ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1306 ลอยขึ้นไป

บทที่ 1306 ลอยขึ้นไป

การล่าแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือมาเป็นอาหารของคราเคน ทำให้ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของฉินสือโอวที่ว่าการปล่อยฉลามหางยาวไปเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ตอนแรกเขาคิดจะให้พวกชาวประมงมาลงมือจัดการพวกมันเพราะแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือส่งผลกระทบต่อการอยู่เป็นของฝูงปลาในฟาร์มปลา

แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า พวกชาวประมงไม่ต้องลงมือกันเองแล้ว เพราะคราเคนจะกินพวกมันเอง เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

การจับแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือเป็นงานที่เปลืองแรงอย่างมาก ตามปกติแล้วจะต้องให้บริษัทกู้เรือในมหาสมุทรมาจัดการ เพราะพวกมันตัวใหญ่ และมีน้ำหนักมาก จำเป็นต้องใช้เรือลำใหญ่ที่มีแรงม้ามากๆ จึงจะสามารถจับพวกมันขึ้นมาได้

ฉินสือโอวคิดว่าจะใช้งานเรือปริ้นเซสเมล่อน เพราะในบรรดาเรือหาปลาก็มีแต่เรือลำนี้นี่แหละที่มีแรงมากพอจะจับแมงกะพรุนขนสิงโตขึ้นมาได้

แต่ว่าตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว ด้วยกระเพาะของคราเคนแล้ว อย่างไรก็ต้องจัดการแมงกะพรุนขนสิงโตพวกนี้ได้หมดแน่นอน

ฉินสือโอวเรียกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา จากนั้นก็โล่งใจราวกับได้ยกภูเขาออกจากอกแล้ว

วินนี่กอดเขาไว้ แนบใบหน้าเรียวยาวไว้บนอกเขาแล้วพูดเสียงสะลึมสะลือว่า “มีอะไรเหรอคะ? รู้สึกว่าทุกครั้งที่คุณนอนอยู่บนเตียง อารมณ์ไม่ค่อยปกติเลย”

ฉินสือโอวยิ้มๆ ลูบเส้นผมที่นุ่มลื่นของเธอ แล้วพูดว่า “ผมชินกับการนอนอยู่บนเตียงแล้วใช้ความคิดน่ะ นอนเถอะที่รัก พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อยดีไหม ผมมีเซอร์ไพรส์เล็กๆ ให้คุณด้วย”

“คุณพูดแบบนี้แล้วจะให้คนอื่นนอนได้อย่างไรคะ? เซอร์ไพรส์อะไรคะ? บอกฉันมาเถอะ”

“บอกไปแล้วจะเซอร์ไพรส์เหรอ จะบอกคุณได้อย่างไร? นอนเถอะ”

“ไม่ได้ ฉันนอนไม่หลับแล้ว รีบพูดๆ เซอร์ไพรส์อะไรคะ? ถ้าไม่พูดคุณก็อย่าหวังว่าจะได้นอนเลย” วินนี่พูดจบ ก็ยิ้มแล้วยื่นมือไปลูบเขา

ฉินสือโอวตื่นตัวขึ้นมาทันที ความจริงเขาก็ไม่ค่อยง่วงอยู่แล้ว จึงลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “เอ้อ ไม่ง่วงแล้วใช่ไหม? อยากได้เซอร์ไพรส์ใช่ไหม? มา ผมจะทำให้คุณเซอร์ไพรส์เอง คุณอยากได้แบบลิงอุ้มแตงหรือว่าด็อกกี้ หรือว่าท่าที่รักจ๋า…”

เวลาตีสี่ ฉินสือโอวตื่นก่อนเวลา ปกติเขาจะตื่นมาตอนตีห้าจากนั้นก็ไปออกกำลังกายและทำอาหารเช้า

เขาลงจากเตียงเงียบๆ เปิดม่านดู ข้างนอกยังมืดอยู่เลย คงอีกประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าฟ้าจะสาง

ใส่เสื้อเสร็จแล้วเดินลงมาชั้นล่าง ฉินสือโอวกำลังออกประตูไปเท่านั้น หู่จือเป้าจือก็กระดิกหางแล้วเดินตามมาด้วยท่าทางขี้เกียจ พี่น้องเฟอเรทยังนอนกอดกันกลมอยู่ มองดูแล้วราวกับว่าพวกเฟอเรทน้อยจะไม่มีความรู้สึกปลอดภัยเลย

คนในฟาร์มปลามีคนที่ตื่นเช้ากว่าเขาอีก เบิร์ด นีลเซ็น ออสเปร ทุกคนตื่นกันหมดแล้ว และกำลังทำงานกันอยู่ตรงสนามบิน พวกเขานำถุงบอลลูนมาต่อเข้ากับตะกร้า จากนั้นก็เทปิโตรเลียมเข้าไปในท่อ พร้อมกับตรวจเช็กความปลอดภัย

ฉินสือโอวขับรถเอทีวีออกไปที่ชายทะเล ตรงแถวทะเลน้ำตื้นมีแสงสีฟ้าส่องประกายระยิบระยับอยู่เป็นจุดๆ ราวกับดวงดาวที่ตกลงไปในทะเลอย่างไรอย่างนั้น

แน่นอนว่า แสงระยิบระยับเล็กๆ พวกนี้ความจริงแล้วคือแมงกะพรุนเวเลลลาต่างหาก พวกมันออกหากินตอนกลางคืน จากนั้นก็จะดำลงไปในทะเลก่อนฟ้าสาง เพื่อหลบหนีแสงอาทิตย์ที่สามารถคร่าชีวิตพวกมันได้

ริมทะเลมีความชื้นในอากาศสูง ตอนที่ฉินสือโอวขับรถไปถึงสนามบิน บนตัวเขาเปียกชุ่มไปหมด เบิร์ดโยนผ้าขนหนูให้เขาผืนหนึ่งแล้วพูดว่า “การอาศัยอยู่ริมทะเลก็มีจุดนี้แหละที่ไม่ดี ใช่ไหมครับ?”

ข้างๆ เขามีกาต้มกาแฟที่กำลังต้มอยู่ ฉินสือโอวรินกาแฟให้ตัวเองแก้วหนึ่งมาดื่ม แล้วพูดว่า “มีได้มีเสีย เพื่อน อากาศแบบนี้ได้ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งแล้วรู้สึกดีจะตาย นายไม่มีทางหาความรู้สึกแบบนี้ได้จากในทะเลทรายหรอกนะ”

งานเตรียมการของบอลลูนเสร็จสิ้นแล้ว นีลเซ็นขับรถเติมลมเข้ามา เสียงเครื่องยนต์เดินเครื่อง ‘หึ่มๆๆ’ ถุงลมที่แบนราบนั้นเริ่มพองตัวขึ้นมา

งานเตรียมการนี้จะต้องทำจนถึงหกโมงจึงจะใช้งานได้ ถุงลมของบอลลูนที่ใหญ่โตได้ลอยขึ้นมาแล้ว เบิร์ดจำเป็นต้องนำมันไปมัดไว้กับรถกระบะแร็ปเตอร์ไว้ ไม่อย่างนั้นคงจะลอยออกไปพร้อมกับตะกร้าแล้วเป็นแน่

พวกวินนี่สามารถมองเห็นบอลลูนได้จากที่พัก หลังจากเธอเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้วก็โทรศัพท์มาถามว่า “นี่ก็คือเซอร์ไพรส์ที่คุณพูดถึงเหรอคะ?”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ นี่น่ะเป็นแค่จุดเริ่มต้นของเซอร์ไพรส์”

วินนี่นำอาหารเช้ามาด้วย ฉินสือโอว นีลเซ็น และเบิร์ดกินอาหารไปพลางคุยกันไปพลาง หลังจากกินเสร็จทำงานเสร็จแล้ว ฉินสือโอวให้วินนี่ขึ้นไปบนบอลลูน ถามว่า “คุณเคยนั่งเจ้านี่ไหม?”

วินนี่ส่ายหัวเม้มปากแล้วยิ้มออกมา “ไม่ค่ะ ไม่เคยนั่งเลย ฉันรู้สึกว่ามันอันตราย ฉันเกลียดอันตราย”

เบิร์ดและออสเปรเป็นคนขับ นีลเซ็นไปช่วยด้วย ฉินสือโอวกับวินนี่ขึ้นไปบนตะกร้า เขาพูดว่า “วางใจได้ ความปลอดภัยของบอลลูนของเราไม่มีปัญหาแน่นอน มาเถอะ พวกเราไปใช้ชีวิตวันหยุดสุดสัปดาห์บนฟ้ากันเถอะ”

พวกหู่เป้าฉงหลัวก็วิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ เมื่อเห็นฉินสือโอวและวินนี่เข้าไปในห้องนิรภัยบนตะกร้าแล้ว พวกมันก็อยากกระโดดขึ้นไปบ้าง

ฉินสือโอวกลัวว่าเจ้าพวกนี้อยู่บนฟ้าแล้วจะกลัวความสูง จึงไม่ได้ให้พวกมันขึ้นไป แต่สุดท้ายตอนที่บอลลูนลอยขึ้นฟ้าไปแล้ว เขาหันกลับไปมองทีหนึ่งก็เห็นพี่น้องเฟอเรทกำลังเล่นกันอยู่ตรงมุมเฉยเลย

“ชิท เจ้าสองตัวนี้คล่องแคล่วขนาดนี้เลยเหรอ?” ฉินสือโอวปวดขมับ

นีลเซ็นกล่าว “บอส โยนลงไปตอนนี้ยังทันนะครับ เฟอเรทสามารถทำเหมือนกระรอกที่ใช้หางลดแรงกระแทกได้ สูงแค่สามสี่เมตรเอง พวกมันไม่ตายหรอกครับ”

บอลลูนที่ลอยขึ้นไปในตอนนี้พึ่งแต่แรงลอยตัวของตัวมันเองเท่านั้น เบิร์ดยังไม่ได้จุดไฟ ทำให้ไม่มีความร้อนพุ่งออกไปด้านนอก ตอนเช้าแสงแดดอบอุ่น การอยู่ในตะกร้าที่มีห้องนิรภัยอยู่นั้นถือว่าสบายไม่เบาเลย

พี่น้องเฟอเรทไม่ยอมอยู่นิ่ง พวกมันอยู่ตรงมุมกันสักพัก ก็กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่งแล้วมองออกไปด้านนอกตะกร้า

บอลลูนลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างช้าๆ ภาพทิวทัศน์บนพื้นดินปรากฏเข้ามาสู่สายตาของฉินสือโอว

เริ่มจากสนามบินก่อน แน่นอนว่าตอนที่บอลลูนลอยขึ้นมาสิบกว่าเมตรก็สามารถมองเห็นสนามบินทั้งหมดแล้ว เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินบรรทุกสินค้าและรถอีกหลายคันที่จอดอยู่บนสนามบินเริ่มเล็กลงเรื่อยๆ

จากนั้นก็คือฟาร์มปลา หน้าตาทั้งหมดของฟาร์มปลาปรากฏออกมาแล้ว ฉินสือโอวมองลงไปยังถิ่นของตัวเองจากบนฟ้า มองดูนาแต่ละผืน สวนผัก โรงเพาะเลี้ยง ท่าเรือและยังมีสวนดอกไม้ที่พึ่งออกแบบเสร็จแล้ว เขารู้สึกภูมิใจอย่างมาก

แน่นอนว่าตอนที่บอลลูนลอยขึ้นไปสี่ห้าสิบเมตร ก็สามารถเห็นหน้าตาของเกาะได้ทั้งเกาะจากบนบอลลูนด้วย

ฤดูร้อนของเกาะแฟร์เวลอุดมสมบูรณ์มาก แสงอาทิตย์สีทองส่องประกายไปบนเกาะ ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ตอนเช้าไม่มีลม นานๆ ทีที่ผิวน้ำของทะเลสาบเฉินเป่าจะสงบแบบนี้ แสงอาทิตย์ที่สาดส่องไปบนนั้นเปล่งแสงสีทองอ่อนๆ ออกมาด้วย

นีลเซ็นยื่นกล้องส่องทางไกลให้ฉินสือโอว เขาใช้มันส่องไปในเมือง เห็นคนคุ้นเคยไม่น้อย ฮิวจ์กำลังโบกมือให้บอลลูนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ ฉินสือโอวก็โบกมือด้วย นีลเซ็นมองไปที่เขาอย่างงงวยแล้วพูดว่า “บอสครับ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรตรงนี้ คนในเมืองก็มองเห็นไม่ชัดหรอกนะครับ”

ฉินสือโอวพูดออกไปว่า “ฉันไม่ได้ให้คนในเมืองดูสักหน่อย แต่เป็นการทำให้ใจตัวเองดูต่างหาก”

ออสเปรมองไปที่เบิร์ดอย่างแปลกใจ แล้วถามว่า “เพื่อน นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ฉันเรียนมาน้อย ฟังไม่เข้าใจเลย”

เบิร์ดยักไหล่แล้วพูดว่า “ไม่ต้องใส่ใจหรอก คนที่นั่งบอลลูนครั้งแรกก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เขาคงตื่นเต้นจนบังคับแขนขาไม่อยู่ล่ะมั้ง”

ฉินสือโอวมองไปที่ทั้งสองอย่างโกรธเคือง วินนี่หัวเราะออกมา แล้วพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “นี่ ตอนนี้คุณไม่กลัวความสูงแล้วเหรอคะ?”

ฉินสือโอวพูดว่า “ผมเคยกลัวความสูงตั้งแต่ตอนไหนกัน?”

วินนี่ยักไหล่ ยิ้มๆ แล้วพูดว่า “นั่นสิคะ ไม่รู้ว่าใครนะที่ตกใจจนฉี่แทบราดกางเกงบนเครื่องบินน่ะ”

ฉินสือโอวพูดว่า “ทำไมคุณไม่คิดว่าผมทำเพื่อจะได้ใกล้ชิดคุณล่ะ?”

วินนี่เดินเข้ามายื่นมือไปลูบหน้าของเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากว่าคุณมีมารยาขนาดนั้นแล้วล่ะก็ งั้นคุณก็คงกลายเป็นคาสโนว่าโสดลอยไปลอยมาไปนานแล้ว”

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท