหลาย รสชาติก็ไม่เหมือนกัน

ฉินสือโอวจำวิธีการทำมันฝรั่งบดอบหอยทากที่การ์เซียทำปีที่แล้วได้ จึงไปเก็บเปลือกหอยสะอาดแถวริมทะเลมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็คิดทบทวนวิธีการทำ เขาต้มหอยทากจนสุกก่อน ใส่เกลือและพริกไทยดำ หัวหอม ขึ้นฉ่าย เห็ดหอมและแฮมหั่นเต๋า

จากนั้น เขาก็นำมันฝรั่งที่ต้มสุกแล้วมาปอกเปลือก หั่นชิ้น และบดจนเละ เติมเกลือ ไข่แดงกับเนยสดคลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นเทบรั่นดีลงในหม้อ พร้อมกับเกลือ ผงพริกไทยดำและกระเทียมเจียว หลังคลุกเคล้าแล้วรอจนเย็นแล้วใส่เข้าไปในเปลือกหอย สุดท้ายใช้เนยปิดปากแล้วใส่เข้าไปในเตาอบ

พ่อของฉินสือโอวก็ทำหน้าที่ของตัวเองปีที่แล้วด้วยเหมือนกัน โดยการทำพริกขี้หนูผัดหอยทาก แต่ทว่าอย่างไรเสียพ่อของฉินสือโอวก็เป็นพ่อครัวเก่ามาก่อน ดังนั้นหอยทากที่ผัดออกมานั้นจึงยังคงสีขาวบริสุทธิ์ของเนื้อหอยทาก สีแดงสดของพริก และสีเขียวขจีของผักไว้ได้ มองดูแล้วทำให้เจริญอาหารได้มากทีเดียว

แลนซ์กลับบ้านไปหยิบค็อกเทลมาสองขวด บอกว่าเป็นของที่น้องชายให้เขามา แต่ฉินสือโอวชิมแล้วรู้สึกไม่ค่อยชินปาก เขายังคงกลับไปดื่มไอซ์ไวน์ที่เอามาจากร้านคุณลุงฮิคสันดีกว่า

ระหว่างกินหอยทากอบกับหอยทากย่างอยู่นั้น ฉินสือโอวก็เรียกให้พวกชาวประมงมาหา แล้วส่งต่อข่าวที่แมทธิว จินบอกกับเขาให้พวกชาวประมง

พวกชาวประมงพากันส่ายหัว ชาร์คพูดว่า “เรื่องนี้ไม่โอเคครับ บอส ผมคิดว่าทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ รสชาติของปลาที่ได้จากฟาร์มปลาของเรานั้นดีที่สุดในแคนาดา…”

“ไม่ ดีที่สุดในโลก!” บูลพูดตัดบทเขาแล้วพูดแทรกขึ้นมา

ชาร์คทำท่าขอยอมแพ้ แล้วพูดว่า “โอเค ดีที่สุดในจักรวาลละกัน สรุปก็คือ พวกเรามีทรัพยากรที่ดีที่สุด สามารถทำเงินได้มากที่สุด เงินที่เราทำได้ก็ถือว่ามากพอแล้ว ทำไมยังต้องขายลูกปลา ลูกกุ้งชั้นดีพวกนี้ให้คนพวกนี้ล่ะครับ?”

แซนเดอร์สเห็นต่างออกไป เขาพูดว่า “ผมรู้สึกว่าคุณภาพปลาของพวกเราดีขนาดนี้ ก็เพราะคุณภาพน้ำของฟาร์มปลาและคุณภาพของหญ้าทะเล ไม่เกี่ยวกับพันธุ์ของปลาหรือกุ้งเลย ถ้าเป็นแบบนี้ทำไมถึงจะเอามาทำเป็นธุรกิจไม่ได้ล่ะ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า ศาสตราจารย์สูงวัยคนนี้เป็นมืออาชีพ เขาเคยทำการวิเคราะห์สิ่งมีชีวิตในฟาร์มปลามาก่อน พบว่าที่ปลากุ้งปูมีรสชาติดี และตัวใหญ่ สาเหตุเป็นเพราะหญ้าทะเลที่คนพากันละเลยนั่นแหละ

นอกจากปลากุ้งปูส่วนหนึ่งที่มีค่าพวกนั้นแล้ว ฉินสือโอวก็ไม่เคยให้พลังโพไซดอนกับสิ่งมีชีวิตอื่นอีกเลย เขาถ่ายเทพลังโพไซดอนให้กับหญ้าทะเล เป็นการพัฒนาคุณภาพของปลาจากต้นเหตุ เท่ากับสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคุณภาพปลาจากฟาร์มปลาของเขาถึงได้ดีขนาดนี้

ชาวประมงคนอื่นส่ายหัว ยังคงคิดว่าการนำลูกปลาของตัวเองออกไปจำหน่ายนั้นไม่เหมาะสม เพราะว่าพวกเขาในตอนนี้ถือว่าได้กำสูตรลับไว้อยู่

ฉินสือโอวกลับไม่ใส่ใจ เขาพูดว่า “อย่างไรเสียก็เป็นงานประมูล พวกเราไปดูกันเถอะ บางทีพวกเราอาจจะได้เชื้อพันธุ์สิ่งมีชีวิตในทะเลที่มีมูลค่าสูงจากฟาร์มปลาอื่นๆ กลับมาก็ได้ นี่คือโอกาสที่จะได้แลกเปลี่ยนกันล่ะ”

“แบบนี้ก็ถูกเหมือนกันครับ” ชาร์คพยักหน้า

ฉินสือโอวเห็นชาวประมงคนอื่นอยากจะเถียงต่อ จึงยกแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “มาเถอะ เพื่อนฝูงทั้งหลาย วันนี้มีเหล้าก็เมาวันนี้ ไม่ต้องไปสนว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ชนแก้ว พวกเรามาชนแก้ว!”

พวกชาวประมงชูแก้วเบียร์ขึ้น ส่ายเบียร์เข้มข้นในนั้นไปมาแล้วโห่ร้องกันว่า “ชนแก้ว ดื่มด่ำกับปัจจุบัน!”

ปีนี้หอยทากไม่ได้รวมกลุ่มกันมาปรากฏตัว ทำให้คุณภาพดีกว่าปีที่แล้วมาก เมื่ออาหารอุดมสมบูรณ์พวกมันเองก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วย หลังจากนั้นอีกหลายวันฉินสือโอวจึงให้พวกชาวประมงไปออกค้นหาอีก จากนั้นนำมาต้มสุกแล้วแช่แข็งไว้ เท่านี้ก็สามารถกินต่อได้อีกสองเดือนแล้ว

ต้นเดือนกรกฎาคม โรงเรียนประถมแกรนท์ใกล้จะปิดเทอม การแข่งบาสเกตบอลของประถมศึกษาปีที่สี่ถึงหกก็ได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศแล้ว

เพราะมิเชลกับกอร์ดอนเข้าร่วมด้วย โรงเรียนประถมแกรนท์ในปีนี้จึงมาแรงแซงโค้ง กลายเป็นม้าดำของพื้นที่เขตเซนต์จอห์นทันที เอาชนะจนโรงเรียนอื่นๆ ไม่ทันตั้งตัว ทำเอาโรงเรียนที่ฝีมือดีเก่าแก่หลายที่ต้องล้มระนาวไปตามๆ กัน

การแข่งรอบชิงชนะเลิศในครั้งนี้ เป็นการแข่งระหว่างโรงเรียนประถมแกรนท์กับผู้ได้รับรางวัลถ้วยเงินจากปีที่แล้วโรงเรียนประถมหงเฉิงจื่อ

นักกีฬาของโรงเรียนหงเฉิงจื่อล้วนเป็นเด็กประถมห้ากับหกทั้งนั้น ชั้นประถมสี่นอกเสียจากว่าจะมีอัจฉริยะบังเกิด ไม่อย่างนั้นไม่มีทางที่จะได้เข้าร่วมทีมโรงเรียนนี้อย่างแน่นอน ทำให้รูปร่างของนักกีฬาของพวกเขาดูแล้วแข็งแกร่งที่สุด ทั้งสูงและตัวโตกว่าเด็กโรงเรียนอื่นๆ มาก

ปีที่แล้วพวกเขาแพ้ให้กับโรงเรียนคาทอลิกเซนต์ปีเตอร์ด้วยคะแนนห่างกันเพียงเฉียดฉิวที่สองคะแนน ปีนี้พวกเขาแก้แค้นได้สำเร็จ และนำพาความคิดที่จะได้เป็นแชมป์เข้าไปในการแข่งรอบชิงชนะเลิศ

ในตอนนี้ฮิวจ์คุ้นเคยกับหน้าที่การงานของเขามากขึ้นทุกวัน หากบอกว่าเขาเป็นผู้ช่วยครูฝึกแล้วล่ะก็ เรียกว่าเขาเป็นนักวิเคราะห์จะถูกกว่า เขามีสายข่าวมากมายในเซนต์จอห์น ไม่ว่าข้อมูลของคู่แข่งคนไหนก็สามารถหาได้หมด เป็นการช่วยเหลือทีมได้มากเลยทีเดียว

แม้ว่าเป็นการละเล่นของเด็กๆ แต่อย่างไรเสียก็เป็นรอบชิงชนะเลิศ การแข่งครั้งนี้จึงมีความสำคัญมาก ช่องโทรทัศน์ทางกีฬาของเซนต์จอห์นก็เข้ามาทำการถ่ายทอดสดด้วย สถานที่จัดการแข่งคือโรงยิมชายฝั่งปลาค็อด ที่นี่คือโรงยิมที่ใหญ่ที่สุดในนิวฟันด์แลนด์

ฉินสือโอวพาพวกเด็กๆ นั่งรถโรงเรียนไปที่โรงยิม กัวซงก็ลางานไปเข้าร่วมการแข่งขันด้วย เพราะการแข่งครั้งนี้สำคัญมากจริงๆ เขาจะต้องเป็นครูฝึกควบคู่กับฉินสือโอวด้วย

และความจริงแล้วครูฝึกหลักของทีมนี้ก็คึอเขาด้วย กลยุทธ์ง่ายๆ ที่ใช้ก่อนหน้านี้ก็เขานี่แหละที่นำมาบอกกับฉินสือโอว จากนั้นฉินสือโอวค่อยสอนให้กับพวกเด็กๆ

สนามบาสเกตบอลนี้มีทั้งหมดแปดพันที่นั่ง แน่นอนว่าคงไม่ถึงกับนั่งจนเต็ม แต่เพราะการแข่งของผู้ชิงอันดับสามกับสี่ก็ถูกจัดที่นี่ด้วย ทำให้ผู้ปกครองที่มาร่วมดูการแข่งขันมีเยอะมาก ผู้เข้าแข่งขันมีทั้งหมดสี่โรงเรียน

โรงเรียนประถมในแคนาดาให้ความสำคัญกับการพัฒนาของกิจกรรมกีฬามาก และยังถือว่านี่เป็นกิจกรรมครอบครัวอีกหนึ่งอย่างด้วย ทุกครั้งที่ถึงการแข่งขันที่สำคัญ โรงเรียนที่เกี่ยวข้องจะพานักเรียนทุกคนมา จากนั้นก็จะให้พวกนักเรียนพาพ่อแม่มาด้วย เท่านี้แม้ว่าจะเป็นการแข่งขันระดับล่าง แต่บรรยากาศก็ยังคงเข้มข้น

………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน