ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1257 ตุ๋นเนื้อแกะในทะเล

บทที่ 1257 ตุ๋นเนื้อแกะในทะเล

บูลสับเนื้อแกะแล้วโยนลงไปต้มในหม้ออัดแรงดันที่อยู่บนเรือยอชต์

ฉินสือโอวกลอกตาอย่างโมโหแล้วถามว่า “ที่บ้านนายทำสเต๊กแกะตุ๋นแบบนี้เหรอ?”

บูลพูดแบบแน่ใจ “แน่นอนว่าไม่ใช่…ที่บ้านแอนนาเป็นคนทำกับข้าว แต่ผมเห็นเธอก็ใช้น้ำต้มแบบนี้ ทำออกมาก็อร่อยดี”

ท่านชายฉินเตะเขาไปแบบไม่ปรานีให้เขาถอยไปแล้วพูดอย่างโกรธๆ “ไอ้ไร้ประโยชน์ ดูฉันทำนี่”

บูลยิ้มแฉ่งแล้วรีบเปิดปากพูด “งั้นบอสทำดีกว่า แน่นอนว่าฝีมือทำอาหารของบอสดีที่สุด”

นีลเซ็นที่พิงประตูอยู่พูดขำๆ “บูล ประจบได้ไม่เลวนี่ เอาอีกสิ ประจบฉันสักที”

“ไอ้เวรนีลเซ็น!” บูลชูนิ้วกลางใส่เขา “ฉันตบหน้านายได้ทีหนึ่ง นายจะเอาไหม?”

คุณภาพเนื้อแกะบูแคนันค่อนข้างดี แต่ปริมาณน้อย ไม่อย่างนั้นคงสามารถครองตลาดตะวันออกของแคนาดาได้เลยทีเดียว

ปกติเวลาฉินสือโอวซื้อเนื้อจะซื้อแบบดีๆ เนื้อแกะบางครั้งก็ซื้อเนื้อจากบูแคนัน พวกชาวประมงต่างก็ว่าเขาฟุ่มเฟือย

คนแคนาดากินเนื้อเป็นหลัก วัวแกะและปศุสัตว์ล้วนเลี้ยงเป็นจำนวนมาก ซื้อเนื้อแต่ละทีจึงถูกมาก เนื้อแกะปกติปอนด์ล่ะประมาณสี่ห้าดอลลาร์แคนาดา ส่วนเนื้อแกะบูแคนันล่ะ? หนึ่งปอนด์ราคาสิบห้าดอลลาร์แคนาดา แพงขึ้นมาถึงสามสี่เท่า!

แน่นอนว่าฉินสือโอวคิดว่ามันมีคุณค่าของมัน เนื้อชั้นดีของแคนาดาไม่ใช่แค่อร่อยกว่าเนื้อทั่วไป แต่ยังปลอดภัยและดีต่อสุขภาพมากกว่าด้วย

แม้ว่าหน่วยงานตรวจสอบความปลอดภัยด้านอาหารของแคนาดาจะบอกตลอดว่าพวกเขาควบคุมการใช้ฮอร์โมนและยาอย่างเคร่งครัด แต่พวกเขาไม่มีทางตรวจดูได้ทุกอย่าง เนื้อที่เข้าสู่ตลาดก็ต้องมีปัญหาบ้าง

ปัญหาความปลอดภัยด้านอาหารของแคนาดา ตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในปัญหาหลักที่ประชาชนให้ความสนใจ

เนื้อแกะบูแคนันแทบไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้ฮอร์โมนและยาเกินขนาดเลย เพราะเนื้อที่นี่ตรวจเข้มงวดมาก ในที่สุดยอดขายก็ตกอยู่ในรถเข็นของคนรวย ดังนั้นจึงสามารถกินมันได้อย่างมั่นใจ

ถ้าใช้สเต๊กเนื้อแกะธรรมดามาตุ๋นซุปก็ต้องลวกทิ้งหนึ่งรอบก่อน ไม่อย่างนั้นในเนื้อจะมีไขมันอิ่มตัวและของไม่สะอาด ที่ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย สเต๊กเนื้อแกะบูแคนันก็ไม่จำเป็น ตอนที่ใช้น้ำตุ๋นก็ไม่มีไขมันสีขาวลอยอยู่เหนือน้ำ ตุ๋นออกมาก็มีแต่น้ำมันใสๆ

ฉินสือโอวเคยลองแล้ว เนื้อแกะแบบนี้อย่าเพิ่งตุ๋นในทันที ต้องใช้น้ำมันทอดก่อน

ตอนที่เขาตั้งน้ำมันจนเดือดแล้วเอาเนื้อสเต๊กแกะที่สับแล้วลงทอด บูลก็เกาหัวแล้วพูดว่า “โอ้ กัปตัน คุณอยากกินสเต๊กทอดเหรอ? ที่บ้านผมมีเนื้อสเต๊กแกะชิ้นเล็ก อันนั้นเหมาะจะทอดมาก เดี๋ยวผมเอาไปส่งให้”

ฉินสือโอวกลอกตาต่อไปอีก แน่นอนว่าเขาไม่ได้จะกินเนื้อสเต๊กแกะทอด เนื้อนี้แค่ต้องทอดในน้ำมันจนมีสีเหลืองทองก็เอาออกมาได้แล้ว อีกเดี๋ยวก็เสร็จ

จากนั้นเขาก็หาในตู้เย็น ในนั้นมีเห็ดหอมภูเขาที่เก็บมาตากแห้งตอนฤดูใบไม้ผลิ

แช่ในน้ำร้อนเสร็จ ฉินสือโอวก็เอาเห็ดใส่ลงในหม้อตุ๋น เสร็จแล้วก็เทเหล้าจีนลงไป ตามด้วยต้นหอม ขิงที่หั่นชิ้นใหญ่ไว้ แล้วต้มก่อนสักสองสามนาทีค่อยเอาสเต๊กแกะที่ทอดจนเป็นสีเหลืองทองใส่ลงไป

รอจนซุปในหม้อเริ่มเดือดปุดๆ เขาก็ใส่แครอทที่ฟาร์มปลาปลูกเองลงไปด้วย เนื้อแกะตุ๋นหนึ่งหม้อจึงจะแล้วเสร็จ

บูลมองดูด้วยสายตาอึ้งๆ “แค่ตุ๋นเนื้อแกะต้องยุ่งยากขนาดนี้เลยเหรอ?”

ฉินสือโอวตอบ “ไอ้โง่ นี่ถึงจะเป็นขั้นตอนการทำเนื้อแกะตุ๋นตามปกติ อะไรของนาย? ของกินที่วินนี่ให้หู่จือเป้าจือกินยังดีกว่าของนายซะอีก”

“แต่บ้านผมเขาก็ทำกันแบบนี้ พ่อแม่ผมแต่ก่อนเวลาตุ๋นแกะก็ทำแบบนี้” บูลเถียงอย่างไม่ยอม

ฉินสือโอวยิ้มอย่างจนใจ “ให้ตายสิ บูล นายโตมาขนาดนี้ได้อย่างปลอดภัยนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ไอน้ำในหม้อก็ฟุ้งกระจายออกมา ห้องครัวบนเรือยอชต์อบอวลไปด้วยกลิ่นของเนื้อแกะ อีวิลสันเตรียมชามและตะเกียบ มีด ส้อมไว้เรียบร้อย สรุปก็คืออุปกรณ์กินข้าวมีครบหมด ไม่ว่าจะเป็นอาหารจีนหรือฝรั่งก็สามารถกินได้

อย่างที่บอกว่าอีวิลสันทึ่มโดยธรรมชาติ ฉินสือโอวกลับรู้สึกว่าไม่ใช่แบบนั้น ดูจากความคิดอ่านเวลากินข้าวก็ฉลาดใช้ได้ อย่างเช่นจนถึงตอนนี้พวกชาวประมงยังไม่มีคนไหนที่รู้จักเตรียมอุปกรณ์กินข้าวให้ครบ เวลากินพวกผัดหมูเส้นกับปลาหรือมันฝรั่งเส้น พวกเขาก็ได้แต่มองดูเฉยๆ

ฉินสือโอวเปิดฝาหม้อดู สเต๊กแกะที่ทอดจนเป็นสีเหลืองทองกลับมาเป็นสีขาวราวหิมะ น้ำซุปก็เปลี่ยนเป็นสีขาวน้ำนม บนผิวซุปมีไขมันที่หนาแต่ไม่เลี่ยนอยู่ กลิ่นหอมเตะจมูก

เอาต้นหอมและผักชีถ้วยหนึ่งที่เตรียมไว้โรยลงไปก็เสร็จ ฉินสือโอวพูดอย่างพอใจ “โอเค กินข้าวกันได้แล้ว”

อีวิลสันรีบยื่นชามใบโตของตัวเองออกไปทันที

บูลเห็นแบบนั้นก็พูดอย่างประหลาดใจ “อีวิลสัน ทำไมนายถึงเอากะละมังอาบน้ำของเสี่ยวเถียนกวามาด้วยล่ะ?”

อีวิลสันส่ายหน้ารัว “ไม่ใช่นะ นี่เป็นชามของอีวิลสัน กะละมังอาบน้ำยังอยู่ที่บ้าน! อีวิลสันไม่ได้เอาไป นั่นของเถียนกวา!”

ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ “บูล นายนี่มันไม่รู้จักจำ อย่าไปแหย่อีวิลสันได้ไหม? ฉันจะบอกให้ ถ้านายแกล้งเขา งั้นฉันก็พูดได้แค่อย่างเดียว”

“พูดว่าอะไรครับ?” นีลเซ็นประชิดเข้ามาถาม

ฉินสือโอวพูดกับอีวิลสันหน้าชื่นตาบาน “ไป อัดบูลซะ อัดเสร็จแล้วค่อยกลับมากิน!”

บูลรีบหันหลังวิ่งหนี อีวิลสันตามมาด้านหลังราวกับลมกรดแล้วยกตัวเขาที่สูงหนึ่งร้อยแปดสิบเก้าขึ้นมาราวกับกำลังยกไก่ตัวหนึ่ง จากนั้นก็โยนลงไปบนโซฟา แล้วอัดตุบตับอย่างกับตีกลองอยู่

นีลเซ็นไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เขาเลือกเนื้อกินไปพูดไป “อีวิลสัน ฉินถามว่ากำลังนวดให้บูลอยู่เหรอ? แรงน้อยไปแล้ว”

อีวิลสันพูดอย่างจริงจัง “ไม่ได้นวด อีวิลสันกำลังอัดเขาอยู่”

อีวิลสันไม่เข้าใจคำพูดของเขา บูลกลับเข้าใจเลยร้องโหยหวนออกมา “นีลเซ็น ไอ้เวร! ฉันจะล้างแค้นนายแน่! รีบมาช่วยฉันเร็ว! ไม่อย่างนั้นกลับไปฉันพูดอะไรกับแพรีสไม่รู้ด้วยนะ!”

นีลเซ็นได้ยินแบบนั้นก็รีบยกชามเหล็กของอีวิลสันไปให้พลางพูดว่า “มา เพื่อน ฉินบอกว่ากินข้าวได้แล้ว!”

อาหารเป็นชีวิตของอีวิลสัน เขายกชามอย่างดีใจแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาก่อนจะเริ่มกินแจ๊บๆ ด้วยสีหน้ามีความสุข “อร่อยจริงๆ เลย!”

บูลขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา ฉินสือโอวยื่นชามให้เขา เขากัดลงไปบนเนื้อแกะก็ต้องร้องออกมาอย่างประหลาดใจ “โอ้โห บอสทำอร่อยจริงๆ ด้วย อืม ทำไมเนื้อแกะถึงหอมขนาดนี้?”

ฉินสือโอวกินไปอธิบายไป “เนื้อแกะชั้นเยี่ยมแบบนี้เนื้อจะนิ่มมาก กินไปแม้เนื้อสัมผัสจะดี แต่ถ้าต้มเลยน้ำข้างในเนื้อก็จะลงไปในซุปหมด เพราะฉะนั้นทอดหนึ่งรอบเพื่อล็อกหนังชั้นนอกไว้ แบบนี้ด้านในจะยังมีน้ำอยู่ส่วนหนึ่ง กลิ่นหอมของเนื้อแกะจะอยู่ในน้ำนั้น”

เนื้อแกะตุ๋นที่เขาทำไม่ใช่แค่หอมเท่านั้น ยังมีรสของผักด้วย เวลาทำเนื้อตุ๋นคนแคนาดาไม่ชอบใส่เครื่องเทศอย่างต้นหอม ขิง กระเทียม ผักชี มีแค่เนื้อก้อนโต กินไปไม่กี่ชิ้นก็ไม่หอมแล้ว ไม่อร่อยเลย

ทั้งสี่คนรุมกินกันจนเนื้อแกะตุ๋นทั้งหม้อหายไปในพริบตา สุดท้ายแม้แต่แครอทก็ไม่เหลือ อีวิลสันกินจนหมด

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท