ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1326 สร้างคอกม้า

บทที่ 1326 สร้างคอกม้า

เพราะได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอังกฤษ การแข่งม้าจึงเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมมากในแคนาดา การออกแบบคอกม้ากลายมาเป็นการศึกษาเฉพาะทางแขนงหนึ่ง ทำให้เกิดคอกม้าแบบประกอบชิ้นส่วนขึ้นมา

หากมองดูจากองค์ประกอบโดยรวมแล้ว จะพบว่าวัสดุที่ใช้ทำคอกม้าหลังนี้ไม้กระดานที่ทำมาจากไม้โอ๊ก ด้านนอกเป็นสีแดง ส่วนด้านในเป็นสีน้ำตาลโทนอุ่น วิศวกรอธิบายให้ฟังว่าสีน้ำตาลโทนอุ่นคือสีที่ม้าชอบ ฉินสือโอวจึงถามเขาว่าม้าทุกตัวชอบสีเดียวกันหมดเลยเหรอ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

ถ้าดูจากแบบแปลนและวิดีโอสอนวิธีประกอบจะเห็นได้ว่าคอกม้าหลังนี้เป็นคอกม้าที่สวยมาก ประกอบไปด้วยห้องเดี่ยวทั้งหมดสี่ห้อง โดยจะเป็นการเลี้ยงแบบปิด ทั้งผนังและหลังคาต่างก็ทำมาจากแผ่นไม้หนา ไม้ที่ใช้ก็เป็นไม้ซุงไม่ใช่ไม้กระดานคุณภาพต่ำที่อัดจากผงไม้

ฤดูหนาวของแคนาดามีอากาศหนาวเย็นและในฤดูร้อนก็มีรังสีค่อนข้างสูง คอกม้าแบบปิดจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะสามารถต้านทานอากาศหนาวในฤดูหนาวได้ ทั้งยังสามารถป้องกันรังสีจากดวงอาทิตย์ในฤดูร้อนได้อีกด้วย

หลังจากวิศวกรอธิบายขั้นตอนการประกอบโดยภาพรวมให้ฟังแล้ว หลังจากนั้นฉินสือโอวก็บอกให้แบล็คไนฟ์เริ่มพาพวกเด็กๆ ประกอบสร้างคอกม้า ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยาก

อันดับแรกคือการปูเตียงสำหรับคอกม้าหรือก็คือการปูพื้นคอกม้า ฉินสือโอวเห็นว่าเตียงก็คือพื้นไม้นั่นเอง ซึ่งวิศวกรได้อธิบายให้ฟังว่า “นี่คือไม้เมเปิล มันสามารถป้องกันการลื่นไถลได้ดี แถมยังมีเนื้อไม้ที่ค่อนข้างอ่อนนุ่มซึ่งช่วยปกป้องกีบเท้าของม้าได้”

ฉินสือโอวหยิบพื้นไม้แผ่นแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู แผ่นไม้เรียบลื่นเสมอกันดี พอเขาลองใช้มือดึงดูก็รู้สึกว่าเป็นแผ่นไม้ที่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างดีเลย แต่หลังจากลองใช้มือพลิกไปพลิกมา ตอนที่เอากลับไปวาง เขากลับรู้สึกถึงความเหนียวเหนอะหนะที่มือ จึงถามขึ้นมาว่า “บนแผ่นไม้คืออะไรเหรอ?”

วิศวกรคนนั้นก็ตอบเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นนวัตกรรมของทางบริษัทน่ะครับ เราทาแว็กซ์เคลือบพื้นไม้กันลื่นไว้หนึ่งชั้น หลังจากทาแว็กซ์เคลือบแล้ว ก็จะง่ายต่อการทำความสะอาดและช่วยปกป้องคอกม้า ไม่ให้ถูกย่ำจนพื้นไม้พังได้ด้วย”

ก่อนอื่นต้องปูพื้นคอกม้าไว้บนพื้นดินบริเวณหนึ่ง บูลที่กำลังปูพื้นก็พูดพึมพำขึ้นมาว่า “ชิท บอส ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนสมัยนี้ถึงได้เกลียดคนรวย นายทุนแบบพวกคุณนี่ทำกันเกินไปแล้วจริงๆ”

ฉินสือโอวเองก็กำลังทำงานอยู่เหมือนกัน เขาขนแผ่นไม้ไปด้วยพร้อมกับถามบูลไปด้วย “เป็นอะไรนะ?”

บูลมักจะประสาทเสียอยู่บ่อยๆ แต่แค่ปล่อยเขาไว้เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ฉินสือโอวแบกไม้ไว้สองแผ่น อีวิลสันก็เดินเข้ามารับของไปทั้งหมดแล้วพูดกับเขาด้วยเสียงอู้อี้ในลำคอ “ผมขนเอง บอสไม่ต้องทำหรอกครับ”

ทางด้านบูลก็พูดกับตัวเองว่า “แค่เลี้ยงม้าคุณยังปูพื้นไม้ให้พวกมันเลย แถมผมว่าเนื้อไม้พวกนี้ก็ดีกว่าไม้ที่บ้านผมใช้เสียอีก แล้วแบบนี้ผมจะไม่เกลียดพวกคนรวยได้ยังไงกันล่ะ?”

พอได้ยินที่เขาพูด วิศวกรคนนั้นก็ถึงกับยกยิ้มด้วยความลำพองใจ

หลังจากนั้นชาร์คก็พูดขึ้นมา “ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนที่ไปดูคอกม้าของบ้านอื่น พื้นเตียงคอกม้าที่ใช้ก็มีแต่ดินกับทราย แค่กดอัดพื้นให้เรียบก็พอแล้ว อย่างมากที่สุดก็ใช้ซีเมนต์ทาทับหนึ่งชั้น ยังไม่เคยเห็นที่ไหนปูพื้นไม้มาก่อนเลย”

วิศวกรคนนั้นจึงรีบอธิบายให้พวกเขาฟังว่า “เฮ้ มันไม่เหมือนกันนะเพื่อน พวกคุณลองไปดูคอกม้าของม้าแข่งสิ มีแต่ต้องปูพื้นไม้ทั้งนั้น แบบนี้ถึงจะปกป้องกีบเท้าของม้าได้ และถึงจะไม่ใช้พื้นไม้ แต่ก็อย่าใช้ซีเมนต์เลย ปูพื้นยางมะตอยแทนดีกว่า”

เมื่อปูพื้นเตียงคอกม้าเสร็จ วิศวกรจึงบอกให้พวกเขาพักงานก่อน ส่วนเขาก็หยิบเครื่องมือวัดขึ้นมาลองตรวจสอบ

เนื่องจากจำเป็นจะต้องปูพื้นเตียงให้ลาดเอียงเล็กน้อย ซึ่งแทบจะมองไม่เห็นระดับความลาดเอียง เพื่อให้ปัสสาวะของม้าที่อยู่บนพื้นไหลไปรวมกันได้ง่ายขึ้น และไม่ทำให้ม้าสัมผัสถึงได้ในหลายๆ คราว

หลังจากตรวจดูแล้วเขาก็พยักหน้าพร้อมกับพูดว่า “โอเค ใช้ได้แล้วล่ะ ทำพื้นเตียงเสร็จแล้ว สามารถติดตั้งผนังกับที่กั้นห้องได้เลย”

ฉินสือโอวหยิบแบบแปลนขึ้นมาดู คอกม้าหลังนี้มีห้องแยกทั้งหมดสี่ห้อง ห้องขนาดราวๆ แปดตารางเมตรเป็นห้องที่จัดไว้ให้ลูกม้าอยู่ ส่วนอีกสองห้องที่มีขนาดพื้นที่สิบกว่าตารางเมตรจัดไว้ให้ม้าโตเต็มวัย

ใช้ค้อน คีมกับเลื่อยไฟฟ้าร่วมกัน แค่แป๊บเดียวพวกทหารก็ติดตั้งที่กั้นห้องเสร็จ ดังนั้นหลังจากติดตั้งผนังเสร็จคอกม้าทั้งหลังก็จะประกอบกันเป็นรูปเป็นร่างแล้ว

แต่ยังมีของบางอย่างที่ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดำเนินการ หลังจากติดประตูคอกเสร็จ วิศวกรก็บอกให้กั้นห้องเล็กแยกไว้ด้านนอกอีกหนึ่งห้อง เรียกว่ากำแพงบังลม เนื่องจากบนเกาะมีลมพัดแรงและม้าก็ทนลมพัดไม่ไหว

ต่อจากนั้นก็เป็นการติดตั้งวงจรไฟฟ้า เสียบสายไฟแต่ละเส้นเข้าไปแล้วติดเต้ารับไว้ในจุดที่มีการป้องกันในหลายๆ มุมเต้ารับแต่ละอันจะมีฝาครอบป้องกัน เพื่อลดอันตรายจากการถูกไฟดูด

แต่ฉินสือโอวคิดว่านี่ไม่จำเป็นเท่าไรเลย วิศวกรคนนั้นจึงพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าดูถูกมันนะ เพื่อน ทุกปีมีม้าอย่างน้อยสิบตัวที่ถูกไฟดูดตาย เพราะพวกมันชอบถ่ายหนักถ่ายเบาไปทั่ว และของพวกนี้ยังเป็นสื่อกระแสไฟฟ้า เพราะอย่างนั้นคุณลองคิดดูสิว่าถ้ามีม้าสักตัวฉี่รดเต้ารับ…”

“โอ้ ชิท ภาพเหตุการณ์แบบนั้นมันดุเดือดเกินไปแล้ว!” แบล็คไนฟ์พูดไปขำไป

แอร์แบ็คก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน เขากล่าวว่า “เพื่อนเอ๋ย ฉันก็เคยดวงดีได้เห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน ตอนอยู่บ้านเก่าที่แดลลัส คอกม้าของเพื่อนของพ่อฉันเกิดปัญหาขึ้นมา ฉันเลยตามไปดูด้วย ฟัค บางส่วนของม้าตัวนั้นดูแทบไม่ได้เลยล่ะ!”

“ถูกเผาจนเกรียมเลยเหรอ?” แบล็คไนฟ์ถาม

แอร์แบ็คตอบว่า “ไม่ ไม่ถึงกับเกรียม แต่ฉันมั่นใจว่าน่าจะสุก ถูกไฟช็อตจนสุกเลย”

“ทำไมล่ะ? นายดูจากอะไร?”

“ก็เพราะว่ากลิ่นเนื้อย่างมันลอยคลุ้งขึ้นมาในอากาศน่ะสิ”

ออสเปรก็พูดอย่างยิ้มๆ ว่า “แล้วพวกนายได้โรยพริกป่นกับผงยี่หร่าก่อนกินมันไหมล่ะ? พวกคาวบอยน่าจะกล้ากินทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอ?”

แอร์แบ็คเตะเขาเข้าให้หนึ่งที แล้วพูดกับเขาว่า “ฟัคยู ไอ้เวรออสเปร นายกำลังดูถูกคาวบอยอยู่นะโว้ย! ถ้ากล้าไปพูดแบบนี้ที่แดลลัสล่ะก็ ฉันกล้าพูดเลยว่าแค่ห้าวินาทีนายก็โดนเป่าหัวกระจุยแล้ว!”

พอได้ฟังที่พวกเขาคุยกัน ฉินสือโอวก็หันไปพูดกับวิศวกรคนนั้นว่า “เอาล่ะ เพื่อน ผมต้องขอยอมรับเลยว่า พวกคุณเก็บรายละเอียดงานได้ดีจริงๆ คุ้มค่ากับเงินก้อนนี้ของผมมากๆ ใช่ไหมล่ะ?”

เชื่อมต่อวงจรไฟฟ้าเสร็จแล้ว ต่อจากนั้นก็ติดหน้าต่าง หน้าต่างของคอกม้าจะต้องรับแสงและถ่ายเทอากาศได้ดี ทุกห้องจะต้องเหลือรูระบายอากาศไว้ด้านใน ฉินสือโอวถามว่ามีไว้ทำไม วิศวกรจึงตอบว่านี่คือรูสำหรับท่อของเครื่องปรับอากาศ

“บูลพูดถูกแล้วล่ะ ฉันก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ยังจะต้องติดเครื่องปรับอากาศไว้ในห้องของม้าพวกนี้ด้วยเหรอ?” แบล็คไนฟ์พูดด้วยความไม่พอใจ “ขอบอกไว้เลยนะว่าเมื่อสามสิบปีก่อน คนดำอย่างพวกเรายังไม่มีของพวกนี้ให้ใช้เลย”

วิศวกรคนนั้นจึงพูดกับพวกเขาว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นหรอก เพียงแต่ว่าคอกม้าของพวกเราเป็นอุปกรณ์ระดับไฮเอนด์ สามารถนำไปใช้เลี้ยงม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตได้ ม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตหนึ่งตัวราคาอย่างต่ำๆ ก็เป็นล้านแล้ว ถ้าเสียเงินอีกไม่กี่ร้อยดอลลาร์ติดเครื่องปรับอากาศสักตัวก็คงไม่ถือว่าเป็นของฟุ่มเฟือยหรอกใช่ไหมล่ะ?”

เครื่องปรับอากาศไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับการเลี้ยงม้าธรรมดาอย่างม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์หรือม้าควอเตอร์ แค่หน้าต่างก็สามารถปรับอุณหภูมิได้แล้ว

ขนาดพื้นที่ของหน้าต่างกับขนาดพื้นที่ของห้องมีอัตราส่วนที่ตายตัว คอกม้าทั้งหลังจะมีอัตราส่วนอยู่ที่ 1:12 อัตราส่วนหน้าต่างของห้องม้าจะเท่ากับ 1:10 โดยที่หน้าต่างจะสูงจากพื้น 2 เมตร แล้วกินพื้นที่ขึ้นไปถึงหลังคา

หลังจากติดหน้าต่างเสร็จก็มาปูทางฝึกม้า ซึ่งก็คือทางเดินในคอกม้านั่นเอง ซึ่งส่วนนี้แค่อัดดินให้แน่นก็ใช้ได้แล้ว วิศวกรแนะนำให้ฉินสือโอวใช้คอนกรีตปิดทับ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหนูขุดจนเป็นรูแล้วมุดขึ้นมาทำให้ม้าตกใจ

ขั้นตอนสุดท้ายคือการมุงหลังคา ประกอบโครงสร้างหลักของคอกม้าเสร็จแล้ว ทางบริษัทยังได้ส่งอุปกรณ์เสริมอย่างรางใส่น้ำกับรางใส่อาหารมาให้ด้วย รางใส่อาหารเป็นแบบสามารถเคลื่อนย้ายได้ ทั้งยังแข็งแรงทนทานและง่ายต่อการล้างทำความสะอาด

วิศวกรลองแสดงตัวอย่างให้พวกเขาดูว่ารางให้อาหารอันนี้สามารถปรับระดับความสูงได้ ดังนั้นจึงปรับให้เหมาะกับความสูงของม้าได้ รางให้อาหารมีความสูงอยู่ระหว่าง 80 เซนติเมตรถึงสองเมตร ลึกสี่สิบเซนติเมตร มีรูปร่างเป็นทรงกลม ซึ่งสามารถป้องกันไม่ให้กระแทกกับม้าได้

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท