ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1307 สามต่อสาม

บทที่ 1307 สามต่อสาม

พอบอลลูนลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ หน้าตาของเกาะแฟร์เวลทั้งเกาะก็ปรากฏออกมา

เบิร์ดและออสเปรบังคับความเร็วในการลอยขึ้นฟ้าของบอลลูนได้ดีมาก ไม่เร็วไม่ช้า แม้แต่ฉินสือโอวยังไม่สามารถรู้สึกได้ถึงความสูงที่เปลี่ยนไปเลย รู้สึกเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น เกาะเล็กๆ ทั้งเกาะก็ดูเล็กลงไปมาก บ้านเรือนดูราวกับเป็นกล่องไม้ขีดไฟ รถกับคนก็มองเห็นไม่ชัดแล้ว

ตอนแรกฉินสือโอวยังรู้สึกตื่นเต้นจนต้องโน้มตัวลงไปดู แต่พอขึ้นสูงถึงห้าหกร้อยเมตร เขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายขึ้นมา เห็นได้ชัดเลยว่าการขจัดโรคกลัวความสูงของเขาไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นเท่าที่คิด

วินนี่กลับดูสนอกสนใจมาก เธอก้มลงมองทิวทัศน์ด้านล่าง แล้วพูดว่า “ฉันรู้สึกว่านานมากแล้วที่ไม่ได้บินอยู่บนฟ้า ตอนนี้พอได้มาเห็นแบบนี้แล้ว ในที่สุดก็ได้ความรู้สึกแบบเมื่อก่อนกลับมาแล้ว”

พอพูดถึงเรื่องเมื่อก่อน ฉินสือโอวจึงถามขึ้นมาว่า “ที่รัก คุณคิดถึงงานที่ทำก่อนหน้านี้บ้างไหม?”

หากไม่ใช่เพราะเขาเรียกร้องแล้วล่ะก็ วินนี่ไม่มีทางลาออกจากแคนาดาแอร์ไลน์เร็วขนาดนี้หรอก

วินนี่คิดๆ แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “คิดถึงงานเมื่อก่อนเหรอคะ? ไม่นะ ไม่หรอกค่ะ ฉันเป็นพนักงานบริการนะคะ แม้ว่าจะเป็นหัวหน้าก็เถอะ แต่อย่างไรเสียก็ยังถือว่าเป็นพนักงานบริการอยู่ดีไม่ใช่เหรอคะ? แต่ทว่ามีความรู้สึกคิดถึงชีวิตแบบเมื่อก่อนมากเลย”

ทั้งสองคนคุยกันไป ก็มีเสียงเล็กสดใสของนกอินทรีดังขึ้นมา เงาสามตัวที่ดูแข็งแรงบินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

ฉินสือโอวพูดอย่างเต็มไปด้วยความหวังว่า “ฮ้า ในที่สุดพวกของนิมิตส์ก็หาพวกเราเจอแล้ว ให้พวกมันเข้ามา”

เบิร์ดใช้มือบังแสงอาทิตย์แล้วมองไป สีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “ไม่ครับ บอส นี่อาจจะไม่ได้ดีเหมือนที่คุณคิดก็ได้นะครับ นี่ไม่ใช่พวกของนิมิตส์!”

นกตัวใหญ่สามตัวบินใกล้เข้ามา ฉินสือโอวมองเห็นหน้าตาของพวกมันชัดเจน ปากที่โค้งราวกับตะขอ ขนสีน้ำตาลเข้มปนสีทองอ่อน สายตาที่แหลมคมและดุดัน นี่คือนกอินทรีทองสามตัว

นกอินทรีทองที่นำฝูงตาบอดข้างหนึ่งด้วย ไม่ต้องพูดเยอะ นกอินทรีทองสามตัวนี้ก็คือศัตรูคู่อาฆาตของนิมิตส์และบุช พวกตระกูลอินทรีทอง

อินทรีทองสามตัวไม่ได้มาหาเรื่องอะไร พวกมันไม่ได้รู้สึกคุ้นหน้าฉินสือโอว ก็แค่สนใจบอลลูนเท่านั้น พอบินเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็บินวนรอบบอลลูน เสียงร้องของอินทรีเปลี่ยนเป็นเสียงสดใสขึ้นมา

อินทรีทองมาถึงได้ไม่นาน ก็มีเงาของนกตัวใหญ่อีกสามตัวปรากฏขึ้นมา ครั้งนี้ก็คือบุช นิมิตส์กับอินทรีทองตัวน้อย แคลร์

เมื่อเห็นเงาของกลุ่มแร็ปเตอร์ในฟาร์มปลาแล้ว นกอินทรีทองสามตัวก็รีบตั้งท่าเตรียมรบทันที อินทรีตัวผู้ตาเดียวอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายคืออินทรีตัวเมียที่สายตาเฉียบคม ด้านขวาคือลูกอินทรีที่ขนาดตัวพอๆ กัน

อินทรีทองเป็นสัตว์ดุร้ายที่เติบโตได้เร็วมากชนิดหนึ่ง แค่เวลาครึ่งปี นกน้อยก็สามารถเติบโตจนมีขนาดตัวพอๆ กับนกโตเต็มวัยได้ แต่ว่าในตอนนี้พวกมันก็แค่มีขนเส้นหนาขึ้นเท่านั้น ที่จริงแล้วกระดูกและกล้ามเนื้อยังไม่ได้เติบโตได้เต็มที่

กลุ่มของบุช นิมิตส์และแคลร์ปรากฏตัวออกมาตั้งท่าจู่โจม พวกมันเห็นอินทรีทองศัตรูคู่อาฆาตบินไปรอบบอลลูน จึงทั้งโกรธและตกใจ นึกว่าศัตรูคู่อาฆาตจะมาทำร้ายพวกของฉินสือโอว

รูปแบบการจู่โจมของกลุ่มแร็ปเตอร์ของฟาร์มปลากับอินทรีทองไม่เหมือนกัน บุชอยู่ตำแหน่งกลาง นิมิตส์บินอยู่ด้านล่าง ส่วนอินทรีทองน้อยแคลร์กลับบินอยู่จุดที่สูงที่สุด

ราวกับเครื่องบินขับไล่สามลำที่พุ่งตรงมา หลังจากกลุ่มแร็ปเตอร์จากฟาร์มปลาปรากฏตัวแล้วก็รีบออกจู่โจมทันที บุชที่อยู่ตรงกลางเป็นกำลังหลัก อินทรีทองตัวน้อยใช้ความเร็วเข้าชน ส่วนนกโจรสลัดที่รูปร่างใหญ่โตก็สะบัดปีกไปมาเพื่อทำการป้องกันให้

กลุ่มหนึ่งคือการจู่โจมแบบเลข ‘สาม’ อีกกลุ่มหนึ่งคือการรับการจู่โจมแบบตัว ‘ผิ่น’ พวกเบิร์ดกับออสเปรโห่ร้องอย่างชื่นชมว่า “โอ้ ชิท ตอนนี้การสู้กันของนกก็มีการวางกลยุทธ์กันแล้วเหรอ?”

“เป็นกลยุทธ์การรบที่นอกเหนือความคาดหมายนะ นายดูพวกของบุชทั้งสามตัวสิ ปิดล้อมทั้งบนและล่าง ปกป้องซึ่งกันและกัน แล้วดูอินทรีทองสามตัวนั้น ตำแหน่งแต่ละตัวเท่าๆ กัน ซึ่งสามารถทำการช่วยเหลือในตอนท้ายได้…”

ภายใต้เสียงตกใจของทุกคน ทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน จากนั้นบุชก็สู้ตัวต่อตัวกับพี่ตาเดียว นิมิตส์สู้กับอินทรีทองตัวเมีย ส่วนแคลร์ก็จ้องไปที่น้องชายของมัน กลายเป็นการสู้กันของกลุ่มสามกลุ่มไป

“ฟัค กลยุทธ์ขี้หมาจริง!” สีหน้าของคนทั้งกลุ่มเต็มไปด้วยสีหน้าว่านายหลอกฉัน

ฉินสือโอวยังนึกว่า การปรากฏตัวของแคลร์จะเป็นสะพานให้ทั้งสองสื่อสารกันเสียอีก แต่ตอนนี้มองดูแล้วคงจะไม่เกิดขึ้นแล้วล่ะ ความอยากสู้ของแคลร์นั้นมีมากกว่าบุชเสียอีก มันพุ่งตัวเข้าไปเป็นตัวแรกเลย!

ต่างฝ่ายต่างก็เป็นนกอินทรีทองเหมือนกัน แถมยังเป็นน้องชายทั้งสองตัวด้วย แต่แคลร์น้อยแข็งแรงกำยำกว่าน้องชายของมันมาก ดูจากสีของขนแล้ว คือใกล้จะกลายเป็นนกโตเต็มวัยแล้ว แต่สีของน้องชายมันจะเข้มกว่า ขนหางก็ยังเป็นสีขาว ใต้ปีกที่กางออกนั้นมีจุดขาวอยู่ ยังคงเป็นลักษณะของนกน้อยอยู่

ที่จริงกลุ่มอินทรีทองไม่ได้หาเรื่องตัวเองเลย บวกกับตอนนี้ที่แคลร์ได้ทุ่มสุดตัวที่สุดในการสู้กัน ภาพของการฆ่าฟันกันเองในพวกเดียวกันแบบนี้ทำเอาวินนี่ทนไม่ได้ จึงผิวปากเพื่อเรียกกลุ่มแร็ปเตอร์ทั้งสามตัวกลับมา

แต่ทำอย่างไรได้ ลมทะเลพัดแรง แถมตอนนี้พวกเขายังอยู่กลางอากาศอีก ทำให้ลมแรงขึ้นไปอีก ในสถานการณ์ต้านลมแบบนี้ทำให้เสียงผิวปากดังออกไปได้ไม่ไกลนัก ก็ถูกลมทะเลพัดหายไปแล้ว

วินนี่ค่อนข้างร้อนรน ดึงฉินสือโอวไว้แล้วถามว่า “นี่เป็นการเข้าใจผิด รีบหาวิธีให้พวกเขาแยกกันเถอะค่ะ”

ฉินสือโอวจะมีวิธีอะไร? เขาปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร ที่รัก พวกมันไม่มีใครทำอะไรใครได้ คุณดูสิ พวกมันสู้กันมานานแค่ไหนแล้ว? ก็ยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บเลยไม่ใช่เหรอ? ผมกลับรู้สึกว่าพวกมันแค่กำลังหยอกเล่นกันเท่านั้น”

วินนี่ไม่ยอมและยังคงผิวปากต่อไป สวรรค์ไม่ทิ้งคนพยายาม พวกแร็ปเตอร์ทำการเปลี่ยนวิธีรบอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็บินไปยังจุดที่เป็นต้นลม ทำให้สามารถได้ยินเสียงผิวปากที่ร้อนรนของวินนี่

นิมิตส์สะบัดปีกสีดำอันใหญ่โตอย่างสง่างาม ชูคอส่งเสียงร้องทีหนึ่ง จากนั้นก็หันหัวบินไปทางบอลลูนแทน

อินทรีตัวเมียที่สู้กับมันก่อนหน้านี้ไม่ได้ไล่ตามมาด้วย แต่กลับลำรีบไปช่วยอีกสองตัวแทน อินทรีทองน้องชายสองตัว แคลร์น้อยกำลังได้เปรียบในทุกด้าน มันไล่ตามน้องชายอินทรีของตัวเองอย่างสะใจ และสู้จนพวกมันส่งเสียงกว๊ากๆ อย่างเจ็บปวดเหลือทน

อินทรีตัวเมียเป็นขิงที่ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด พอมันร่วมสู้ด้วยเท่านั้นก็กลายเป็นแคลร์น้อยที่ร้องกว๊ากๆ แทน

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว บุชก็รีบเข้าไปป้องกันอย่างมีคุณธรรม จากนั้นทั้งสองคนก็บินตามกันกลับไปที่บอลลูน

ทางครอบครัวอินทรีทองไม่ได้ไล่ตามไป พวกมันยังไม่เข้าใจว่าบอลลูนคืออะไร สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย หลังจากเห็นว่าศัตรูได้เข้าไปในตะกร้าแล้ว พวกมันกะพริบตา จากนั้นก็รีบบินจากไปทันที

บางทีในสายตาของพวกอินทรีทองนั้น บอลลูนนี้ก็คือปีศาจตัวใหญ่ ศัตรูที่ดวงซวยได้ถูกเจ้าปีศาจตัวนี้กินเข้าไปแล้ว…

วินนี่หวีขนให้กลุ่มสามแร็ปเตอร์จากฟาร์มปลา ส่วนฉินสือโอวก็เริ่มเตรียมอาหารกลางวัน อาหารกลางวันมื้อนี้แหละที่เป็นเซอร์ไพรส์ เขาจะทำอาหารให้วินนี่กินบนบอลลูน

ฉินสือโอวสั่งการออกไป เบิร์ดทำการต่อเตากระจกนิรภัยแบบยึดระเบียงเข้ากับตะกร้าด้านหนึ่ง ส่วนนีลเซ็นก็ติดตั้งแผ่นเหล็กไว้ฝั่งตรงข้าม เพื่อรักษาสมดุล

พื้นผิวของเตาทำอาหารกระจกนิรภัยไม่เรียบเนียน ฉินสือโอวลงแรงนิดหน่อย ต่อท่อแก๊ส วางขวดเครื่องปรุงรสเข้าไป แค่นี้ชุดเตาทำอาหารแบบง่ายๆ และใช้ได้ดีก็ออกมาแล้ว

วินนี่เข้าใจความหมายของเขา จึงยิ้มแล้วพูดว่า “คุณจะทำอาหารบนนี้เหรอคะ?”

ฉินสือโอวบอกว่า “ใช่แล้ว คุณดูสิ นี่เป็นที่ที่เหมาะจะทำกับข้าวแค่ไหน เมฆสีขาวลอยล่อง ท้องฟ้าสดใส ตอนนี้พวกเราเข้าใกล้พระเจ้ายิ่งกว่าใครๆ อีก อาหารกลางวันแบบนี้ยอดไปเลยใช่ไหม?”

เบิร์ดนำวัตถุดิบที่เตรียมไว้ออกมา แล้วพูดแทรกขึ้นมาว่า “โดยเฉพาะนะ บอส การทำอาหารที่นี่ยังไม่ต้องใช้เครื่องดูดควันด้วย”

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท