ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1301 เหล่านักล่ารางวัล

บทที่ 1301 เหล่านักล่ารางวัล

เอริก้าแกะถุงอาหารสุนัขอีกสองถุงป้อนให้ฉงต้า มันกินอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมส่งเสียงร้องอาวๆ เพื่อเรียกเพื่อนสนิทต้าป๋ายมากินข้าวด้วยกัน ต้าป๋ายค่อยๆ เดินมาอย่างช้าๆ กินไปสองคำก็หยุดกิน แล้วมองดูฉงต้ากินแทน

ช่างภาพถ่ายภาพไว้ภาพหนึ่ง ขมวดคิ้วอย่างสงสัยแล้วพูดว่า “สายตาของกระรอกตัวนี้แปลกจัง”

ฉินสือโอวลูบหัวเบาๆ เขารู้ว่านั่นเป็นสายตาอะไร สายตาของต้าป๋ายคือสายตาแห่งความเมตตานั่นเอง

ท่าทีที่ฉงต้ามีต่ออาหารสุนัขทำให้พวกของเอริก้าดีใจเป็นอย่างมาก น่าเสียดายดีใจไปก็ไม่มีประโยชน์ที่จะถ่ายโฆษณาคือหู่จือกับเป้าจือ ไม่ใช่ฉงต้า แต่หู่จือกับเป้าจือกลับไม่มีความสนใจในอาหารสุนัขเลยสักนิด

ผู้กำกับผมหางม้าเป็นคนที่มีประสบการณ์มากมาย เขาเริ่มสั่งการให้เอริก้าไปเตรียมอาหารสุนัขของยี่ห้ออื่นมาก่อน เพราะว่ามีโฆษณาอันหนึ่งจะถ่ายแบบการเปรียบเทียบ ซึ่งเป็นการถ่ายแบบดั้งเดิม ก็คือถ่ายให้เห็นว่าหู่จือกับเป้าจือไม่ชอบกินอาหารของยี่ห้ออื่น ชอบกินแต่ของยี่ห้อแอนนาแมร์เท่านั้น

จุดนี้ง่าย แล้วก็มีคนเอาอาหารสุนัขไปวางอยู่ตรงหน้าหู่จือกับเป้าจืออีก หู่จือก็เตะไปข้างหน้าต่อ เป็นการเตะที่ท่าทางเหมือนกับอาวุธนิวเคลียร์แชวแชนกอเตะทำประตู พวกมันเตะจนอาหารสุนัขลอยโด่งไปไกล

แล้วต่อไปจะทำอย่างไรต่อล่ะ? เอริก้ากับผู้กำกับผมหางม้าต่างจ้องไปที่ฉินสือโอว

ฉินสือโอวจึงทำได้แต่ต้องไปปลอบหู่จือกับเป้าจือ ให้พวกมันยอมกินอาหารสุนัข

แลบราดอร์ดึงหน้าสุนัขลงไปยาวๆ พวกมันไม่ยอมกิน หลังจากถูกรบเร้าจนเบื่อแล้ว ก็หนีไปเลย สวมแว่นตาดำวิ่งไปกลิ้งไปมาบนสนามหญ้า

เอริก้าร้อนรนขึ้นมา ถามว่า “มีวิธีอื่นที่ทำให้พวกเขายอมกินอาหารสุนัขไหมคะ?”

ผู้ช่วยของเธอก็หมดหนทาง พูดว่า “แลบราดอร์ที่ไม่กินอาหารสุนัข ผมก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก อีกอย่างสุนัขที่ไม่กินอาหารสุนัขยังถือว่าเป็นสุนัขอยู่เหรอครับ?”

ฉินสือโอวปลอบพวกเขาว่า “ไม่เป็นไรครับ พวกคุณพักผ่อนก่อน เรื่องนี้เป็นหน้าที่ผมเอง พอถึงเวลากินข้าวแล้ว พวกมันไม่อยากกินก็ต้องกิน ไม่อย่างนั้นก็ให้พวกมันทนหิวไปเลย!”

พวกกอร์ดอน เชอร์ลี่ย์มองตากันทีหนึ่ง แล้วขยับเข้าไปซุบซิบข้างหูกันว่า “ทำไมฉินถึงใจร้ายกับหู่จือเป้าจือแบบนี้ล่ะ? ค่าพรีเซนเตอร์อ่ะนะ เป็นเพราะเรื่องเงินทั้งนั้น!” “เอ๋ ฉินที่เป็นคนดีขนาดนั้น ได้เปลี่ยนไปแล้วเหรอ!” “จะพ่อหรือจะแม่ก็สู้ดอลลาร์แคนาดาไม่ได้หรอกนะ”

เมื่อเป็นแบบนี้เวลาอาหารค่ำจึงกลายเป็นเวลาที่จะพลิกสถานการณ์ได้ หู่จือกับเป้าจือเห็นว่าไม่มีของให้พวกมันกิน ส่วนฉินสือโอวก็เทอาหารสุนัขของแอนนาแมร์ไว้ในถ้วยพวกมัน

มองดูหู่จือกับเป้าจือกินอาหารสุนัขชื่อดังสูตรพรีเมียมที่ตัวเองภูมิใจอย่างหมดอาลัยตายอยากแล้ว เอริก้าก็รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูกขึ้นมา

อาหารสุนัขของบริษัทตัวเองเป็นถึงยี่ห้อดังในหมู่ยี่ห้อดังเลยนะ และยังได้ตั้งเป้าหมายว่าสูตรพรีเมียมตัวนี้จะกลายเป็นตัวท็อปในตลาดของอาหารสุนัขอีกด้วย ทำไมถึงถูกสุนัขพวกนี้ไม่เหลียวแลได้ล่ะ? หรือว่าอาหารสุนัขของตัวเอง แย่กว่าอาหารของฟาร์มปลาขนาดนั้นเลยเหรอ?

เอริก้าคิดอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นก็ใช้มีดสำหรับตัดอาหารตัดเนื้อปลาทะเลตัวแบนมาชิ้นหนาๆ ชิ้นหนึ่งแล้วยัดเข้าปาก ดื่มไอซ์ไวน์ไปอีกอึกหนึ่ง จากนั้นก็ตามด้วยเนื้อกุ้งล็อบสเตอร์ชิ้นขาวเนียนชิ้นหนึ่ง อื้ม รสชาติอร่อยมาก…

ฉินสือโอวรู้สึกว่าหู่จือกับเป้าจือกินอาหารสุนัขสูตรนี้ก็ดีเหมือนกัน จากชื่อก็ดูออกแล้ว อาหารสุนัขจากทะเลน้ำลึกสูตรไร้ข้าวสาลี เป็นอาหารระดับพรีเมียมอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาไม่ค่อยมีความรู้เรื่องอาหารของสัตว์เลี้ยง แต่เอริก้าบอกว่าอาหารสุนัขของพวกเขาสูตรนี้มีแต่สารกันบูดธรรมชาติ เป็นอาหารออแกนิค ในสูตรนี้อุดมไปด้วยโอเมก้าสามแถมยังเคี้ยวอร่อย เป็นอาหารสุนัขระดับชั้นยอด

เมื่อเป็นแบบนี้ การให้หู่จือกับเป้าจือกินอาหารสุนัข ก็ไม่ถือว่าทำร้ายพวกมัน ฟังจากคำพูดที่เอริก้าพูดแล้ว ฉินสือโอวเองยังอยากกินเลย

การถ่ายทำดำเนินการไปสองวัน หลังจากหู่จือกับเป้าจือกินตอนกินอาหารค่ำแล้ว ตอนหลังจึงเริ่มถ่ายทำง่ายขึ้น ฉินสือโอวใช้แกงตุ๋นปลาลิ้นหมาที่มีพลังโพไซดอน อาหารสุนัขพวกนี้สามารถใส่น้ำแกงเข้าไปกินด้วยได้ การเติมน้ำแกงลงไปนิดหน่อยระหว่างการถ่ายทำ ทำให้หู่จือกับเป้าจือกินกันได้อย่างเอร็ดอร่อย

ส่วนอาหารสุนัขยี่ห้ออื่นเหรอ? ท่าทีของหู่จือกับเป้าจือยังคงเป็นการเตะโด่งออกไปเหมือนเดิม แถมยังมีการพัฒนาไปเป็นการเตะส่งให้กันด้วย สงสัยคงเอาความแค้นที่มีต่อแอนนาแมร์ไปลงกับอาหารสุนัขรากหญ้าพวกนี้แทนแน่เลย

ถ่ายคลิปสั้นๆ เสร็จ งานถ่ายทำก็ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว ผู้กำกับผมหางม้ามาจับมือกับฉินสือโอวเพื่อบอกลา บอกว่าเขาไม่เคยเจอสุนัขที่ทั้งเชื่องและฉลาดอย่างหู่จือกับเป้าจือมาก่อนเลย ตอนแรกยังวางแผนกันว่าจะต้องถ่ายหนึ่งอาทิตย์ แต่สุดท้ายถ่ายแค่สองวันก็เสร็จแล้ว ประสิทธิภาพแบบนี้ถือว่าสูงจนน่าตกใจเลย

ฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ อย่างหยิ่งทะนง ผู้กำกับผมหางม้าพูดต่อว่า หากว่าได้ถ่ายหนึ่งอาทิตย์จริงๆ พวกเขายังสามารถหาเงินได้เยอะขึ้นอีกครึ่งหนึ่ง แต่สุดท้ายกลับจบงานในสองวัน ทำให้ได้เงินน้อยเลย…

การถ่ายทำโฆษณาถ่ายทำกันที่ฟาร์มปลา หลังจากพวกของเอริก้ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวจึงไปเก็บกวาดเสียหน่อย กอร์ดอนรีบไปรั้งเขาไว้ แล้วพูดว่า “งานพวกนี้ให้ผมทำเถอะ ให้เท่าไรครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หนุ่มน้อย นายในตอนนี้มีความคิดที่อันตรายมากนะ ทำไมอะไรก็จะเอาแต่เงินล่ะ? แล้วความสัมพันธ์ล่ะ?”

กอร์ดอนคิดสักพักแล้วก็พยักหน้า แล้วพูดว่า “โอเค เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ลดให้คุณยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

ฉินสือโอวเห็นว่าพวกเด็กๆ เสพติดการทำงานหาเงินค่าขนมแล้ว จึงได้ทีเอางานที่คิดว่าจะทำเองให้พวกเขาทั้งหมด ทุกวันจะมีการจ่ายงาน ให้พวกเขามารับงานกันเอง พอถึงเวลาเขาจะไปตรวจงาน หากตรวจงานแล้วไม่มีปัญหาอะไรจึงจะจ่ายค่าแรงให้พวกเขา

หลังจากได้ยินข้อเสนอนี้แล้ว พวกเด็กๆ ก็พากันให้กำลังใจกันอย่างอบอุ่น ชาร์คน้อยพูดว่า “เท่ไปเลยครับ ฉิน จุดนี้มีส่วนคล้ายกับนักล่ารางวัลในช่วงจักรวรรดินิยมของตะวันตกเลยใช่ไหมครับ? ตอนนี้พวกเราก็คือนักล่ารางวัล”

“งั้นเหยื่อรายแรกของพวกเราคืออะไรครับ?” พวกเด็กๆ ถาม

ฉินสือโอวคิดสักพัก แล้วพูดว่า “งั้นไปเก็บกวาดที่ดินที่ปลูกฟักทองของพวกเราแล้วกัน? จะต้องทำการถอนหญ้า นี่คือภารกิจราคายี่สิบเหรียญ…”

“ผมไป!” กอร์ดอนรีบแย่งพูด

“แล้วยังต้อง เอ่อ พรวนดิน แบบนี้จะได้เป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้ดิน เพื่อเป็นการถ่ายเทออกซิเจน สามารถเร่งการเจริญเติบโตของฟักทองได้ นี่น่ะคือภารกิจยี่สิบห้าเหรียญ”

“ผมรับเอง!” ชาร์คน้อยพูดพลางตบอกตัวเอง

“จากนั้นก็ตามด้วยให้ปุ๋ย ใครจะให้ปุ๋ยล่ะ? นี่คือภารกิจสามสิบเหรียญ”

“เป็นหน้าที่ผมเอง” พาวลิสพูด

“หลังจากให้ปุ๋ยแล้วต้องรดน้ำด้วย แต่เรื่องนี้ฉันทำเองได้” ฉินสือโอวพูด มิเชลกับเชอร์ลี่ย์จ้องไปที่เขาอย่างคาดหวัง “แล้วพวกเราล่ะ?”

“ยังมีงานที่สำคัญกว่ามากอีก นั่นก็คือการตัดแต่งและตอนกิ่ง พวกเธอสองคนทำพวกนี้กัน นี่คืองานสำหรับแปดสิบเหรียญ พวกเธอสองคนแบ่งกันได้คนละสี่สิบเหรียญพอดี” ฉินสือโอวพูดเสร็จ มิเชลกับเชอร์ลี่ย์ก็ร้องเสียงดีใจ ปรบมือยินดีกัน

กอร์ดอนคิดทบทวนพักหนึ่ง สุดท้ายก็รู้สึกว่าไม่ถูก “พระเจ้า ฉิน ทำไมหลังๆ ค่าจ้างถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ละครับ? เงินที่ผมหาได้น้อยที่สุดเลย!”

ฉินสือโอวชูนิ้วชี้ขึ้นมาแล้วพูดว่า “นี่คือบทเรียนภาคฤดูร้อนบทแรกที่ฉันจะสอนให้พวกเธอ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ควรรีบร้อน ต้องใจเย็น เข้าใจไหม?”

กอร์ดอนถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างหมดหนทาง ทำได้แต่เพียงยอมรับความจริงนี้เท่านั้น

จ่ายงานเสร็จแล้ว ฉินสือโอวพาพวกเขาไปที่แปลงปลูกฟักทอง ต้นกล้าฟักทองที่ปลูกไว้โตแล้ว เถาวัลย์สีเขียวขจีเติบโตยั้วเยี้ยไปทั่วแปลงผัก ทั้งยังเต็มไปด้วยต้นหญ้าและวัชพืชด้วย

งานถอนหญ้าเป็นงานที่เหนื่อยที่สุด แต่ค่าแรงกลับถูกที่สุด กอร์ดอนไม่อยากทำ จึงอืดอาดอยู่ตรงนั้น

ฉินสือโอวชี้ไปที่เขาแล้วพูดว่า “เฮ้ เด็กน้อย รีบทำงาน ตอนนี้พวกเธอก็คือนักล่ารางวัลเข้าใจไหม? รับงานแล้วก็ไม่สามารถคืนได้ พวกเธอต้องมีจรรยาบรรณในอาชีพ ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาทำงานนี้!”

…………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท