ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1323 จะให้โอกาสสักครั้ง

บทที่ 1323 จะให้โอกาสสักครั้ง

ความอยากรู้อยากเห็นยังฆ่าแมวตายได้ ม้าหัวสีดำยังเยาว์วัยและมีความคิดที่เรียบง่ายเกินไป พอมันลดความเร็วแล้วหันกลับไปมอง แอร์แบ็คก็เหยียบคันเร่งอย่างรวดเร็ว รถเอทีวีเพิ่มความเร็วพุ่งทะยานไปอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากด้านหลังของลูกม้าราวๆ สี่ห้าเมตร ขณะเดียวกันแอร์แบ็คก็ยกมือขึ้นแล้วสะบัดบ่วงบาศออกไป

เชือกเส้นหนาคล้องลงไปบนหน้าผากของม้าหัวสีดำอย่างแม่นยำ ม้าหัวดำตกใจขนานหนัก จนเผลอเพิ่มความรวดเร็วขึ้นไปอีก ในตอนนี้แอร์แบ็คดึงเชือกกลับไปข้างหลังอย่างรวดเร็วและรุนแรง ดึงจนม้าหัวสีดำเดินโซเซ ต่อจากนั้นก็ม้วนเชือกไว้บนคันจับของรถสองรอบ คราวนี้ม้าหัวสีดำก็วิ่งไปไหนไม่ได้แล้ว

หลังจากดิ้นรนขัดขืนอยู่อีกพักหนึ่ง ในที่สุดลูกม้าหัวสีดำรู้แล้วว่ามันวิ่งหนีไปไหนไม่ได้แล้ว มันจึงหยุดดิ้นอย่างยอมรับชะตากรรม มองดูเงาร่างของเพื่อนรักที่กำลังวิ่งตะบึงอย่างอิสระตาปริบๆ ด้วยความอิจฉาริษยา

แอร์แบ็คขับรถพาม้าหัวดำกลับมาส่ง เขายื่นเชือกที่ใช้คล้องม้าให้กับฉินสือโอว พร้อมกับพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “เรียบร้อยแล้วครับ บอส ชัยชนะครั้งใหญ่เลย”

ฉินสือโอวจึงตอบเขากลับไปว่า “แล้วม้าอีกตัวหนึ่งล่ะ?”

แอร์แบ็คไหวไหล่บอกกับเขาว่า “อีกแป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็วิ่งกลับมา ลูกม้ายังขี้ขลาดอยู่ แถมยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชิน ทำให้ขาดความรู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างมาก มันยอมวิ่งเข้าหากับดักพร้อมกับเพื่อนของมัน ดีกว่าอยู่ข้างนอกตัวเดียวด้วยความหวาดกลัว”

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผ่านไปประมาณสี่ห้านาที หลังจากลูกม้าอีกหนึ่งตัวที่เหลือเอ้อระเหยอยู่รอบๆ สักพัก มันก็กลับเข้ามาใกล้ด้วยความระมัดระวัง ตาดวงโตของมันจดจ้องฉินสือโอวอย่างระแวดระวัง หลังจากเข้ามาใกล้แล้วมันก็ยังอยากพาเพื่อนหัวสีดำวิ่งหนีอีกครั้ง แต่ดันถูกแอร์แบ็คที่กำลังนั่งเฝ้ากับดักรอจับเหยื่อ ใช้เชือกคล้องมันเอาไว้ได้ก่อน

ฉินสือโอวคล้องขลุมขี่พร้อมสายบังเหียนไซส์เล็กให้พวกมันทั้งสองตัว แล้วหลังจากนั้นก็จูงพวกมันให้เดินไปที่ประตูทางเข้าของฟาร์มปลา

ลูกม้าสีขาวดำเดินตามมาอยู่ทางด้านหลังอย่างไม่เต็มใจ เดินๆ อยู่สักพักทันใดนั้นมันก็โมโหขึ้นมา จึงยกเท้าถีบลูกม้าสีดำเข้าให้หนึ่งที เพราะแกนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะแกถูกจับมา ฉันจะต้องหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนแบบนี้ไหม?

ลูกม้าหัวดำหันไปถลึงตาใส่มันด้วยความโมโห แกหมายความว่าอย่างไร? อะไรๆ ก็โทษแต่ฉันอย่างนั้นน่ะเหรอ? ฉันว่าแกจะกวนโมโหฉันมากกว่า! ด้วยเหตุนี้มันจึงรีบเดินขึ้นไปข้างหน้าสองก้าว แล้วใช้ขาหลังถีบลูกม้าสีขาวดำ

ฉินสือโอวออกแรงลากบังเหียนม้าเอาไว้ พร้อมกับด่าว่า “อยู่นิ่งๆ หน่อย ถึงยังไงก็โดนจับไว้ทั้งคู่ ยังพากันอวดดีอยู่อีกเหรอ? อีกเดี๋ยวทำตัวให้มันน่ารักๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นคืนนี้ฉันจะจับพวกแกไปทำหม้อไฟเนื้อม้า!”

เมื่อจูงลูกม้ามาถึงหน้าประตู ก็ปรากฏให้เห็นเงาภาพของรถคาดิลแลคสีแดงสดที่วินนี่ขับมา

ขับรถเข้ามาในฟาร์มปลา ต่อจากนั้นวินนี่ก็เหยียบเบรกแล้วลงมาจากรถ เธอมองไปที่ลูกม้าทั้งสองตัวด้วยความรู้สึกเซอร์ไพรซ์ พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “เฮ้ ที่รักคะ นี่คืออะไรเหรอคะ?”

“ลูกม้ายังไงล่ะครับ เป็นยังไงบ้าง น่ารักมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ?” ฉินสือโอวแย้มยิ้มด้วยความพอใจ เขาไม่ได้เล่าให้วินนี่ฟังว่าเขาซื้อม้ามาสองตัว วินนี่เลยไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

วินนี่ยื่นมือเข้าไปลูบขนที่คอของลูกม้าทั้งสองตัว พวกมันทั้งคู่ก็เผยให้เห็นท่าทางขลาดอายที่ฉินสือโอวได้เห็นเมื่อครั้งแรกที่ได้พบกันอีกครั้ง พวกมันใช้ตาดวงโตพินิจดูเธอด้วยความสนใจใคร่รู้แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ

“พระเจ้า น่ารักสุดๆ ไปเลย!” วินนี่กอดลูกม้าหัวดำเอาไว้พร้อมกับช่วยสางขนให้มัน เธอหันไปพูดกับฉินสือโอวว่า “ตั้งแต่หลังเรียนจบ ฉันก็ไม่ได้เห็นม้าอเมริกัน เพนต์อีกเลย คุณไม่รู้หรอกค่ะ ที่รัก ตอนที่ฉันได้เรียนขี่ม้า ม้าที่พวกเราขี่ก็คือม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์นี่แหละ”

ฉินสือโอวตบลงบนหัวไหล่ม้าทั้งสองตัวแปะๆ พร้อมกับพูดว่า “คิดว่าผมน่าจะส่งของคุณให้คุณได้ถูกต้องแล้วนะครับ ตอนนี้พวกมันเป็นของคุณแล้ว วินนี่ ต่อไปคุณจะได้สอนทักษะการขี่ม้าให้กับพวกเด็กๆ”

วินนี่ยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า “นั่นไม่เป็นปัญหาอยู่แล้วค่ะ อื้อ พวกมันชื่ออะไรบ้างเหรอคะ?”

ฉินสือโอวแผ่มือออก เขาพูดว่า “รอให้คุณเป็นคนตั้ง ตอนนี้พวกมันยังไม่มีชื่อเลย”

วินนี่มองดูลูกม้าทั้งสองตัว เธอชี้ไปที่ลูกม้าที่มีหัวสีดำแล้วพูดว่า “ตัวนั้น ให้ชื่อว่าหัวดำ” หลังจ้านั้นก็ชี้ไปที่ลูกม้าอีกตัวที่มีขนสีขาวดำผสมกัน “ส่วนตัวนี้ใช้ชื่อว่าลายขาวดำ ดีไหมคะ?”

ฉินสือโอวฝืนยิ้มแล้วพูดกับเธอว่า “ไม่น่าจะดีเท่าไรนะ? ชื่อที่คุณตั้งให้สัตว์มักจะมีความเป็นวีรบุรุษอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอครับ? หัวดำกับลายขาวดำ อันนี้มัน…”

“คุณไม่คิดว่ามันเข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกของพวกมันเหรอคะ?” วินนี่กล่าว

ฉินสือโอวจึงพูดกับเธอว่า “เข้ากันครับ แต่ผมคิดว่า ไม่ค่อยเข้ากับลักษณะนิสัยของพวกมันสักเท่าไร”

“ถ้าอย่างนั้นคุณคิดว่าควรจะตั้งชื่อพวกมันว่าอะไรล่ะคะ?” วินนี่ถาม

จิตใจของฉินสือโอวก็เกิดอาการสั่นไหวขึ้นมา เขาชี้นิ้วไปที่เจ้าหัวดำแล้วพูดว่า “ตัวนี้ให้ชื่อเปากง คุณก็รู้ใช่ไหมว่าหน้าของเปาบุ้นจิ้นเป็นสีดำ? ส่วนอีกตัวให้ชื่อว่าตี้หลู เพราะบนหน้าผากของมันมีจุดสีขาว ในหนังสือประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าตี้หลูคือ ‘หยาดน้ำใต้ดวงตามี กับจุดขาวที่ข้างหน้าผาก’ …”

วินนี่จ้องเขาเขม็ง ฉินสือโอวจึงเอ่ยถามเธอด้วยความสงสัย “คุณมองอะไรครับ?”

วินนี่จึงพูดกับเขาอย่างโมโหน้อยๆ ว่า “คุณคิดชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วจะถามฉันทำไมละคะ?”

ฉินสือโอวยิ้มแหยพร้อมกับกล่าวว่า “เอ่อ ผมให้โอกาสคุณเพื่อความยุติธรรมยังไงละครับ คุณต่างหากที่คว้ามันไว้ไม่ได้”

ชื่อของลูกม้าทั้งสองตัวจึงถูกตั้งไว้แบบนี้ ลูกม้าหัวสีดำให้ชื่อว่าเปากง ส่วนอีกตัวก็ชื่อว่าตี้หลู สองชื่อนี้ต่างก็เป็นชื่อของคนดังด้วยกันทั้งคู่

พอลลี่กับคาปริโนพาสัตว์พวกนี้มาส่งเสร็จแล้ว หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันเดินทางกลับทันที หลังจากที่ฉินสือโอวส่งพวกเขากลับไปแล้ว เขาก็เรียกพวกชาวประมงมาหา แล้วถามว่า “พวกนายมีใครสร้างคอกม้าเป็นบ้างไหม? ตอนนี้พวกเรามีม้าแล้ว สมควรที่จะสร้างคอกม้า”

นีลเซ็นเกาจมูกไปมา เขากวาดสายตาไปรอบด้าน เมื่อเห็นว่าลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวกำลังวิ่งเล่นอยู่ในกองหญ้ากับหู่จือเป้าจือ เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “บอส ให้พวกมันวิ่งเล่นอย่างอิสระก็ดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ คุณดูสิว่าตอนนี้พวกมันกำลังมีความสุขแค่ไหน?”

เพราะว่าเมื่อแรกพบพวกมันก็ได้ช่วยกันจัดการกับฝูงห่านแล้ว ดังนั้นพวกหู่เป้าฉงหลัวจึงยอมรับลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งคู่มาเป็นพรรคพวกด้วยความยินดี หลังจากที่อยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่ครั้ง ลูกม้าอเมริกัน เพนต์ก็ปรับตัวจนคุ้นชินกับอำนาจบารมีของฉงต้าแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเท่ากับตอนที่เจอกันครั้งแรก

แต่สำหรับพวกลูกวัวกับลูกแกะก็ยังรู้สึกหวาดกลัวมากจริงๆ พวกหู่เป้าฉงหลัวดูถูกเหยียดหยามพวกมันเป็นอย่างมาก ในเวลาปกติถ้าเพียงแค่พวกมันกล้าเข้ามาใกล้ ฉงต้าก็จะแสยะปากขู่พวกมันให้กลัว จนทำให้ตอนนี้แค่เห็นฉงต้าพวกมันก็หวาดกลัวจนฉี่แทบราดแล้ว

แอร์แบ็คพูดว่า “ไม่ ไม่ ทางที่ดีที่สุดคือต้องสร้างคอกม้า ถ้าเลี้ยงลูกม้าแบบปล่อยเป็นเวลานานพวกมันจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง กลายเป็นสัตว์ป่าที่ฝึกได้ยาก นายต้องรู้ด้วยว่าพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงชนิดสุดท้ายที่ถูกมนุษย์ฝึกสอนได้สำเร็จ”

พูดแล้วก็ทำเลย ในความคิดของฉินสือโอว การสร้างคอกม้าสักคอกเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก ขอเพียงเตรียมวัสดุอุปกรณ์ไว้ให้พร้อม ถ้ามีคนอยู่เยอะขนาดนี้แถมยังมีเด็กๆ คอยช่วย จะต้องสร้างคอกม้าขนาดเล็กขึ้นมาได้อย่างง่ายดายแน่ๆ

แต่นี่ยังต้องใช้วัสดุด้วย ตอนที่ฉินสือโอวช็อปปิ้งบนอินเทอร์เน็ต เขาพบว่าบริษัทที่เขาสั่งซื้อกระท่อมน้อยเมื่อก่อนหน้านี้ก็มีคอกม้าแบบประกอบขายด้วยเช่นกัน

มีครบทุกอย่างทั้งผนังกันน้ำ แผ่นกระดานป้องกันการเตะถีบ หน้าต่าง การจัดการท่อน้ำ รางหญ้า รางให้น้ำ ถังหมักบ่ม หลังจากซื้อไปแล้วก็แค่ต้องประกอบพวกมันขึ้นมาตามแบบแปลนเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว

แล้วแบบนี้ยังจะมีอะไรให้ต้องเสียอีก? ฉินสือโอวสั่งซื้อเลยทันที เนื่องจากเขาเคยสั่งซื้อกระท่อมมาแล้วห้าหลัง เป็นลูกค้าวีไอพีของเว็บไซต์ ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิพิเศษ ประมาณวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืนก็จะมาส่งอะไหล่แล้ว

ฉินสือโอวให้ชาร์คจัดเตรียมอุปกรณ์ไว้ หลังจากนั้นก็เรียกให้พวกเด็กๆ เข้ามาหา “โอเค นักล่าเงินรางวัลทั้งหลาย ตอนนี้ฉันจะประกาศภารกิจครั้งใหม่แล้ว นั่นก็คือการสร้างคอกม้า ทุกๆ คนจะได้รับเงินห้าสิบดอลลาร์ จะทำไหม?”

กอร์ดอนทำสีหน้าเคร่งขรึม แล้วพูดว่า “นี่คือแบบรับเหมาเลยใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วตอบเขาว่า “ก็น่าจะใช่นะ มีอะไรหรือเปล่า?”

กอร์ดอนกล่าวว่า “นี่เป็นขอบเขตงานที่พวกเราไม่เคยทำมาก่อน มีความยากลำบากเป็นพิเศษ…”

“พอแล้วกอร์ดอน อย่าพูดเรื่อยเปื่อย ก็แค่สร้างคอกม้า แต่นายทำอย่างกับว่าพวกเราต้องไปล่าสัตว์ประหลาด ฉิน พวกเรารับทำงานนี้ จะให้เริ่มงานตอนไหนครับ?” ชาร์คน้อยพูดด้วยความรำคาญ

ด้วยความโมโห กอร์ดอนก็ตวาดว่า “เจ้าโง่ นายไม่รู้เหรอว่าฉันจะต่อราคา? นายทำลายทุกอย่างหมดเลย เพื่อนร่วมทีมจอมทรยศ!”

“นายลองพูดอีกครั้งสิ ไอ้เด็กน้อย วอนอยากโดนแล้วใช่ไหม?”

“ฟัคยู! ก็เข้ามาสิ!”

……………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท