ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1297 งานพึ่งทักษะ

บทที่ 1297 งานพึ่งทักษะ

เมื่อรู้ว่าหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสมาถึงแล้ว บัตเลอร์ก็ขับเรือยอชต์ลำเล็กกลับมาอย่างดีอกดีใจ หลังจากกระโดดขึ้นมาบนท่าเรือแล้วเขาก็เริ่มร้องตะโกนออกมาว่า “ฉิน ฉิน หอยเม่นของฉันอยู่ที่ไหน?”

ฉินสือโอวขยับมุมปากไปมา พาเขาขึ้นไปบนเรือบรรทุกสินค้า ให้เขาไปตรวจดูลูกบอลหนามกลมเล็กเหล่านี้ที่อยู่ในกล่องเพาะพันธุ์

บัตเลอร์ใช้คีมหนีบหอยเม่นตัวหนึ่งขึ้นมาดู สายตาแน่นิ่ง ราวกับประติมากรที่กำลังชื่นชมหินอ่อนชั้นดีอยู่อย่างไรอย่างนั้น

หลังจากดูไปสักพักแล้ว ลุงหนวดก็พูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า “โอ้พระเจ้า นี่ก็คือหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสเหรอ? ที่คนจีนกับคนญี่ปุ่นชอบกินก็คือเจ้าตัวนี้นี่เองเหรอ? มองไปแล้วพวกมันนั้นช่างน่ารักน่าชังเสียจริงเลย”

มุมปากฉินสือโอวกระตุกขึ้นมาถี่ๆ บิลดึงเขาไปแล้วพูดกับเขาเสียงเบาว่า “นี่ก็คือคนที่คุณบอกว่าจะเป็นคนตรวจเช็กหอยเม่นที่เก่งกาจคนนั้นเหรอครับ? แหม จะพูดอย่างไรดี ดูจากภายนอกแล้วดูไม่ออกเลยนะครับ”

เมื่อเจอเข้ากับสายตาอำมหิตของฉินสือโอวแล้ว บัตเลอร์ก็หัวเราะฮ่าออกมา เขาตบไปที่บ่าของท่านชายฉินแล้วพูดว่า “โอเคๆ ใจเย็นๆ เพื่อน ฉันล้อเล่นเฉยๆ เท่านั้นแหละ ต้องรู้นะว่าตอนฉันอายุสิบสี่ก็ได้ออกไปยังทะเลทางตอนเหนือของน่านน้ำจีนเพื่อจับหอยเม่นมาแล้ว”

บัตเลอร์ตรวจเช็กกล่องเพาะเลี้ยงอย่างละเอียดถี่ถ้วนพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหาอะไร นี่เป็นหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสจริงๆ แถมมีชีวิตชีวามากด้วย ทำได้ดีมากเพื่อน ในปัจจุบันของดีแบบนี้หาเจอได้ยากมากเลย”

เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว ใบหน้าของบิลก็เผยสีหน้าได้ใจออกมา แล้วพูดว่า “ก็ถือว่าไม่เลวครับ ผมเองก็ต้องพึ่งเส้นสายนิดหน่อยถึงจะหามาได้เหมือนกัน”

บัตเลอร์จับมือกับบิลแล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “คุณได้รู้จักกับเพื่อนที่มีความสามารถคนหนึ่งแล้ว ตอนนี้ตลาดหอยเม่นวุ่นวายมาก ไม่กี่วันก่อนที่ญี่ปุ่นผมได้ยินมาว่าฟาร์มเพาะพันธุ์ที่สิงคโปร์ตอนนี้ชอบเอาเม่นมุราซากิไปหลอกขายว่าเป็นหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัส ทำให้พ่อค้าอาหารทะเลในญี่ปุ่นเสียหายกันหลายคนเลย”

หอยเม่นคือหนึ่งในอาหารรสเลิศในตำนานของประเทศในทวีปเอเชียตะวันออก ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอัญมณีทั้งแปด ส่วนของเจ้าตัวนี้ที่สามารถกินได้ก็คือไข่หอยเม่น อุดมไปด้วยสารอาหาร รสชาติอร่อย เป็นประโยชน์ต่อการบำรุงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายมาก

ส่วนอาหารที่นำไข่หอยเม่นไปเป็นส่วนประกอบหลักในการแปรรูปอย่างเช่นผงหอยเม่น หอยเม่นหมักน้ำแอลกอฮอล์ หอยเม่นแช่แข็ง หอยเม่นนึ่งหรือซอสหอยเม่นนั้นก็ยิ่งได้รับความนิยมจากคนระดับที่มีรายได้สูงมากด้วย

เนื่องด้วยอิทธิพลของประเทศในทวีปเอเชียตะวันออกกับโลกมีมากขึ้น และเนื่องด้วยผู้คนเชื้อสายจีน เชื้อสายญี่ปุ่นและเชื้อสายเกาหลีได้กระจายไปอยู่ทั่วทุกมุมโลก ทำให้ไข่หอยเม่นค่อยๆ เข้าไปสู่ตลาดนานาชาติ

ในปัจจุบันไข่หอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสที่เมืองแถบตะวันออกเฉียงเหนือของจีนผลิตออกมาก็คือผลิตภัณฑ์เม่นทะเลที่ดีที่สุดในโลก ได้รับความนิยมในทวีปเอมริกามากเช่นเดียวกัน ถึงขั้นว่าไม่พอกับปริมาณความต้องการของตลาด งานอภิเษกสมรสของเจ้าชายวิลเลี่ยมที่เพิ่งจัดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ในงานเลี้ยงก็มีหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสด้วยเช่นกัน

หอยเม่นมุราซากิที่บัตเลอร์พูดถึงมีรูปร่างภายนอกที่คล้ายกับหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัส ภายนอกเป็นสีม่วงดำเหมือนกัน ดังนั้นจึงมีพ่อค้าบางคนที่มักจะเอามันมาหลอกขายเป็นหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัส

ความจริงแล้วหอยมุราซากิก็เป็นของล้ำค่าเช่นกัน แต่ว่าก็ยังเทียบกับหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสไม่ได้ หอยมุราซากิเป็นสัตว์ที่โตในน่านน้ำแถบร้อน แต่หอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน่านน้ำแถบหนาวเย็น โดยปกติแล้วสำหรับสัตว์พันธุ์เดียวกัน สัตว์ที่เติบโตในน่านน้ำหนาวเย็นจะมีราคาสูงกว่าที่เติบโตมาจากน่านน้ำเขตร้อน

หอยเม่นที่บิลส่งมาพวกนี้ก็คือลูกหอยเม่น ชื่อทางวิทยาศาสตร์คืออนุบาลเม่น ในช่วงนี้พวกมันจะพิถีพิถันในคุณภาพน้ำมาก แน่นอนว่าคุณภาพน้ำของฟาร์มปลาต้าฉินแทบจะเป็นหนึ่งในอเมริกาเหนือแล้ว จึงเหมาะสมเป็นที่สุด

การเพาะเลี้ยงหอยทะเลจะลำบากกว่าการเพาะเลี้ยงกุ้งปูมาก เพราะจำเป็นจะต้องนำพวกมันไปวางไว้บนแผ่นเพาะพันธุ์ก่อน ไม่สามารถโยนพวกมันลงไปในทะเลแล้วไม่สนใจเลยได้ หากว่าเห็นแก่ความสะดวกสบายเลือกใช้วิธีเลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติแล้วล่ะก็ ผ่านไปไม่กี่วันก็คงเห็นหอยเม่นที่โยนลงไปลอยขึ้นมาทั้งหมด ซึ่งแน่นอนว่าพวกมันคงตายไปแล้ว

การที่บิลสามารถร่วมงานกับฉินสือโอวได้ดีมาตลอด ก็เพราะว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ ทำงานดี การมาในครั้งนี้ของเขาก็ได้เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการเพาะเลี้ยงมาครบหมดแล้ว ฉินสือโอวเพียงแค่นำมาใช้ก็ได้แล้ว

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการเพาะเลี้ยงก็คือแผ่นเพาะพันธุ์กับโครง แผ่นเพาะพันธุ์ใช้สำหรับเก็บอนุบาลเม่นที่กลายพันธุ์ แถมยังสามารถใช้เป็นที่เลี้ยงดูอนุบาลเม่นกับให้อาหารจำพวกไดอะตอมให้กับอนุบาลเม่นที่กลายพันธุ์ได้ด้วย ส่วนโครงหลักๆ ก็ใช้เพื่อจัดเก็บแผ่นเพาะพันธุ์นั่นเอง เพื่อให้ง่ายต่อการเลี้ยงดูมากขึ้น

ที่จริงแล้ว แผ่นเพาะพันธุ์ก็คือแผ่นลอนคลื่นที่ทำจากพอลิไวนิลคลอไรด์ที่ปลอดสารพิษนั่นเอง มีความยาวครึ่งเมตร ความกว้างสี่สิบเซนติเมตร หนาครึ่งมิลลิเมตร มีลอนคลื่นบนแผ่น ความสูงของลอนคลื่นคือ 1.5 มิลลิเมตรโดยประมาณ

โครงสำหรับยึดแผ่นเพาะเลี้ยงมีทั้งแบบทรงตะกร้าและแบบพับได้ โครงแต่ละอันสามารถบรรจุแผ่นเพาะพันธุ์ได้ 20 แผ่น

โครงที่บิลลี่นำมาด้วยเป็นแบบพับได้ เขาให้คนงานทำการเปิดออกให้ดูอันหนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณดูสิ ไม่ว่าจะวางแบบแนวนอนหรือแนวตั้ง หากใช้โครงอันนี้แล้ว แผ่นเพาะพันธุ์ก็จะไม่หลุดออกไปได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน อีกอย่างโครงแบบนี้มีพื้นที่มาก ทำให้แผ่นเพาะพันธุ์มีพื้นที่ให้เว้นระยะห่างเยอะ และไม่ทับซ้อนกันได้ง่าย เหมาะมากสำหรับการใช้กับลูกหอยเม่น”

เมื่อตรวจดูทั้งหมดว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็ถึงเวลาทำการเพาะพันธุ์แล้ว

ฟาร์มปลาทั่วไปจะทำการขุดสระเพาะพันธุ์ก่อน แต่ว่าที่ฟาร์มปลาต้าฉินมีแบบพร้อมใช้เลย นั่นก็คือสระเพาะพันธุ์แบบต่อสำเร็จรูป ทันสมัยกว่า และมีพื้นที่มากกว่าด้วย

ก่อนหน้านี้ในสระเพาะพันธุ์มีการเลี้ยงกุ้งไว้ ฉินสือโอวให้พวกชาวประมงเปิดจุกปิดน้ำออกเพื่อปล่อยกุ้งลงไปในฟาร์มปลา อย่างไรเสียเขาก็ได้ถ่ายพลังโพไซดอนให้กุ้งไปพอสมควรแล้ว ปลาตัวเมียที่สามารถวางไข่ได้ก็วางไข่แล้ว การปล่อยไปอยู่ในทะเลตอนนี้จึงไม่มีปัญหา

หลังจากจัดการสระเพาะพันธุ์เสร็จแล้ว บิลก็สั่งการให้คนงานและชาวประมงนำโครงไปวางไว้ข้างในทีละอัน จากนั้นค่อยวางแผ่นเพาะพันธุ์ไว้ข้างบน สุดท้ายจึงจะนำอนุบาลเม่นไปวางไว้

แผ่นเพาะพันธุ์หนึ่งแผ่นสามารถเลี้ยงอนุบาลเม่นได้ประมาณสี่สิบตัว ตอนนี้พวกมันยังตัวเล็ก อีกหน่อยพอโตแล้วยังต้องมีการขยายพันธุ์อีก ทำให้สามารถเพาะได้มากกว่านี้อีก

หลังจากปล่อยพวกหอยเม่นไปในสระเพาะพันธุ์แล้ว บิลก็พูดกับฉินสือโอวว่า “อนุบาลเม่นค่อนข้างพิถีพิถันเรื่องอุณหภูมิน้ำด้วยนะครับ แต่ว่าฤดูร้อนไม่เป็นไร คุณแค่ระวังเรื่องคุณภาพน้ำก็พอแล้ว”

ฉินสือโอวเปิดดูคู่มือการเพาะเลี้ยง แล้วพูดว่า “ทุกวันต้องทำการเปลี่ยนน้ำ 2 ครั้ง น้ำที่เปลี่ยนในแต่ละวันก็ต้องเท่ากันด้วยใช่ไหม? ไม่มีปัญหา ปริมาณออกซิเจนก็ไม่มีปัญหา เครื่องผลิตออกซิเจนของผมเป็นรุ่นใหม่ทั้งนั้น”

บิลพูด “ไม่เพียงแต่ต้องเปลี่ยนน้ำเท่านั้น ปริมาณการกินอาหารของอนุบาลเม่นเยอะมาก ปริมาณการถ่ายอุจจาระก็เยอะมากเช่นกัน ดังนั้นทุกๆ 10 วันจะต้องทำการล้างสระ ทำความสะอาดเศษซากของอาหาร อุจจาระ และซากของตัวที่ตายด้วย”

อนุบาลเม่นจะเกาะอยู่บนแผ่นเพาะเลี้ยง อาหารที่พวกมันกินก็คือไดอะตอมที่ปูไว้บนแผ่นเพาะเลี้ยง เจ้าพวกนี้กินเก่งมาก เพราะว่าการเจริญเติบโตของพวกมันต้องเผชิญกับการกลายพันธุ์หนึ่งครั้ง ดังนั้นจึงทำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอ

ในกระบวนการปกติแล้ว ก่อนที่จะนำอนุบาลเม่นไปวางบนแผ่นเพาะพันธุ์ จะต้องทำการปูเมล็ดพันธุ์ไดอะตอมก่อน จากนั้นในระหว่างเพาะเลี้ยง ค่อยเพิ่มพวกเกลือเสริมอาหาร เพื่อเป็นการเพาะพันธุ์หอยเม่นโดยผ่านทางการเพาะพันธุ์ไดอะตอม

ฟาร์มปลาต้าฉินไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ การเพาะพันธุ์ไดอะตอมคืองานที่เสียเวลามาก ฉินสือโอวแค่วางไดอะตอมบนแผ่นเพาะพันธุ์ก็พอ เพราะฟาร์มปลาของเขาขึ้นชื่อเรื่องการผลิตสาหร่ายชั้นดีอยู่แล้ว ดังนั้นสามารถทำการเติบโตด้วยตัวเองได้

บิลเป็นคนค่อนข้างรอบคอบ จึงพูดว่า “อย่างไรเสียผมก็แนะนำให้ทำการเพาะพันธุ์ไดอะตอมบนแผ่นเพาะพันธุ์จะดีกว่านะครับ คุณเองก็เห็น แผ่นเพาะพันธุ์มีสองชั้น ชั้นล่างสามารถใช้มาเพาะพันธุ์สาหร่ายได้”

ฉินสือโอวปัดมือไปมา แล้วพูดว่า “เรื่องนี้ผมเอาอยู่แน่นอน คุณวางใจเถอะ ไม่มีปัญหาหรอก”

เขาให้บูลที่อยู่ต่อพาคนนำแหเพาะพันธุ์ที่บรรจุไดอะตอมมา บดให้ละเบียดแล้วก็ใส่ลงไปในสระเพาะพันธุ์แล้วพูดว่า “ดูสิ พวกมันไม่ต้องรอ สามารถกินได้ทันทีเลย ส่วนที่กินเหลือเหรอ? ก็คงไม่เหลือสิ่งปนเปื้อนไว้หรอก ผมสามารถเปลี่ยนน้ำทุกวันได้”

……………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท