ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1328 ปลาหัวเมือกที่ดีที่สุด

บทที่ 1328 ปลาหัวเมือกที่ดีที่สุด

ฉินสือโอวทานมื้อเช้าแล้วไปที่ท่าเรือตั้งแต่เช้าตรู่ วันนี้ต้องออกทะเลเพื่อไปจับปลาหัวเมือก เขาต้องออกไปกับเรือด้วย เพราะปลาชนิดนี้เป็นปลาที่ค่อนข้างหายาก

รอจนเขาขึ้นเรือแล้ว บูลที่กำลังปัดกวาดเรือฮาวิซทอยู่ก็พูดกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า “เฮ้ บอสครับ วันพรุ่งนี้จะมีพระจันทร์สีเลือด คุณคิดว่าจะใช้อะไรดูมันเหรอ?”

ฉินสือโอวหยุดฝีเท้า แล้วพูดกับเขาว่า “พระจันทร์สีเลือด? ใช่แล้ว ฉันจำได้ว่าครั้งก่อนชาร์คบอกว่าเราจะได้เห็นพระจันทร์สีเลือดตั้งแต่เดือนก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังไม่ได้เห็นอีกล่ะ?”

ชาร์ควางถังน้ำที่อยู่ในมือลง แล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มเก้อเขิน “ชิท ตอนนั้นผมเห็นจากข่าวที่มีคนแชร์มา ไอ้โง่นั่นเขียนเวลาผิดน่ะครับ ต้องเดือนสิงหาคมถึงจะได้เห็นพระจันทร์สีเลือดใช่ไหมล่ะ?”

ฉินสือโอวจ้องมองเขาพร้อมกับพูดว่า “อย่าบอกฉันนะว่า ไอ้โง่คนนั้นชื่อว่าชาร์ค”

บูลและคนอื่นๆ ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที ชาร์คไหวไหล่แล้วพูดว่า “ตอนนั้นฉันไม่ได้ดูให้ดี โอเคไหม? เลิกหัวเราะได้แล้ว บอส คุณจะดูพระจันทร์สีเลือดด้วยวิธีไหน?”

ฉินสือโอวจึงถามเขากลับไปว่า “มันจะอยู่ให้เห็นนานแค่ไหนล่ะ?”

พวกชาวประมงหันมาสบตากันหลังจากนั้นก็พากันไหวไหล่ “นายรู้ไหม?” “ไม่รู้ ฉันไม่รู้ แล้วนายล่ะ?” “พูดอะไรไร้สาระขนาดนี้วะ ถ้าฉันรู้ฉันจะถามนายทำบ้าอะไร?”

“แต่ถึงยังไงก็คงไม่อยู่ตลอดทั้งคืนหรอก จันทรุปราคาเต็มดวงหายไปเร็วมากๆ” นีลเซ็นกล่าว

เบิร์ดชี้ไปที่เขาแล้วพูดว่า “ใช่ๆ นีลเซ็นนายพูดถูก นายแม่งเป็นอัจฉริยะทางวิทยาศาสตร์ที่โคตรแย่เลย คิดว่าพวกเราไม่รู้หรือยังไงว่าจันทรุปราคาเต็มดวงจะไม่อยู่ให้เห็นตลอดทั้งคืนน่ะ?”

บูลพูดกับชาร์คว่า “แล้วมือถือซูเปอร์โฟนของนายล่ะ? รีบใช้อินเทอร์เน็ตค้นเร็ว”

ชาร์คควักก้อนอิฐสีดำยี่ห้อโนเกียออกมา แล้วพูดว่า “ใช้นี่ค้นแทนได้ไหมล่ะ? ไอโฟนเครื่องนั้นฉันให้แพรีสไปแล้วล่ะ”

พวกชาวประมงคุยกันเรื่องไร้สาระเก่งมากๆ พอเปิดประเด็นคุยกันเรื่องนี้ พอคุยกันจนถึงตอนท้ายฉินสือโอวเองก็ไม่รู้แล้วว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่

“เอาล่ะๆ ทำงานกันเถอะ เรื่องแบบนี้พวกนายคุยกันแล้วสนุกมากเลยหรือไง?” ฉินสือโอวพูดไปส่ายหัวไป

ชาร์คพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นบอสอยากไปดูพร้อมกับพวกเราไหมล่ะครับ? พวกเราจะเข้าไปในเมือง จะได้ดูพร้อมกับทุกคน จะต้องสนุกสุดยอดแน่ๆ ผมยังไม่เคยดูพระจันทร์สีเลือดมาก่อนเลย”

ฉินสือโอวก็พูดว่า “ทำไมต้องเข้าไปดูถึงในเมือง? ที่ฟาร์มปลาก็ไม่ใช่ว่าจะมองไม่เห็นสักหน่อย”

“แต่คุณมีกล้องโทรทรรศน์ไหมล่ะ? กล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์ ที่หน้าตาเหมือนกับปืนใหญ่นั่นน่ะ” ชาร์คถาม

ฉินสือโอวส่ายศีรษะ “ดูของพวกนั้นต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์ด้วยเหรอ? ใช้ตาเปล่ามองไม่เห็นเหรอ?”

นีลเซ็นจึงพูดกับเขาว่า “ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นครับบอส ใช้กล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์ก็จะเห็นได้ชัดกว่าตั้งเยอะ แล้วคุณก็จะเห็นรายละเอียดต่างๆ บนดวงจันทร์ได้ชัดกว่าด้วย แบบนั้นจะต้องทำให้คุณทึ่งได้แน่ๆ”

“ฮิวจ์คนน้องมีกล้องโทรทรรศน์แบบนี้อยู่ตัวหนึ่ง ถ้าอยากดูอะไรพวกเราก็จะไปหาเขา”

ฉินสือโอวลองคิดๆ ดูหลังจากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันจะลองดูแล้วกัน ถ้าวินนี่ชอบเหมือนกัน ฉันก็จะเข้าเมืองไปพร้อมกับพวกนายด้วย”

ปัดกวาดเรือประมงเรียบร้อย พวกชาวประมงก็ออกทะเลได้ ก่อนอื่นจะต้องวนดูบริเวณแถบชายฝั่งทะเลของฟาร์มปลาก่อน ฉินสือโอวมองลงไปในน้ำ น้ำทะเลที่นี่ใสสะอาดไม่มีอะไรเทียบได้ จนทำให้สามารถมองเห็นวิวและหอยทะเลที่อาศัยอยู่ใต้น้ำได้อย่างชัดเจน

หอยเชลล์อาศัยอยู่ในบริเวณแถบชายฝั่งทะเลได้อย่างดี ฉินสือโอวจึงพยักหน้าพูดด้วยความพึงพอใจว่า “สวยงามมากๆ บางทีฉันน่าจะหาสัตว์ทะเลชนิดใหม่มาเลี้ยงเพิ่ม พวกนายคิดยังไงถ้าฉันจะเพาะเลี้ยงหอยนางรม?”

“ก็ไม่ยังไงนะครับ” ชาร์คเดินเข้ามาพูดกับเขา “ในข่าวใหม่บอกว่า CFIA ออกประกาศเมื่อวันที่ 9 ว่าหอยนางรมที่เพาะพันธุ์ในรัฐบริติชโคลัมเบียประสบปัญหาการปนเปื้อนของเชื้อวิบริโอพาราแฮโมไลติคัส ต้องนำออกจากชั้นวางจำหน่ายทั้งหมด ตอนนี้มีเคสผู้ป่วยที่เกิดจากแบคทีเรียชนิดนี้อยู่หลายรายแล้ว”

CFIA คือหน่วยงานตรวจสอบอาหารของแคนาดา โดยจะรับผิดชอบด้านความปลอดภัยของอาหารในประเทศ เวลาที่ฟาร์มปลาต้าฉินจะส่งออกอาหารทะเลก็ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดจากหน่วยงานนี้เช่นกัน

ฉินสือโอวไม่ได้ติดตามข่าวนี้ พอเขาลองถามชาร์ค ชาร์คก็เล่าให้เขาฟัง หลังจากนั้นก็เข้าไปเอาหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นออกมาจากเคบินเรือเพื่อให้ฉินสือโอวอ่านข่าวนี้เอาเอง

ในฐานะที่เป็นเจ้าของฟาร์มปลา เขาจึงจำเป็นต้องติดตามกระแสความเคลื่อนไหวของตลาดค้าอาหารทะเล โดยปกติแล้วฉินสือโอวจะศึกษาจากข่าวด้านการตลาดในตอนกลางคืน แต่ช่วงนี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเพื่อสร้างวังคริสทัลใต้ทะเล ทำให้พลาดข่าวไปบ้าง

ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้รัฐบริติชโคลัมเบียมีผู้ที่ป่วยจากเชื้อวิบริโอพาราแฮโมไลติคัสอยู่หลายราย ตอนแรก CFIA ยังหาสาเหตุไม่พบ เมื่อเร็วๆ นี้ถึงเพิ่งพบว่าหอยนางรมที่ใช้เป็นวัตถุดิบในร้านอาหารตะวันตกบางแห่งมีปัญหา ในขณะนี้เคสผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องก็เพิ่มขึ้นเป็น 70 รายแล้ว เฉพาะสำนักงานสาธารณสุขชายฝั่งแวนคูเวอร์เพียงแห่งเดียวก็มีผู้ป่วยมากกว่า 30 รายแล้ว

จากนั้น CFIA จึงออกประกาศเรียกเก็บอาหารโดยกำหนดให้ทุกช่องทางการจำหน่ายรวมถึงร้านค้าปลีก ผู้จัดจำหน่าย ร้านอาหารและผับบาร์ ให้นำหอยนางรมที่สงสัยว่าจะมีการปนเปื้อนของแบคทีเรียเหล่านี้ออกจากชั้นวางจำหน่าย พร้อมทั้งดำเนินการตรวจสอบหอยนางรมที่วางจำหน่ายในตลาดอย่างเคร่งครัด

ชาวแคนาดามักจะเกิดปัญหากับการทานอาหารทะเล เนื่องจากชาวแคนาดาและชนพื้นเมืองอเมริกันมักจะนิยมรับประทานอาหารหลายอย่างแบบดิบๆ การทานหอยนางรมสดๆ ก็ยิ่งมีมากเป็นพิเศษ ทุกๆ ปีจะเกิดกรณีผู้ป่วยจากการติดเชื้อวิบริโอพาราแฮโมไลติคัส เพียงแต่ว่าปีนี้มีมากกว่าทุกปีเท่านั้นเอง

เมื่อได้อ่านข่าวนี้ไปแล้ว ฉินสือโอวก็พับความคิดที่จะเลี้ยงหอยนางรมของปีนี้เก็บไว้ทันที หอยนางรมที่ดีที่สุดในแคนาดาล้วนแต่ถูกเพาะเลี้ยงที่รัฐบริติชโคลัมเบีย ที่จริงแล้วหลังจากการล่มสลายของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ ศูนย์กลางการผลิตอาหารทะเลก็ย้ายไปอยู่ที่รัฐบริติชโคลัมเบียแทน

ที่อเมริกาเหนือ สิ่งที่อุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกลัวที่สุดก็คือการประสบกับปัญหาเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน เชื้อรากุ้งมังกรแก๊ฟคี่ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตกุ้งมังกรทรุดตัวลงอย่างไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้ หอยนางรมก็ดันมาประสบกับวิกฤตการณ์เชื้อวิบริโอพาราแฮโมไลติคัสปนเปื้อนอีก ดูท่าว่าอุตสาหกรรมสัตว์น้ำคงจะซวยหนักเลยทีเดียว

โชคดีที่เชื้อวิบริโอพาราแฮโมไลติคัสไม่ได้ทำให้หอยนางรมตาย แรงโจมตีที่มีต่อธุรกิจนี้จึงไม่รุนแรงนัก ไม่เหมือนกับเชื้อรากุ้งมังกรแก๊ฟคี่ที่ทำให้กุ้งมังกรใกล้ชายฝั่งทะเลล้มตายทั้งหมด

เรือฮาวิซทขับมาถึงริมขอบบริเวณเขตน้ำทะเลลึก อวนลากแผ่นตาข่ายยาวๆ ถูกทอดลงไป หลังจากลากแหออกแล้วความเร็วของเรือก็ถูกลดระดับลงเพื่อเริ่มดำเนินการจับปลา

อวนกลุ่มแรกถูกยกขึ้นมา ข้างในล้วนแต่เต็มไปด้วยปลาหัวเมือกตัวอวบอ้วนสีแดง ชาร์คจับปลาติดมือขึ้นมาสองตัวแล้วใช้มีดผ่าตัดกรีดผ่าท้องปลาเพื่อตรวจสอบหลังจากนั้นจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “สภาพการกินไม่เลวเลย เหมือนว่าแถวนี้จะมีอาหารอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์เลยล่ะ”

แลนซ์พูดขึ้นมาว่า “นี่ปกติจะตาย ฉันยังไม่เคยจับปลาตัวไหนในฟาร์มของพวกเราขึ้นมาแล้วเห็นว่ามีตัวไหนกินไม่อิ่มเลยนะ”

ต่อจากนั้นชาร์คก็เฉือนเนื้อปลาออกเป็นแผ่นๆ บูลนำชามใส่น้ำสะอาดออกมาวาง แล้วพวกชาวประมงก็พากันเข้ามาหยิบเนื้อปลาขึ้นมาส่องกับแสงอาทิตย์ สะบัดเนื้อปลาลงในน้ำสะอาดสองสามทีแล้วทานเข้าไปทั้งอย่างนั้น

ขณะที่กำลังทานเนื้อปลาพวกชาวประมงก็พร้อมใจกันพยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม คุณภาพเนื้อปลานี่ดีจริงๆ ปลาหัวเมือกรอบนี้ถือว่าเยี่ยมยอดสุดๆ เลย”

ไม่ใช่ว่าพวกชาวประมงตะกละ ที่เมื่อสักครู่พวกเขายกเนื้อปลาขึ้นส่องกับแสงแดดก็เพราะต้องการจะดูว่ามีปรสิตอยู่ในเนื้อปลาหรือเปล่า อีกทั้งการทานเนื้อปลาดิบก็ตัดสินจากสภาพการณ์ปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ถ้ามีเชื้อแบคทีเรียอยู่ในตัวปลา รสชาติของเนื้อปลาก็จะเปลี่ยนไป

ฉินสือโอวไม่ได้ทำงานพวกนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาคิดว่าการทานเนื้อปลาดิบก็คือพฤติกรรมที่รนหาที่ตายให้ตัวเองอย่างหนึ่ง ถ้าหากมีเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือปรสิตปนเปื้อน แบบนั้นคงจะจบไม่สวยเท่าไรนัก

เพราะเป็นคนหลังยุคแปดศูนย์ที่เคยประสบกับโรค SARS มาก่อน ชีวิตนี้ทั้งชีวิตท่านชายฉินจึงไม่มีทางที่จะกินของดิบเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นเป็ดไก่ปลาหรือแพะแกะวัวหมูก็ตาม บทเรียนจากอีเห็นเครือยังไม่เพียงพออีกเหรอ?

ปลาหัวเมือกของฟาร์มปลามีคุณภาพดีเยี่ยม อวบอ้วนสมบูรณ์ เมื่อดูจากภายนอกแล้วจะให้ความรู้สึกเหมือนปลาทองตัวอ้วนอยู่หน่อยๆ ซึ่งพบได้น้อยมาก เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วปลาจากทะเลลึกส่วนใหญ่จะมีลักษณะลำตัวเรียวยาว ไม่อวบอ้วน ซึ่งฟาร์มปลาต้าฉินก็สามารถเพาะเลี้ยงปลาหัวเมือกคุณภาพเยี่ยมแบบนี้ออกมาได้

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท