ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1319 กำลังภายในกับผีน่ะสิ

บทที่ 1319 กำลังภายในกับผีน่ะสิ

เดิมทีวินนี่กำลังช่วยแม่ฉินเข้าครัวทำอาหาร พอพวกฉินสือโอวพากันกลับมาเธอถึงได้ออกมาดู แต่ปรากฏว่าตอนนี้เธอกลับเข้าไปในครัวไม่ได้แล้ว ฉงต้ามุดเข้ามาหาอ้อมอกเธอแล้วน้ำตาก็หยด ‘แหมะๆ’ เลยทันที

“นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” วินนี่ถามด้วยความตกใจ

ฉินสือโอวเกาจมูกพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ แล้วตอบเธอว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ฉงต้าก็อยู่ในฤดูหาคู่เหมือนกันหรือเปล่า? พอเห็นว่าตัวเองไม่มีคู่เลยรู้สึกเศร้าจนร้องไห้ออกมา?”

วินนี่เผยรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมา คิ้วทั้งสองข้างค่อยๆ ชี้สูงขึ้น ปรากฏรอยยิ้มอันตรายขึ้นบนริมฝีปากสีแดงสด

ฉินสือโอวอธิบายกับเธอว่า “มันก็เป็นไปได้นะ คุณไม่รู้หรอก เมื่อก่อนตอนที่ผมอยู่เมืองไหเต่า หลายๆ ครั้งผมก็ร้องไห้เพราะเศร้าใจที่ไม่มีแฟนสักที แอบร้องไห้คนเดียว มันเจ็บปวดหัวใจมากจริงๆ”

วินนี่พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณจะแถไปถึงเมื่อไรกันคะ?”

ฉินสือโอวถอนหายใจออกมาอย่างหมดปัญญา ในที่สุดก็ต้องพูดความจริงออกมา

พอได้ฟังเขาพูดจนจบแล้ว วินนี่ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ในตอนนี้เสี่ยวเถียนกวาก็เข้ามาดึงหูของฉงต้าพอดี รอยยิ้มใสซื่อปรากฏอยู่บนใบหน้าเล็กๆ มือเล็กๆ ของเธอจับเอาใบหูอ่อนนุ่มของฉงต้าเอาไว้แล้วออกแรงดึงมันลงมาข้างล่าง

ดีเลยทีนี้ ลูกระเบิดของวินนี่อยู่ในจุดที่กำลังจะปะทุออกมาอยู่แล้ว ความแค้นของพ่อมีลูกสาวเป็นคนเอาคืน วินนี่อุ้มเธอขึ้นมาแล้วตีก้นเล็กๆ ของเธอเข้าให้สองที หลังจากนั้นก็พูดอย่างเด็ดขาดจริงจังว่า “เคยบอกหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่รู้เหรอว่าแม่บอกไม่ให้หยิกเพื่อนแบบนี้?”

เสี่ยวเถียนกวาแหงนหน้าขึ้นไปมองหน้าเธอ หลังจากนั้นพอรู้ว่าตัวเองถูกตีก้น เธอก็แบะปากแล้วร้องไห้โฮเลยทันที ขณะที่กำลังร้องไห้เธอก็ยื่นมือออกมาตีวินนี่ด้วย

ได้ยินเสียงร้องของหลานสาว แม่ฉินที่อยู่ในห้องครัวก็รีบวิ่งออกมาถามว่า “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น?”

วินนี่หันกลับไปพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรค่ะ คุณแม่คะ คุณแม่ไปทำอาหารต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวพอหนูโอ๋สักหน่อยลูกก็คงไม่เป็นอะไรแล้ว เด็กน้อยนี่เพิ่งจะถูกหนูตีมาแกเลยโมโหนะคะ”

ฉินสือโอวคิดว่าคราวนี้ลูกสาวของเขาน่าสงสารจริงๆ วินนี่ไม่เคยปล่อยให้ลูกทำตัวเสียนิสัยตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ที่ลูกสาวดึงหูฉงต้ายังไม่เท่าไร แต่พอถูกตีแล้วยังกล้าตีเธอคืน แบบนี้ก็เท่ากับหาเรื่องให้ตัวเองเลยไม่ใช่เหรอ?

แต่วินนี่กลับไม่ได้ไปอบรมสั่งสอนเด็กน้อยต่อ แต่ช่วยเช็ดน้ำตาให้กับเด็กน้อยแล้วโยกตัวลูกไปมา เธอฮัมเพลงกล่อมเด็กเพื่อโอ๋ลูกสาวตัวน้อย ขณะเดียวกันก็กอดหน้าผากของฉงต้าเอาไว้ พร้อมกับใช้มือเกาหน้าผากอ้วนๆ ของมันไปด้วย

พอเป็นแบบนี้แค่แป๊บเดียวเด็กหญิงตัวน้อยก็หยุดร้องแล้ว เพียงแต่ว่าเธอยังส่งเสียงสะอึกสะอื้นขึ้นมานานๆ ครั้ง ฉงต้าก็หยุดร้องไห้แล้วเหมือนกัน แต่ฉินสือโอวคิดว่ามันตกใจจนหยุดร้องไห้มากกว่า ท่าทางของวินนี่ตอนที่สั่งสอนเสี่ยวเถียนกวาเมื่อสักครู่ ต้องทำให้มันนึกถึงเรื่องไม่ดีบางอย่างที่มันเคยทำไว้แน่ๆ

โอ๋เด็กน้อยทั้งสองได้แล้ว วินนี่ก็จับเถียนกวายัดให้กับฉงต้า ครั้งนี้เด็กน้อยไม่ได้ดึงหูของฉงต้าอีก แต่นั่งเล่นกับตัวเองคนเดียวอยู่ในอ้อมกอดของมัน

วินนี่ทำหน้าบึ้งบอกให้ฉินสือโอวนั่งลงข้างๆ ฉินสือโอวก็ยิ้มแหยๆ แล้วพูดกับเธอว่า “ผมนึกว่าคุณจะจัดการลูกสาวของเราให้เรียบร้อยเสียอีก”

วินนี่ถลึงตาใส่เขา พูดว่า “ลูกสาวเรายังไม่รู้เรื่องรู้ราว ถ้าเธอรู้เรื่องรู้ราวแล้ว ถ้าถูกลงโทษแล้วยังทำตัวเป็นเด็กกล้าตีแม่คืน คุณก็คอยดูแล้วกันว่าฉันจะจัดการเธอยังไง!”

ฉินสือโอวพูดกับเธอว่า “ถึงตอนนั้นผมจะช่วยคุณจัดการกับเธอเอง!”

วินนี่จึงตอบเขากลับไปว่า “อย่าเปลี่ยนเรื่อง ลูกสาวเรายังไม่รู้เรื่องเลยยังให้อภัยได้ แต่คุณเป็นเด็กเหมือนกันกับเธอด้วยเหรอคะ? คุณก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนกันเหรอ? เรื่องนี่ฉันจะไม่ยกโทษให้คุณเด็ดขาด คุณแกล้งฉงต้าแบบนี้ได้ยังไงกันคะ?”

ฉินสือโอวพูดอย่างจนปัญญาว่า “เรื่องนี้โทษผมได้ด้วยเหรอครับ? ผมก็แค่แกล้งหยอกเล่นเฉยๆ”

วินนี่จึงพูดด้วยความโมโหว่า “แกล้งหยอกเล่น? คุณโยนฉงต้าลงไปในทะเลนะ! นั่นมันคือมหาสมุทร! เด็กๆ พวกนี้ไม่เข้าใจว่าคุณล้อเล่นหรอกนะคะ พวกเขามีแต่จะรู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งเท่านั้น!”

ฉินสือโอวทำได้แค่ยกมือขึ้น แล้วพูดว่า “เอาล่ะๆ ต่อไปผมจะไม่ล้อเล่นแบบนี้อีกแล้ว”

พอพูดจบ เขาก็นั่งลงตรงข้ามฉงต้า เขายื่นมือออกไปพร้อมกับพูดว่า “พ่อขอโทษนะ ลูกรัก เย็นนี้พวกเรากินข้าวด้วยกันดีไหม?”

ฉงต้ายังคงก้มหน้าก้มตาไม่สนใจเขา มันถึงกับยอมเล่นกับเสี่ยวเถียนกวาที่มันเคยไม่อยากเล่นด้วย

วินนี่ร้องเหอะออกมา แล้วพูดกับเขาว่า “คิดเอาเองแล้วกันนะคะ คราวนี้ฉงต้าเจ็บปวดใจมากจริงๆ”

ช่วงเวลาอาหารเย็น ฉินสือโอวเก้าอี้ของโต๊ะอาหารให้ฉงต้าหนึ่งตัว พอพวกหู่จือเป้าจือหลัวปอเห็นก็พากันคาบกะละมังใส่อาหารวิ่งเข้ามาก่อความวุ่นวาย ลูกแมวป่าก็กระโดดขึ้นไปบนขาของเขาอย่างคล่องแคล่ว แล้วยื่นหัวยื่นหน้าออกไปหาโต๊ะอาหาร

“ประโยคนั้นพูดว่ายังไงนะ? ไม่กลัวความยากจนอะไรนะ?” พ่อฉินหัวเราะฮ่าๆ ออกมาเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้

ขณะที่เชอร์ลี่ย์กำลังทาเนยลงไปบนขนมปังเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่กลัวความยากจนแต่กลัวความไม่เท่าเทียม ใช่ไหมคะ?”

แม่ฉินจึงเอ่ยปากชมเธอว่า “นับวันเชอร์ลี่ย์ก็ยิ่งพูดภาษาจีนได้คล่องแคล่วขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปจะไปเป็นทูตประจำประเทศจีนใช่ไหม?”

เชอร์ลี่ย์แย้มรอยยิ้มหวาน พูดว่า “หนูขอคิดดูก่อนดีกว่าค่ะ เพราะหนูยังอยากเป็นนักไวโอลินมากกว่า”

ฉินสือโอวกลอกตาใส่ เชอร์ลี่ย์จึงถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า “ฉิน คุณหมายความว่ายังไงคะ?”

ฉินสือโอวจึงพูดด้วยความรู้สึกรำคาญใจว่า “ฉันไม่ได้ทำใส่เธอ แต่ฉันถูกเด็กงี่เง่าพวกนี้ต่างหาก โอเค ถ้าแหย่ไม่ได้ฉันก็จะไม่แหย่แล้ว ทุกคนไปนั่งกินอาหารบนพรมเถอะ”

ไม่ใช่แค่กินข้าวเป็นเพื่อนฉงต้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พอตกดึกฉินสือโอวก็ยังปูเสื่อ นอนกอดฉงต้าเอาไว้ เพื่อทำให้มันรู้สึกว่าเขาอยู่กับมันตลอดเวลา และไม่อยากเสียมันไป

แบบนี้ฉงต้าถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ขณะที่กำลังนอนหลับมันก็เกาะติดฉินสือโอวไว้อย่างแนบแน่น

ฉินสือโอวเลยต้องไปหยิบเอาแป้งเย็นเด็กของลูกสาวมา ขนของฉงต้าไม่ได้แข็งมากขนาดนั้น แต่มันแค่ร้อนเกินไปหน่อย…

ตอนที่กำลังเตรียมตัวเข้านอน ไวส์ก็กอดหมอนใบเล็กวิ่งลงมาหาเขาแล้วพูดว่า “อาจารย์ พวกเรานอนด้วยกันเถอะครับ”

ฉินสือโอวพูดด้วยความจำใจว่า “ไวส์ ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยนะ นายฝันร้ายหรือยังไง?”

ไวส์ตอบเขากลับไปด้วยความกลัดกลุ้มว่า “ไม่ใช่ครับ แต่พรุ่งนี้พ่อกับแม่ของผมจะมารับผมกลับอเมริกาแล้ว ต้องรอจนถึงตอนเปิดเทอมปลายเดือนกันยายนผมถึงจะได้กลับมาที่นี่”

ฉินสือโอวนึกขึ้นมาได้ในทันที ดูเหมือนว่าช่วงหลายวันนี้ที่วอร์ชิงตันจะเริ่มงานประชุมเกี่ยวกับแหล่งพลังงานอะไรสักอย่าง ครั้งที่แล้วไวส์เคยบอกว่าพ่อแม่ของเขาก็ไปงานนี้เหมือนกัน เขาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ

เมื่อเป็นแบบนี้เขาคงปฏิเสธไม่ได้แล้ว เลยเขยิบเพื่อหลีกทางให้เขาได้เข้ามา พร้อมกับบอกเขาว่า “มาสิ เด็กดี มานอนตรงกลางระหว่างอาจารย์กับฉงต้า ฉงต้าก็คงจะคิดถึงนายเหมือนกัน”

ไวส์ยิ้มอย่างมีความสุขพร้อมกับพูดว่า “ใช่แล้ว อาจารย์ครับ ผมก็จะคิดถึงคุณกับฉงต้าเหมือนกัน”

เอนตัวนอนได้สักพัก ฉินสือโอวกำลังจะหลับอยู่แล้ว แต่อยู่ดีๆ ไวส์ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “อาจารย์ ผมอยากไปนอนตรงฝั่งของอาจารย์”

ฉินสือโอวก็พูดพึมๆ พำๆ ว่า “อยู่ใกล้ๆ กันกับฉงต้าก็ดีแล้วนะ จนกว่าจะถึงปลายเดือนกันยา นายก็จะไม่ได้เจอฉงต้าแล้วเหมือนกัน”

ไวส์ “แต่ผมร้อนนี่”

“อดทนหน่อยเถอะน่า ลองคิดดูสิว่าฉงต้าจะไม่ได้เจอนายอีกนานเลยนะ รีบสนิทกันไว้ตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า”

“ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ส่งแป้งเย็นเด็กมาให้ผมที ผมเหงื่อออกเยอะมาก!”

ช่วงเช้าเฮลิคอปเตอร์ของสองสามีภรรยาบรูซก็มาถึงฟาร์มปลาแล้ว วิเวียนลงมาจากเครื่องบินเป็นคนแรก เธอพุ่งเข้าไปหาไวส์พร้อมกับกางมือออก ดวงตาคู่นั้นชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตา หลังจากได้กอดไวส์แล้วเธอก็เอาแต่ร้องว่า ‘ลูกรักของแม่’ ออกมาอย่างไม่ขาดสาย

จอร์จมองดูสีหน้าของไวส์เป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็เข้าไปทักทายฉินสือโอว เขาจับมืออย่างแรงพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณ ฉิน ขอบคุณนะ!”

ฉินสือโอวก็ตอบเขากลับไปด้วยรอยยิ้ม “ไวส์เป็นเด็กดีมากๆ ผมไม่ต้องดูแลอะไรเขาเลย เพราะอย่างนั้นคุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอก”

จอร์จจึงพูดด้วยความยรู้สึกตื่นเต้นว่า “ไม่ๆๆ ไม่ใช่แค่เรื่องไวส์อย่างเดียว แต่คุณยังเป็นอาจารย์ของผมกับวิเวียนด้วย กำลังภายในที่คุณสอนพวกเรามาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ตั้งแต่พวกเราฝึกทำสิ่งนี้ จิตใจและพละกำลังของผมกับวิเวียนดีขึ้นมาก เหมือนกับว่าพวกเราเด็กลงไปเป็นสิบปีอย่างนั้นเลยล่ะ!”

ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดังออกมา กำลังภายในกับผีน่ะสิ!

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท