ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1283 กรมสรรพากรบุก

บทที่ 1283 กรมสรรพากรบุก

ฉินสือโอวและวินนี่ซื้ออุปกรณ์ขี่ม้ามาคนละเซต สุดท้ายตอนคิดเงิน เหมาเว่ยหลงก็ใช้บัตรตัวเองรูด บอกว่าอยากจะเลี้ยงแขก ฉินสือโอวพูดกับวินนี่ด้วยความปลื้มปริ่ม “โชคดีจัง ที่รัก โชคดีที่ผมหยิบรองเท้าบู๊ตคู่นี้มา!”

ชายผิวดำเจ้าของร้านจึงบอกให้พวกเขารอสักครู่ ก่อนเดินไปยังโซนขายหมวกและหยิบหมวกคาวบอยใบเล็กซึ่งด้านบนถูกประดับด้วยดวงดาวเล็กๆ ระยิบระยับแวววาว และสวยมากๆ มา

และเหมาเหว่ยหลงก็แสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมา “แม่งเอ๊ย บัตรเครดิตฉัน!”

ชายผิวดำเจ้าของร้านก็หัวเราะด้วยเสียงดังลั่น “วันนี้ไม่ต้องใช้บัตรเครดิตของนายหรอก ฉันให้หมวกใบนี้กับสาวน้อยน่ารักคนนี้ เธอช่างงดงามจริงๆ”

พูดจบเขาก็สวมหมวกให้กับเถียนกวา ดวงตากลมๆ ของเด็กหญิงตัวน้อยกลอกกลิ้งไปมาดูให้ความสนใจกับหมวกบนหัวมาก เธอยื่นมือขึ้นเพื่ออยากจะถอดหมวกใบเก่าออก แต่แขนของเธออ้วนเกินไปทำให้ทำอย่างไรเธอก็ยื่นไม่ถึง เธอจึงส่งเสียงร้องออกมาอย่างร้อนใจ

ฉินสือโอวถอดหมวกใบสีฟ้าออกให้ลูกสาวและเด็กหญิงตัวน้อยก็โยนมันทิ้ง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องอ้อแอ้อ้อแอ้ต่อ

วินนี่จึงหยิบหมวกใบนั้นขึ้นมาและพูดกับเขา “คุณดูสิ ในอนาคตลูกสาวของคุณจะต้องเป็นพวกได้ใหม่แล้วลืมเก่าแน่ๆ”

ฉินสือโอวจึงตอบกลับ “ถ้างั้นตอนพวกเรากลับก็เอาลูกไปไว้กับโคโกโร่ รอจนเบื่อเขาเมื่อไหร่ พวกเราค่อยกลับมารับ”

เมื่อกลับมาถึงฟาร์ม ฉินสือโอวก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้าบู๊ตหนัง และตามเหมาเหว่ยหลงไปอาบน้ำให้เจ้าม้าดำฟรีดริช

เหมาเหว่ยหลงลากรถล้อลากคันเล็กมาหนึ่งคัน ยื่นเสียมให้ฉินสือโอวในขณะที่เขาถือแปรงหวีขนอยู่ในมือ “บ้าอะไรเนี่ย ไม่ใช่ว่าใช้อันนี้อาบน้ำให้ม้าหรอกเหรอ? ทำไมต้องใช้เสียมล่ะ? ฉันกลัวจะกะแรงควบคุมมันไม่ได้ แล้วเดี๋ยวจะไปเสียบตัวมันเข้าน่ะสิ!”

เหมาเหว่ยหลงเข้าไปในโรงม้าตรงที่ม้าสีน้ำตาลยืนอยู่ก่อนจะใช้เสียมโกยมูลม้าบนพื้นขึ้นมา แล้วพูดว่า “แกอยากขี่ม้าไหม งั้นก็รีบทำ แล้วฉันก็จะมอบคำพูดหนึ่งประโยคให้แก การพูดไม่ได้ทำให้งานน้อยลง”

ฉินสือโอวชูนิ้วกลางให้เหมาเหว่ยหลง และเริ่มลงมือใช้เสียมโกยมูลม้าอยู่ด้านหลังก้นของฟรีดริชอย่างจำใจ สุดท้ายมันกลับตื่นตระหนกและยกกีบขึ้นมาถีบ

โชคดีที่ฉินสือโอวมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว ตอนที่กีบของม้าดำพุ่งมาเขาก็รีบถอยหลังหลบได้ทันที การหลบหลีกม้าควอเตอร์หวาดเสียวจนเกือบทำให้ตายได้เลย

เหมาเหว่ยหลงที่อยู่ด้านข้างถึงกับสะดุ้งตกใจแล้วรีบถาม “แกเป็นไงบ้าง? เจ็บตรงไหนไหม?”

ฉินสือโอวยังไม่หายตกใจ เขายังอกสั่นขวัญหายอยู่ “ฟัค ฉันเดินทางไปทั่วทั้งทิศเหนือทิศใต้ ทั้งจับวาฬในมหาสมุทรแปซิฟิก จับโจรที่ทารุณกรรมฉลามก็เคยมาแล้ว แต่เกือบมาตายอยู่ในโรงม้าของแกเนี่ยนะ!”

เหมาเหว่ยหลงบอกให้เขาระวังหน่อย ทุกๆ ปีจะมีคนในแคนาดากว่าสองร้อยคนที่เจออุบัติเหตุจากการโดนกีบม้าถีบ

ฉินสือโอวปลอบมันครู่หนึ่งก่อนที่ม้าดำจะสงบลง เขาจึงสามารถทำความสะอาดมันต่อได้อย่างปลอดภัย

โรงม้าค่อนข้างแคบ ม้าดำที่ยืนอยู่ด้านในมีพื้นที่ให้ขยับตัวน้อยมาก ดังนั้นถึงแม้จะมีพวกมูลสัตว์อยู่มากแต่ก็ทำความสะอาดง่ายมาก ใช้เวลาไม่นานด้านในก็สะอาด ฉินสือโอวจึงสวมถุงมือเพื่อเริ่มทำความสะอาดขนม้าดำ

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการปรนนิบัติมัน แต่เจ้าม้าดำกลับไม่เต็มใจ คอยแต่จะเบี่ยงตัวหลบไปมา

เหมาเหว่ยหลงแนะนำให้ฉินสือโอวจับเชือกบังเหียนไว้ และพูดว่า “ทำแบบนี้มันก็จะยอมเชื่อฟังเอง”

ฉินสือโอวลองทำ และก็เป็นตามนั้นจริงๆ มันสงบลง เขาขัดไปพร้อมกับอุทานออกมา “เฮ้อ ทำไมมีแต่คนบอกว่าม้าเป็นสัตว์ฉลาดกันนะ? ฉันว่าเจ้านี่มันโง่กว่าฉงต้าของฉันอีก”

เหมาเหว่ยหลงจึงพูดอย่างสงสัย “นั่นสิ มันน่าจะเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์รึเปล่า? ม้าพวกนี้จริงๆ อาจจะไม่ได้ไม่ฉลาด แต่ไอคิวของหมาอเมริกันบูลลี่ของบ้านฉันก็ปกตินะ แต่พวกมันดูฉลาดกว่าม้าพวกนี้เยอะเลยล่ะ”

ฉินสือโอวอยากจะบอกจริงๆ ว่าที่แกพูดมันไร้สาระ อเมริกันบูลลี่ของแกน่ะ ฉันใช้พลังโพไซดอน ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องฉลาด

วินนี่ที่ผ่านมาได้ยินทั้งสองคนบ่น ก็พูดขึ้น “พวกม้ามันก็ฉลาดนะ ไอคิวสูง สามารถเข้าใจสิ่งที่มนุษย์คิดผ่านการกระทำที่แสดงออกมา พวกคุณอย่ามาพูดว่าร้ายพวกมันนะ ไม่งั้นพวกมันจะไม่มีความจริงใจในการตามพวกคุณนะคะ”

ฉินสือโอวแบะปากและพูดขึ้น “ไม่เอาน่า ม้าตัวนี้สามารถเข้าใจความรู้สึกผมได้จริงเหรอ? ในขณะที่ผมกำลังเก็บอุจจาระให้มัน มันกลับยกกีบเท้าของมันมาเพื่อจะถีบผมเลยนะ!”

พูดเสร็จเขาก็มองเหมาเหว่ยหลงแล้วก็พูดต่อ “แกรู้มั้ย ฉันเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวครั้งหนึ่ง ที่บ้านฉันทั้งเสือ สิงโต หมี และก็หมาป่า เวลาพวกมันถ่ายหรือฉี่ มันก็ล้วนจัดการเก็บกวาดด้วยตัวของพวกมันเอง ฉันแทบไม่เคยจะต้องมาดูแลมันตั้งแต่เล็กจนโต แกบอกฉันสิ ว่าฉันยังต้องทำดีกับม้านี่ขนาดนั้นใช่ไหม?”

เหมาเหว่ยหลงพยักหน้าให้วินนี่เพื่อขอความช่วยเหลือ วินนี่จึงพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “สมน้ำหน้า ก็แล้วใครบอกคุณกันล่ะว่าให้ล้างขี้ม้าในตอนที่มันยังอยู่ด้วย พวกคุณก็ควรจะจูงมันออกไปด้านนอกก่อนสิคะ!”

“เอ้า โคโกโร่ เป็นความผิดของแกไม่ใช่เหรอ? ก็ฉันเรียนรู้จากแกมาตลอด เห็นแกตรงเข้าไปในโรงม้า ก็เลยคิดว่าคงจะทำแบบนั้นน่ะสิ” ฉินสือโอวบ่นรัวอย่างรวดเร็ว

เหมาเหว่ยหลงเหลือบมองเขาแล้วพูดขึ้น “แรงดึงดูดใจของการเก็บอุจจาระมันไม่พอรึไง? ม้าของฉันปกติพวกมันว่านอนสอนง่ายมาก พวกมันเคยได้รับการฝึกฝนและสามารถอยู่ร่วมกับเจ้าของได้ ไม่รู้นะว่าแกมีปัญหาอะไร ม้าตัวนี้มันถึงไม่ชอบแก”

วินนี่พูดต่อ “ง่ายมาก บนตัวของฉินมีกลิ่นของหมีสีน้ำตาลและหมาป่าอยู่ เป็นธรรมดาที่พวกม้าจะรู้สึกกลัว แล้วพวกหมีสีน้ำตาลกับหมาป่าเนี่ยชอบมาโจมตีม้าจากด้านหลัง พอฉินไปยืนด้านหลังมัน มันเลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ก็เลยเลือกทำตามสัญชาตญาณ”

ฉินสือโอวเข้าใจแจ่มแจ้งในทันที เหมาเหว่ยหลงยิ้มแบบมีเลศนัยและพูด “ฉินโซ่ว ม้าตัวนั้นเป็นแม่ม้า แกบอกว่ามันเห็นแกยืนอยู่ด้านหลังมัน มันก็คงจะนึกว่าแกจะทำอะไรกับมันแบบนั้นหรือเปล่า?”

“ไสหัวไปเลยไป!” ฉินสือโอวตะคอกด่า “ทำไมแกคิดสกปรกได้ขนาดนี้กันฮะ?”

วินนี่หัวเราะพลางส่ายหัวและพูด ‘ฉันจะไม่ยุ่งกับปัญหาของพวกคุณสองคนละกัน’ จากนั้นก็เดินเข้าไปในโรงม้าของม้าตัวเล็กอีกสองตัว

ในตอนค่ำ เหมาเหว่ยหลงขับรถพาฉินสือโอวไปยังฟาร์มเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งทางทิศตะวันตกของเมือง

ซึ่งทางเข้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์มีวัวและแกะที่ถูกถลกหนังแขวนไว้อยู่ สามีภรรยาคู่หนึ่งที่ดูท่าทางยุ่งๆ และที่ด้านข้างก็มีคนที่กำลังเลือกซื้ออยู่ ฉินสือโอวจึงเอ่ยถาม “เนื้อนี่ฆ่าสดขายสดเลยเหรอ? มีทุกวันไหม? นี่มันสดมากเลยนะเนี่ย”

เหมาเหว่ยหลงพยักหน้าและตอบ “สถานการณ์เศรษฐกิจของแคนาดาไม่ค่อยดีน่ะ เจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์จึงไม่สามารถขายสัตว์ที่พวกเขาเลี้ยงไว้ได้ในคราวเดียว ดังนั้นทุกๆ วันพวกเขาจึงต้องฆ่าพวกมันด้วยตัวเองและนำมาขายแทนซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาพอมีรายได้ไปใช้จ่ายในครอบครัว”

เมืองที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้แต่ทุกคนล้วนรู้จักกันดี พอรถของเหมาเหว่ยหลงขับเข้าไป ชายผิวขาววัยกลางคนที่เป็นสามีก็ยิ้มและโบกมือให้ ก่อนเอ่ยถาม “คุณลูกค้า ผมเก็บกระดูกกับเนื้อสันในไว้ให้แล้ว คุณจะรับเลยหรือไม่ครับ?”

เหมาเหว่ยหลงลดกระจกรถลงและพูด “ไม่ล่ะ วันนี้ต้องการเยอะหน่อยคู่หูของผมมา เขาชอบกินเนื้อมาก ขอเป็นขาหลังแกะขาหนึ่ง แล้วก็เนื้อวัวกับเนื้อแพะสำหรับทำบาร์บีคิว เอาทั้งหมดสิบปอนด์”

ชายผิวขาวยิ้มและใช้ผ้าเช็ดมือ หยิบมีดขึ้นมาและวุ่นกับการหั่นเนื้อ ฉินสือโอวมองอย่างอยากรู้อยากเห็น ทันใดนั้นเสียงไซเรนก็ดังไปทั่วท้องถนน รถตำรวจสองคันที่ทาด้วยสีดำและขาว ขับมาเข้ามาอย่างรวดเร็ว

พอเห็นรถตำรวจ ชายผิวขาวที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ก็หุบยิ้มและทำสีหน้ากังวล เขารีบเก็บกวาดของที่อยู่เบื้องหน้า ในขณะเดียวกันก็ตะโกนบอกเหมาเหว่ยหลงว่า “ไว้เดี๋ยวผมมาเป็นเจ้ามือให้ทีหลังนะ!”

รถตำรวจวิ่งมาด้วยความเร็ว และมาหยุดจอดขวางทั้งด้านหน้าและด้านหลังของร้านขายเนื้อ ตำรวจราวๆ เจ็ดแปดนายลงมาจากรถ ด้านหลังชุดของพวกเขามีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า ‘ไออาร์เอส’ ซึ่งชัดเจนเลยว่าเป็นคนของกรมสรรพากรของแคนาดา

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท