ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1285 สเต๊กเนื้อวัวย่าง

บทที่ 1285 สเต๊กเนื้อวัวย่าง

รถตำรวจสองคันนั้นมาไวไปไว จนทำให้ภรรยาเจ้าของฟาร์มงงงวย

แต่ว่าการที่ไออาร์เอสจากไปก็ถือว่าเป็นเรื่องดี จริงๆ ถ้าพวกเขาถูกลากไปสถานีตำรวจ สุดท้ายพวกเขาก็จะยอมรับโทษและสารภาพผิดแต่โดยดี หลังจากนั้นหลักฐานทางวินัยก็จะสมบูรณ์

อันที่จริงแล้วฉินสือโอวขี้เกียจจะยุ่งกับเรื่องพวกนี้ เพราะมันไม่ได้เกี่ยวกับเขา ที่เขาทำไปทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเพราะเห็นแก่เหมาเหว่ยหลง

ที่จริงแล้วเขาก็คิดไม่ถึงว่ากลอุบายของเออร์บักจะใช้ได้ผลจริงๆ ไออาร์เอสนั้นขึ้นชื่อเรื่องไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ไม่คิดเลยว่าพอได้เห็นบันทึกการจ่ายภาษีของเขาแล้วก็จากไปอย่างกะทันหัน นี่เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึง

ไม่ว่าประเทศไหนก็ล้วนแล้วมีแต่ชนชั้นเอกสิทธิ์อยู่ แต่ฉินสือโอวไม่คิดว่าเจ้าของฟาร์มปลาอย่างตัวเขาเองจะทำให้ไออาร์เอสเห็นแก่หน้าเขาได้จริงๆ ทุกปีเขาต้องจ่ายภาษีเยอะมากแต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องทำอยู่แล้ว และไออาร์เอสก็ไม่จำเป็นที่จะเห็นแก่หน้าด้วยเหตุผลนี้

โดยเฉพาะเลยคือเขาไม่ใช่คนท้องถิ่น อีกทั้งหลังจากนั้นผู้ปฏิบัติตามกฎหมายพวกนี้ก็ไม่ได้มีอารมณ์ปะทุอะไร และถ้าจะให้พูดว่าหัวหน้าพวกเขาอยากจะคบค้าสมาคมกับฉินสือโอว ก็ว่าไม่ได้

คิดไม่ออกก็ไม่คิดแล้ว ยังไงเรื่องนี้ก็จบลงแล้วล่ะ

จากนั้นเขาและเหมาเหว่ยหลงก็ได้เดินไปหยิบเนื้อ เจ้าของร้านเช็ดมือจนสะอาดแล้วจับมือกับเขาทั้งสองคนทีละคน และพูดด้วยความนอบน้อมและจริงใจ “ผมไม่รู้จะพูดยังไงเลย วันนี้พวกคุณช่วยชีวิตผมไว้ ขอบคุณมากๆ เลยครับ ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”

ตรงส่วนนี้ต้องยกให้เหมาเว่ยหลงเลย ฉินสือโอวยืนยักไหล่ไม่พูดไม่จาอยู่หลังเขา เหมาเว่ยหลงพูดคุยพอเป็นพิธีประมาณสองสามประโยคของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้าน จากนั้นเขาก็เอาเนื้อและซี่โครงแล้วก็กลับบ้าน

แน่นอนว่า ครอบครัวพอลลี่ไม่รับเงินของพวกเขา และยังให้สเต๊กเนื้อทีโบนชั้นดีที่สุดสองชิ้นกับพวกเขาด้วย

ระหว่างทางตอนกลับเหมาเหว่ยหลงถามฉินสือโอวด้วยความสงสัยถึงว่าสิ่งที่เพิ่งให้ไออาร์เอสดูคืออะไร ฉินสือโอวก็ยังไม่อยากจะคิดเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ก็เลยไม่ได้พูดเล่นและพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา

แต่เหมาเหว่ยหลงก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี กรมสรรพากรของแคนาดามีชื่อเสียงมากด้านการต่อรองกับเงินทุกหนึ่งเซนต์ ครั้งนี้ยอมปล่อยเนื้อก้อนใหญ่จากมือไป ซึ่งเป็นอะไรที่ค่อนข้างน้อยครั้งมากที่จะพบเจอเรื่องแบบนี้

ฉินสือโอวจึงทำได้แค่เดาไปว่า “หรือว่าเรื่องของพอลลี่จะไม่มีอะไรมาก? แคนาดามีกี่คนกันที่ไม่เคยหลบเลี่ยงการจ่ายภาษี? เอาเถอะ ถึงจะไม่นับว่าหนีภาษี แต่การหลีกเลี่ยงภาษีก็ต้องเคยใช่ไหมล่ะ?”

ปัญหาการหนีภาษีและการหลีกเลี่ยงภาษีของแคนาดาเป็นเรื่องปกติ ฉินสือโอวจำได้ว่าเขาเห็นรายงานข่าวใหม่ทุกวัน ดูเหมือนว่าเมื่อปีที่แล้ว ทั้งประเทศแคนาดาจะมีการหลีกหนีภาษีรวมกันแล้วมากกว่าสองหมื่นล้านดอลลาร์แคนาดา

เหมาเหว่ยหลงที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับส่ายหัว “แคนาดาตอนนี้บ้าไปแล้ว ขอแค่ให้ได้เงินมาถึงมือ แม้แต่บาทเดียวก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดไปได้ แกไม่รู้ใช่มั้ย? ปีนี้รัฐบาลแคนาดาเพิ่งจะออกแผนภาษีใหม่ ครั้งนี้แม้กระทั่งทรัพย์สินต่างประเทศก็ถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด สำนักจัดเก็บภาษีแห่งชาติจะติดต่อไปยังประเทศต่างๆ เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินในต่างประเทศของผู้อพยพและจะมีการเรียกเก็บภาษีด้วย!”

แน่นอนว่าฉินสือโอวรู้เรื่องนี้ เพราะสองปีมานี้เศรษฐกิจของแคนาดาไม่ดีมากๆ รัฐบาลสร้างหนี้ไว้เยอะ

เพื่อแก้ปัญหาการขาดทุน รัฐบาลแคนาดาจึงได้ออกนโยบายใหม่ขึ้นมาแบบไม่ไว้หน้าในการตรวจสอบทรัพย์สินในต่างประเทศของผู้อพยพ หากมากกว่าหนึ่งแสนหยวนจะต้องรายงานต่อกรมสรรพากร ส่วนผู้ที่จงใจปกปิดทรัพย์สินของตนจะถูกปรับเป็นเงินสูงสุดถึงหนึ่งหมื่นสองพันหยวนหรือห้าเปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สิน ส่วนผู้ที่รายงานเรื่องของผู้ที่ปกปิดทรัพย์สินจะได้รับสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของภาษีที่ต้องจ่ายเป็นรางวัล ซึ่งประเทศใหญ่ๆ ในโลกนี่ก็ยังถือว่าเป็นเคสแรก

พอกลับมาถึงฟาร์ม หลิวซูเหยียนแปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงออกไปนานขนาดนี้ ฉินสือโอวจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้ฟัง

พอวินนี่ได้ฟังข้อสงสัยเกี่ยวกับไออาร์เอสของเขาก็ยิ้มออกมาแล้วอธิบาย “คุณบอกว่าพวกเขาส่งรถสองคันกับคนแปดคนมาใช่ไหมคะ? นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจมาที่ร้านขายเนื้อวัวเนื้อแกะนี้ แต่น่าจะแค่บังเอิญผ่านมาเจอพอดี ก็เลยมาตรวจสอบดูสักหน่อยไง”

“แบบนี้แสดงว่าพวกเขาต้องมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ทำแน่ ในตอนที่ตรวจสอบฟาร์มนั้นถึงแม้คุณจะไม่ได้แสดงใบบันทึกภาษีออกมา แต่ดูแล้วเริ่มเสียเวลาทั้งยังไม่ได้อะไรก็เลยไม่รอแล้ว”

“ยิ่งไปกว่านั้นไออาร์เอสจะไม่รุกรานผู้เสียภาษีสูง ที่มีประวัติการเสียภาษีที่ดี อันที่จริงพวกเขาก็ขายหน้าคุณนั่นแหละ หรือจะให้พูดก็คือขายหน้าคุณและตัวแทนของทรัพย์สินนั่นแหละ”

“หรือว่าคุณปู่เออร์บักจะหมายถึงแบบนี้ ที่เขาไม่สั่งให้คุณพูดเพราะถ้าหากไออาร์เอสเห็นการจ่ายภาษีของคุณแบบละเอียดแล้ว หลังจากนั้นก็ยังยืนยันที่จะจับสามีภรรยาพอลลี่แล้วก็จะปล่อยคุณไปใช่ไหม? นั่นก็เป็นเรื่องยืนยันได้ว่าไออาร์เอสตั้งใจมาโจมตีเจ้าของฟาร์มจริงๆ ถึงแม้จะเอานายกมาพูดขอร้องแทนก็คงไม่มีประโยชน์”

ฉินสือโอวก็เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนั้น “ถ้าจะให้พูดนะ ผมว่าผมก็ไม่ได้มีหน้ามีตาอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”

วินนี่เองก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดี เธอพูดว่า “งั้นฟาร์มนั้นจะต้องเจอปัญหายุ่งยากแล้วล่ะ ไออาร์เอสไม่ได้ทำอะไรเขา แต่จากการคาดเดานะคะ พวกเขาคงจะไปแจ้งสำนักงานความปลอดภัยอาหารและอนามัยให้มาตรวจสอบ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเลิกทำตั้งแต่วันนี้ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะโดนจ่ายค่าปรับ”

หลิวซูเหยียนจึงพูดพร้อมกับท้องโตๆ นั้น “ฉันจะไปบอกครอบครัวพอลลี่ พวกเขาเป็นคนดี ครั้งที่แล้วฉันไปตรวจในเมือง รถเสียกลางทางก็ได้พวกเขาที่ขับรถกลับมาส่งให้ และยังเป็นพอลลี่ที่มาช่วยซ่อมให้อีก”

ฉินสือโอวพยักหน้า งั้นนี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะช่วย เจ้าของฟาร์มชาวจีนที่อาศัยอยู่ต่างประเทศไม่ง่ายเลยจริงๆ เพราะยากที่จะเข้ากับชุมชนท้องถิ่นได้ การโดนดูถูกหรือโดนเหยียดนั้นมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง แต่การมีเพื่อนบ้านแบบนี้ นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก

เหมาเหว่ยหลงบอกว่าเขาจะไปโทรศัพท์ พอวางแล้วก็พูดยิ้มๆ “พวกเขาเก็บแผงปิดร้านแล้ว ฉันเลยเชิญพวกเขาให้มาเล่นด้วยกัน รอสักพักเดี๋ยวพวกเขาก็มาถึง”

เป็นอย่างที่คาดไว้ ผ่านไปไม่นาน เหมาเหว่ยหลงที่เพิ่งจะวอร์มเตาอบเสร็จ รถโตโยต้าไฮลักซ์ก็ขับเข้ามา

เหมาเหว่ยหลงไปต้อนรับครอบครัวพอลลี่และลูกๆ อีกสองคนของเขา ส่วนฉินสือโอวเตรียมย่างสเต๊กเนื้อ

ที่อเมริกาและแคนาดา สเต๊กเนื้อเป็นอาหารที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของบุรุษ ผู้ชายไม่ต้องทำอาหารอย่างอื่นให้เป็นก็ได้ แต่ต้องทำสเต๊กเนื้อเป็น หุงผัดอุ่นต้มล้วนต้องทำเป็น ดูจากหนังของอเมริกาก็จะรู้ว่าในฉากการย่างบาร์บีคิวในครอบครัวนั้นปกติมักจะเป็นผู้ชายที่เป็นคนย่าง

เตาที่เหมาเหว่ยหลงนำออกมาย่างบาร์บีคิวก็เป็นเตาถ่านที่พบเห็นได้ทั่วไปในละครทีวีของอเมริกา ด้านในเป็นถ่านที่ถูกเผาด้วยเปลวไฟ มีตาข่ายเหล็กวางอยู่บนเตา แล้วเอาเนื้อวางไว้ด้านบน

พอลลี่เดินมาช่วย เขาพูดแบบยิ้มๆ “คุณคือฉินใช่ไหม? สวัสดีครับ ตอนที่เพิ่งรู้พวกเราค่อนข้างวุ่นวายกันอยู่ เลยยังไม่ได้แนะนำตัว ผมชื่อพอลลี่ พอลลี่ ซอร์ตัน เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นขอบคุณมากจริงๆ นะครับ”

จากนั้นฉินสือโอวและเขาก็จับมือเชคแฮนด์กันอีกครั้ง พลางตอบกลับว่า “ไม่เป็นไรครับ เหมาบอกว่าคุณมักจะช่วยเหลือเขา พอถึงครั้งเพื่อนมีปัญหา ทำไมพวกเราจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือกัน”

พอลลี่ไปเอาที่คีบมาแล้วช่วยเขาพลิกเนื้อ เห็นได้ชัดเลยว่าฝีมือของเขายิ่งกว่าระดับเต๋า จนฉินสือโอวต้องหลีกทางให้ กลายเป็นว่าเขาเป็นผู้ช่วยและเรียนย่างเนื้อกับเขาแทน

สเต๊กเนื้อพวกนี้มีคุณภาพดีและอุดมไปด้วยน้ำมัน ไม่จำเป็นต้องทาน้ำมัน เพียงแค่นำลงไปย่างก็ได้แล้ว และพอวางไว้ไม่นานน้ำมันก็จะออกมาเอง

พอลลี่ยังคงโรยพริกไทยไม่หยุดและเพิ่มรสด้วยหัวหอมหั่นหลังจากนั้นประมาณสองสามนาที เนื้อชิ้นนั้นก็ถูกย่างจนเป็นสีเหลืองทอง

ฉินสือโอวสูดดมกลิ่นแล้วเอ่ยชม “กลิ่นสุดยอดมากเลยเพื่อน กระเพาะของผมเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว”

พอลลี่ยิ้ม “บางทีตอนนี้ผมควรพูดถ่อมตัวใช่ไหม? แต่ว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น ฮ่าๆ ที่จริงแล้ว จริงๆ นะ ฉิน คุณภาพเนื้อวัวจากฟาร์มของผมสุดยอดมากจริงๆ แต่น่าเสียดายจริงๆ ให้ตายสิ ไม่รู้ว่าปัญหามาจากตรงไหน ตั้งแต่ปีที่แล้วเนื้อวัวเนื้อแกะขายไม่ออกเลย”

พูดจบ เขาก็ส่ายหน้าอย่างเศร้าๆ

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท