ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1261 จดหมายจากโรงเรียนมาแล้ว

บทที่ 1261 จดหมายจากโรงเรียนมาแล้ว

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “ดูแกสิ เพิ่งจะกี่ปีเอง นิสัยเสียของนายทุนก็ทำเป็นแล้ว แบบนี้จะต่างอะไรกับราชาเผด็จการ? ระวังไว้เถอะ อุดปากคนน่ากลัวกว่ากันน้ำป่าทะลักอีกนะ”

ฉินสือโอวตอบ “ให้มันน้อยๆ หน่อย ฉันไม่ใช่ฮ่องเต้แล้วก็ไม่ได้อยากเป็นมหาราช ฉันรู้แค่ว่าในที่ของฉันห้ามรับประโยชน์จากฉันแล้วมาแว้งกัด!”

“งั้นแกก็ให้ข้าวฉันกินสักชามสิ ทางฉันจะไม่มีอะไรกินแล้วนะ” เหมาเหว่ยหลงพูดด้วยใบหน้าระรื่น

ฉินสือโอวตบอกอย่างใจกว้างแล้วให้คำสัญญา “ไม่มีปัญหา แกมาหาฉันเลย มีให้แกกินแน่นอน ไม่ให้แกหิวแน่ แต่แกต้องมานะ ไม่อย่างนั้นถือว่าดูถูกฉัน ฉันจะเสียความรู้สึก”

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะร่า “ที่จริงฉันโทรมาชวนแกมานี่ แต่แกจะลากฉันไปโน่น? ฉันก็อยากไปนะ แต่บ้านแกมีม้าหรือเปล่า?”

ฉินสือโอวถามอย่างประหลาดใจ “ม้าอะไร? ฉันมีกวางมูส ไม่มีม้า”

หลังจากนั้นเหมาเหว่ยหลงก็อธิบายให้เขาฟังว่า รอบๆ บริเวณฟาร์มของเขามีฟาร์มที่ล้มละลาย เจ้าของก็เลยขายสัตว์ในฟาร์มให้เขาในราคาถูกๆ เหมาเหว่ยหลงซื้อม้าควอเตอร์โตเต็มวัยสองตัวกับลูกม้าสองตัวมาเลยจะชวนเขาไปขี่ม้าด้วยกัน

ฉินสือโอวเคยขี่ฉลาม ขี่วาฬและยังเคยขี่วินนี่ แต่ไม่เคยขี่ม้า พอได้ยินเหมาเหว่ยหลงบอกแบบนั้นก็นึกได้ว่าตั้งแต่ที่ทั้งสองคนหมั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย คิดถึงเขาอยู่เหมือนกันจึงตอบรับว่าจะหาเวลาไป

คุยกันไปชั่วโมงครึ่ง ฉินสือโอวถึงวางสาย เขากำลังจะไปดูว่าการจำแนกลูกปลาไปถึงไหนกันแล้ว ปรากฏว่าเชอร์ลี่ย์ พาวลิส ชาร์คน้อยก็พากันวิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ

ฉินสือโอวถามด้วยความแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียน พวกเธอ เฮ้ เจ้าพวกตัวแสบ โดดเรียนมาหรือเปล่าเนี่ย?”

เชอร์ลี่ย์กลอกตาอย่างน่ารักแล้วพูดว่า “เราจะกล้าโดดเรียนได้อย่างไรล่ะคะ? ไม่ใช่หรอกค่ะ คุณครูไม่มาสอนเราก็เลยว่าง ถ้ายังไม่ได้รับแจ้งให้ไปเรียนก็ไม่ต้องกลับไป”

ฉินสือโอวไม่ได้คิดไปในทางนั้น เพราะวินนี่เพิ่งพูดเมื่อคืนว่าโรงเรียนประถมแกรนท์ไม่มีความเสี่ยงเรื่องหยุดสอน เธอเพิ่งพูดไปไม่กี่ชั่วโมงทางนั้นก็หยุดสอนเสียแล้ว

ท่านชายฉินไม่พอใจ แน่นอนว่าความไม่พอใจนี้ไม่เกี่ยวกับงานของวินนี่ โรงเรียนไม่ได้ติดค้างอะไรเขา พวกเขาจะหยุดการเรียนการสอนเขาก็ควบคุมไม่ได้

แต่ที่เขาไม่พอใจก็คือ อย่างที่เขาพูดกับวินนี่เมื่อคืนนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นแค่ครูพละชั่วคราวของโรงเรียนประถมแกรนท์ แต่อย่างไรก็นำทีมจนได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โรงเรียน เรื่องแบบนี้ทำไมไม่มีใครแจ้งเขาเลย?

ในขณะที่ท่านชายฉินกำลังเซ็งอยู่ คำพูดของเชอร์ลี่ย์ก็ทำเอาเขาตื่นตัวขึ้นมาทันที “โอ้ ใช่สิ ครูดิคให้หนูมาแจ้งคุณว่าให้ไปโรงเรียนหน่อย เขาบอกว่าโทรหาคุณไม่ติด”

เมื่อครู่ฉินสือโอวเอาแต่คุยไร้สาระกับเหมาเหว่ยหลง คุยนานถึงชั่วโมงครึ่ง คนอื่นโทรติดก็แปลกแล้ว

ฉินสือโอววางลูกสาวบนเบาะผู้โดยสารแล้วก็ขับรถคาดิลแลควันมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนประถมแกรนท์ ระหว่างนั้นเขาโทรหาวินนี่ให้เธอเตรียมตัว โรงเรียนประถมบนเกาะแฟร์เวลก็หยุดงานกันแล้ว

วินนี่ยุ่งจนปลีกตัวไปไหนไม่ได้ เธอตอบมาเพียง ‘ฉันรับทราบแล้ว’ แล้วก็วางสายไปทันที

ตอนที่ฉินสือโอวรีบมาที่โรงเรียนก็เห็นรถคาดิลแลคของวินนี่จอดอยู่หน้าประตูโรงเรียนเช่นกัน มิน่าล่ะถึงไม่รับสาย เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็เจอกันนี่เอง

ลุงยามชัคเห็นเขาอุ้มลูกสาวลงจากรถก็พูดแซว “ว่าไง ฉิน สามพ่อแม่ลูกมาโรงเรียนประชุมผู้ปกครองกันเหรอ?”

ฉินสือโอวยักไหล่พลางตอบกลับ “เปล่าครับ ผมพาลูกมาสมัครเข้าเรียนล่วงหน้า”

ลุงยามชัคพูดยิ้มๆ “ดูท่าผมจะเข้าใจผิด งั้นตอนนี้คุณเป็นใครบ้าง? สามีนายกเทศมนตรี พ่อของนักเรียน ครูของโรงเรียน?”

ฉินสือโอวตอบพลางถอนใจ “โลกนี้ลำบากนักลุงชัค ผมเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมมีบทบาทอะไรบ้าง ปรับตามสถานการณ์แล้วกัน ลุงก็รู้นี่ ว่าผมรักเกาะแฟร์เวล ใช่ไหม?”

ลุงยิ้มร่ากว่าเดิมแล้วพูดว่า “พวกเราต่างก็รักเกาะแฟร์เวล เข้าไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”

ฉินสือโอวโทรหาครูใหญ่แกรนท์ถามว่าเขาถึงแล้ว ให้ไปที่ไหน แกรนท์บอกเขาว่าให้มาห้องประชุมเถอะ ทุกคนอยู่ที่นั่นกันหมดแล้ว

เข้าไปในห้องประชุม ทุกคนก็อยู่ที่นั่นกันหมดจริงๆ ครูของโรงเรียน เจ้าหน้าที่สำคัญของเทศบาลท้องถิ่นที่วินนี้พามาด้วยอย่าง ฮานี่ย์ แรมโบ้ ทุกคนนั่งที่โต๊ะประชุมทรงกลมทั้งสองข้างเหมือนกำลังเจรจากันอยู่

พอเห็นแม่อยู่ตรงนั้น ตาของเสี่ยวเถียนกวาก็เปล่งประกาย ยื่นแขนออกไปจะให้แม่อุ้ม

ฉินสือโอวไม่ให้เธอซน แต่เด็กน้อยไม่พอใจ ถีบขาร้องงอแง

มีครูผู้ชายไม่พอใจแล้วบ่นออกมา “นี่เพื่อน จะอุ้มเด็กมาด้วยทำไม? นี่มันโรงเรียนประถม ไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็ก”

ฉินสือโอวตอบกลับเสียงเย็น “จะให้ผมทำไงได้ แม่ของลูกผมโดนพวกคุณดึงตัวไว้ งั้นคนเป็นพ่ออย่างผมไม่ดู ใครจะมาดู?”

ครูใหญ่แกรนท์เป็นคนอ่อนโยนมาก เขายิ้มเป็นสัญญาณให้ทั้งสองฝ่ายนั่งลงจากนั้นก็เข้าไปหยอกล้อกับเด็กน้อย แต่หลังจากที่เด็กน้อยเอื้อมมือคว้าหนวดเขาดึงหนึ่งทีเขาก็ไม่กล้าเข้าใกล้อีก

ฉินสือโอวอุ้มเสี่ยวเถียนกวาไปนั่งที่ข้างหลังสุด ครูเชอริลเห็นเด็กหญิงตัวน้อยขาวๆ อวบๆ น่ารักมากจึงเข้ามานั่งหยอกล้อใกล้ๆ

เด็กน้อยไม่กลัวคนแปลกหน้า แต่ก็ไม่ชอบเล่นกับคนแปลกหน้าเหมือนกัน แต่เชอริลเป็นข้อยกเว้น พอเธอกางแขนออก เด็กน้อยก็รีบกางแขนออกทันทีแล้วเข้าแนบอกเธออย่างชอบใจ

ฉินสือโอวกำลังตกใจว่าลูกสาวใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจ พอเจ้าตัวน้อยเข้าสู่อ้อมกอดของเชอริลก็เอามือจับไปที่หน้าอกของคุณครูอกโต หัวเล็กดันมุดเข้าไป ปากเล็กอ้าได้ก็งับทันที

เจอแบบนี้เชอริลจึงเขิน ฉินสือโอวเองกระอักกระอ่วนยิ่งกว่า เขารีบอุ้มลูกสาวกลับมา

ใบหน้างดงามของวินนี่บูดบึ้งทันใด กล้าเถลไถลต่อหน้าฉันเลยเหรอ ใครทนได้แต่ฉันทนไม่ได้!

หลังจากที่ส่งสายตาพิฆาตไปให้ฉินสือโอว วินนี่ก็กระแอมไอปรับสภาพอารมณ์แล้วหันไปพูดกับแกรนท์ด้วยรอยยิ้ม “ครูใหญ่คะ กระแสหยุดการเรียนการสอนนี้สำหรับโรงเรียนของรัฐ โรงเรียนประถมแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมหรอกมั้งคะ?”

ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วพูดเสริม “นั่นสิครับครูใหญ่ เราจะเข้าร่วมไปด้วยทำไม? รีบเรียกเด็กกลับมาเรียนกันดีกว่า”

ครูทั้งแถวมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ ท่านชายฉินทำหน้าหนาไม่สนใจ คิดว่าเขาจะมาร่วมประชุมเพื่อจะรับมือสหภาพครูออนแทรีโออย่างไรเหรอ? เขามาเป็นสายสืบต่างหาก

ครูใหญ่แกรนท์พูดยิ้มๆ อย่างสุภาพ “ฮ่ะๆ เราแค่ร่วมมือกับสหภาพเท่านั้น อย่าร้อนใจไปท่านนายกเทศมนตรี พรุ่งนี้เราก็กลับมาสอนได้แล้ว แต่ผมคิดว่า…”

ท่านชายฉินไม่รอให้ครูใหญ่พูดจบ เขารีบอุ้มลูกสาวยืนขึ้นแล้วพูดว่า “โอเค งั้นเรื่องนี้ก็พอแค่นี้? ทุกคนแยกย้ายกลับบ้านเถอะ ดีไหม?”

ครูคนอื่นๆ หงุดหงิดอย่าบอกใคร คราวนี้ที่มองเขาไม่ใช่สายตาแปลกๆ แต่เป็นสายตาดุดัน มีบางคนพูดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ “ถ้าคุณไม่อยากร่วมด้วยก็กลับไปเถอะ อย่างไรเสียคุณก็ไม่ใช่ครูเต็มตัวอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินแบบนั้นท่านชายฉินจึงไม่สบอารมณ์ เขาถามขึ้น “คุณเพื่อนร่วมงาน คุณกำลังดูถูกผมเหรอ?”

………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท