ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1299 เริ่มการถ่ายทำโฆษณา

บทที่ 1299 เริ่มการถ่ายทำโฆษณา

ตอนที่ได้รับโทรศัพท์เชิญให้ไปร่วมงานนี้ ฉินสือโอวนึกว่าพวกเขาโทรผิด หรือไม่ก็มีใครมาแกล้งเขาแน่เลย

“คุณฉิน งานแข่งวิ่งเปลือยอ่าวเรืออับปางที่จัดขึ้นปีละครั้งจะทำการจัดงานขึ้นที่อ่าวเรืออับปางวันหยุดสุดสัปดาห์แรกในเดือนหน้า หลังจากการคัดสรรแล้ว ทางเราอยากจะเชิญคุณเข้าร่วมด้วย ไม่ทราบว่าคุณสนใจไหมครับ”

ตอนที่ได้ฟังคำพูดนี้แล้ว ท่านชายฉินมีท่าทีอึ้งไปเลยทีเดียว อะไรนะ? วิ่งเปลือย? ทำไมเรื่องนี้ถึงมาเกี่ยวข้องกับเขาได้ล่ะ?

เขานึกว่ามีคนแกล้งเขา จึงตัดสายไปในทันที แต่ตอนทานอาหารค่ำที่เขายกเรื่องนี้มาพูดขำๆ นั้น ผู้คนบนโต๊ะต่างพากันมองไปที่เขาด้วยสายตาประหลาดใจ

“ทำไมเหรอ มีอะไรผิดปกติหรือไง?” ฉินสือโอวถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

วินนี่กลั้นหัวเราะไว้แล้วพูดว่า “ไม่ค่ะ ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ แต่ฉันคิดว่าเรื่องนั้นไม่ได้มีใครแกล้งคุณหรอก พวกเขาพูดจริงค่ะ การแข่งวิ่งเปลือยที่อ่าวเรืออับปางเป็นหนึ่งในการวิ่งการกุศลที่มีอิทธิพลมากที่สุดของเมืองแวนคูเวอร์ เรียกได้ว่ามีอิทธิพลมากเทียบเท่ากับงานวิ่งการกุศลในอ่าวเหิงตู้ที่คุณเคยเข้าร่วมเลย ที่พวกเขาโทรมาหาคุณ น่าจะเพราะอยากให้คุณไปวิ่งนำนะคะ”

ฉินสือโอวเกาหัว แล้วถามว่า “มีคนไปเข้าร่วมการแข่งแบบนี้จริงเหรอ?”

“คนเข้าร่วมมีไม่น้อยเลยค่ะ ครั้งนี้น่าจะเป็นการจัดงานครั้งที่ 19 แล้วมั้งคะ? ปีที่แล้วก็มีคนเข้าร่วมอย่างน้อยหนึ่งร้อยคนแล้ว โด่งดังมากเลย” วินนี่อธิบายให้เขาฟัง

ฉินสือโอวกินข้าวไปพลางหยิบมือถือขึ้นมาค้นหาข้อมูลไปพลาง ข่าวเกี่ยวกับการแข่งขันนี้มีเยอะมาก เห็นได้ชัดว่ามีอิทธิพลมากจริงๆ

ในเมื่อไม่ได้เป็นแก๊งต้มตุ๋นหรือพวกโทรมาก่อกวน ฉินสือโอวจึงโทรกลับไปตามมารยาท พร้อมกับถามให้กระจ่างว่าทำไมกิจกรรมนี้ถึงติดต่อเขามาด้วย? มันแปลกมากจริงๆ

คนที่โทรหาเขาเมื่อตอนกลางวันคือผู้จัดงานหลัก จูดี้ วิลเลียมส์ พอได้รับโทรศัพท์จากฉินสือโอวแล้วเขาก็ดีใจมาก ถึงขั้นนึกว่าฉินสือโอวยินดีที่จะเข้าร่วมเสียอีก แต่ท่านชายฉินก็แค่อวยพรให้กับการแข่งขันของพวกเขา แล้วบอกว่าอาทิตย์หน้าเขางานยุ่งมาก และปฏิเสธคำเชิญไปอย่างสุภาพ

ในตอนท้ายฉินสือโอวก็ได้ยกสิ่งที่คาใจขึ้นมาถาม เขาอยากรู้ว่าทำไมงานนี้จึงคิดจะเชิญเขาไปร่วมงานด้วย

วิลเลียมส์อธิบายว่า เหตุผลที่เชิญเขานั้นเกี่ยวเนื่องกับวัตถุประสงค์ของการแข่งขันนี้ การจัดกิจกรรมขึ้นในครั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรณรงค์วิธีการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ให้ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติอย่างเป็นมิตร หรือมีความหมายว่าให้ออกกำลังโดยร่างกายที่ถือกำเนิดมานั่นเอง

และเนื่องจากท่านชายฉินคือคนที่มีฟาร์มปลาที่สวยและใหญ่ที่สุดในแคนาดาตะวันออก บวกกับที่เขาจัดตั้งพื้นที่อาศัยเพื่ออนุรักษ์เต่ามะเฟือง ทำให้ถูกมองว่าลักษณะการใช้ชีวิตนี้เข้ากับวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ ดังนั้นทางทีมผู้จัดจึงได้เชิญเขาไปร่วมงานด้วย

และเป็นอย่างที่วินนี่คาดเดาไว้ ทีมผู้จัดอยากเชิญให้เขาไปวิ่งนำ ระยะทางในการแข่งขันคือ 5 กิโลเมตร ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจะถูกแบ่งโดยอายุออกเป็น 8 กลุ่ม ก็คือกลุ่มอายุต่ำกว่า 12 ปี กลุ่มอายุ 13 ถึง 16 ปี กลุ่มอายุ 17 ถึง 25 ปี กลุ่มอายุ 26 ถึง 35 ปี กลุ่มอายุ 36 ถึง 45 ปี กลุ่มอายุ 46 ถึง 55 ปี กลุ่มอายุ 56 ถึง 65 ปี และกลุ่มอายุมากกว่า 66 ปีขึ้นไป

ในทุกกลุ่มเล็กๆ นี้จะมีคนนำวิ่งหนึ่งคน คนนำวิ่งสามารถทำตามกติกาของงานคือวิ่งเปลือย หรือจะใส่เป็นเสื้อกีฬาธรรมดาก็ได้

แต่ฉินสือโอวก็ยังคงปฏิเสธไป แค่คิดภาพว่าเขาวิ่งอยู่ข้างหน้า ส่วนข้างหลังก็คือหนุ่มๆ ที่เปลือยวิ่งตามอยู่ แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่ได้โกหก ช่วงนี้เขามีงานไม่น้อยเลยจริงๆ หลังจากที่บัตเลอร์นำปลาโอแถบแห้งกับอาหารทะเลจากไปแล้ว ก็มีคนจากบริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงแอนนาแมร์มาหา อยากให้หู่จือกับเป้าจือไปถ่ายภาพโฆษณา เพื่อเป็นการวอร์มอัพ เสร็จแล้วก็จะเริ่มถ่ายโฆษณาทันที

ผู้นำทีมที่ทางบริษัทแอนนาแมร์ส่งมาก็ยังคงเป็นเอริก้า มัวริส ดูท่าว่าพวกเขาจะให้ความสำคัญกับหู่จือและเป้าจือจริงๆ เพราะหลังจากนั้นขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการถ่ายทำโฆษณา ก็จะให้ผู้จัดการทั่วไปของสาขาในแคนาดาเอริก้าเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด

ทีมงานถ่ายทำนำอุปกรณ์มาให้หู่จือกับเป้าจือมากมาย ผู้ชายที่มัดผมหางม้าและเจาะหูไว้หลายๆ รูคนหนึ่งมาหาฉินสือโอว แล้วถามว่า “ไม่ทราบว่า คุณช่วยทำให้สุนัขของคุณร่วมมือโดยให้พวกมันสวมเสื้อที่เตรียมไว้ให้ได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวดูอุปกรณ์พวกนี้ทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่มีปัญหา ความจริงแล้วนะ เพื่อน ไม่ต้องให้ผมช่วยหรอก พวกคุณไปแต่งตัวให้พวกมันได้เลย ผมกล้ารับรองว่าพวกมันต้องให้ความร่วมมือแน่นอน”

หู่จือกับเป้าจือตอนนี้กลายเป็นแลบราดอร์เต็มตัวแล้ว ร่างกายแข็งแรงกำยำ ไม่เหมือนกับแลบราดอร์ทั่วไปที่ร่างกายค่อนข้างผอมเล็ก กล้ามเนื้อบนตัวพวกมันแน่นมาก ขาทั้งสี่ก็ใหญ่กว่าแลบราดอร์ทั่วไปถึงหนึ่งเท่า ไม่แปลกที่คนไม่คุ้นเคยจะรู้สึกกลัวพวกมัน

ทีมงานถ่ายทำที่บริษัทแอนนาแมร์จ้างมามีช่างแต่งหน้าสองคน พวกเขามาขอให้มัดหู่จือกับเป้าจือไว้ พร้อมกับใส่ที่ครอบปากให้พวกมัน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันกัดคน

ฉินสือโอวไม่อยากทำแบบนี้ จึงพูดว่า “ผมบอกไปแล้วนะเพื่อน ผมกล้ารับประกัน สุนัขของผมไม่ทำอะไรพวกคุณหรอก พวกมันอยู่นิ่งๆ ให้พวกคุณแต่งตัวให้แน่นอน โอเค?”

ชายมัดผมหางม้าหรือก็คือผู้กำกับยักไหล่ แล้วพูดว่า “ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่เชื่อคุณนะครับ คุณผู้ชาย แต่เรื่องแบบนี้ใครจะรู้ว่าจะเกิดเหตุสุดวิสัยอะไรหรือเปล่า? ดังนั้นพวกเรามาร่วมมือกันหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวไปหาเอริก้า แล้วพูดว่า “คนของคุณจะมัดหู่จือกับเป้าจือไว้เหรอครับ? ขอโทษนะครับ จุดนี้ผมทำให้ไม่ได้ พูดตามตรงนะครับ ตั้งแต่ผมเลี้ยงเจ้าเด็กสองตัวนี้มา ยังไม่เคยมัดพวกมันมาก่อนเลย แม้ว่าจะไปขึ้นศาลก็เถอะ ก็ไม่เคยมัดพวกมันเลยสักครั้ง”

จุดนี้เขาไม่กลัว เพราะตอนที่เซ็นสัญญากันได้มีการเพิ่มสัญญาไปอีกหนึ่งข้อ ก็คือฉินสือโอวมีสิทธิ์ชี้ขาดในการถ่ายทำโฆษณา หากเขารู้สึกว่าการถ่ายทำนี้เป็นการทำร้ายหู่จือกับเป้าจือ อย่างนั้นก็สามารถไม่ถ่ายทำได้

บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาในทันที ทีมงานไม่ยอมเข้าใกล้หู่จือกับเป้าจือหากไม่มัดพวกมันไว้ หากถูกกัดขึ้นมาจะทำอย่างไร? ปัจจุบันโรคพิษสุนัขบ้ายังคงเป็นเรื่องรุนแรงอยู่ อัตราการเสียชีวิตสูงกว่าโรคเอดส์ด้วยซ้ำ

เอริก้าจึงทำได้แต่ไกล่เกลี่ยให้ เธอนำข่าวที่ลงเรื่องของหู่จือกับเป้าจือให้ทีมถ่ายทำดู ในรูปพวกนี้หู่จือกับเป้าจือก็ไม่เคยถูกมัดเลยจริงๆ

เมื่อเป็นแบบนี้ทีมถ่ายทำจึงจำใจต้องตกลง ช่างแต่งหน้าสองคนเข้าไปหาหู่จือที่ดูสงบก่อน หู่จือนั่งหาวอยู่บนพื้นหญ้าอย่างเบื่อหน่าย แต่ทว่าแค่มันเพิ่งจะอ้าปากเท่านั้น ช่างแต่งหน้าสองคนก็รีบโยนอุปกรณ์ทิ้งแล้วหันหลังวิ่งไปเลยทันที

หู่จือมองไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาดูถูก แค่หาวเท่านั้นเอง ไม่ได้จะกินคนสักหน่อย เจ้าพวกปอดแหกจะกลัวอะไรนักหนา?

ผู้กำกับเองก็มองทั้งสองคนด้วยสายตาดูถูกเช่นกัน ก็เขาเป็นคนยืนพูดนี่จึงไม่ปวดเอว (เปรียบกับคนที่ไม่ลงมือทำเองจึงพูดได้) จากมุมมองของเขาแล้ว หู่จือไม่ได้มีทีท่าว่าจะจู่โจมหรือต่อต้านเลย ก็แค่หาวเท่านั้นเอง

ช่างแต่งหน้าสองคนเข้าไปใกล้อีกครั้ง คนหนึ่งลองเชิงโดยการผูกเนกไทให้หู่จือ หู่จือคุ้นเคยกับของแบบนี้อยู่แล้ว เพราะวินนี่เคยแต่งตัวให้พวกมันแบบนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว

ตอนที่ช่างแต่งหน้าหยิบเนกไทขึ้นมา มันก็ยกหัวชูคอให้เขาผูกให้ ส่วนอีกคนที่หยิบแว่นกันแดดสำหรับสุนัขมาสวมให้มัน มันก็ไม่มีการต่อต้านใดๆ เช่นกัน

ช่างแต่งหน้าทั้งสองคนจึงวางใจได้ในที่สุด และเริ่มทำการแต่งตัวให้มันเต็มรูปแบบ รวมทั้งการโปะแป้งกลิตเตอร์ให้มันด้วย การทำแบบนี้จะทำให้ขนของสุนัขดูสวยขึ้นกว่าเดิม

ผู้กำกับผมหางม้าพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า “สุนัขสองตัวนี้เชื่องจริงๆ เหมือนกับที่ในข่าวพูดไว้เลย พวกมันฉลาดมากอย่างคาดไม่ถึง หรือว่าในยุคสมัยหน้าผู้นำของโลกจะเป็นคนจากดาวสุนัข?”

ฉินสือโอวหัวเราะ หู่จือกับเป้าจือไม่เชื่องสิแปลก พวกมันสองตัวชอบอวดตัวเป็นที่สุด มีคนมาแต่งหน้าแต่งตัวให้พวกมันแบบนี้ พวกมันจะไม่ร่วมมือได้อย่างไร?

…………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท