ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1318 ฉงต้าเจ็บปวดหัวใจ

บทที่ 1318 ฉงต้าเจ็บปวดหัวใจ

ตอนนี้ฉงต้าเป็นหมีโตเต็มวัยที่มีรูปร่างสูงใหญ่แล้ว พอมันวิ่งอยู่บนเกาะล่องแก่ง แล้วเกาะพลาสติกอันเล็กๆ จะไปรับไหวได้อย่างไรกัน? ทันใดนั้นเกาะพลาสติกทั้งอันก็สั่นไหวอย่างรุนแรง

กล้ามเนื้อของหลัวปอแข็งตึงไปทั่วทั้งร่างกาย ขนนุ่มละเอียดสีขาวราวกับหิมะเส้นยาวตั้งตรงขึ้น มันแหงนหน้าถลึงตาใส่ฉงต้าพร้อมกับส่งเสียงร้องคำรามอย่างเดือดดาล “โฮ่งๆ! โฮ่งๆๆๆ!”

ฉินสือโอวหยุดเจ็ทสกี เขาหันกลับไปมอง เขาเข้าใจความหมายจากเสียงเห่าร้องของหลัวปอได้ในทันที ไอ้เซ่อแกอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ! นั่งลง! ไม่อย่างนั้นก็ไสหัวออกไปซะ!

ฉงต้าเลือกทางสุดท้าย มันวิ่งบุกเข้าไปหาเรือของพวกชาร์ค พอวิ่งมาถึงริมเกาะล่องแก่งมันก็กระทืบเท้าอย่างแรงแล้วกระโดดลงไปในน้ำ ว่ายน้ำไปทางฟาร์มปลาเหมือนกับทุ่นลูกบอลลอยน้ำ

ราวกับว่าเกาะล่องแก่งกำลังประสบกับแผ่นดินไหว ครึ่งหนึ่งของเกาะจมลงไปในน้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้แผ่นพลาสติกอีกครึ่งหนึ่งจึงกระดกขึ้นไปข้างบน พวกสัตว์เลี้ยงที่อยู่บนเกาะก็พากันลื่นจนตกลงไปในน้ำ

หู่จือเป้าจือไม่สนใจ พวกมันว่ายน้ำเป็นอยู่แล้ว ราชาเจ้าป่าซิมบ้าเองก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน ก็แค่น้ำ ถ้าดื่มเข้าไป ก็แค่คายออกมา นี่มีอะไรน่ากลัวตรงไหนกัน?

หลัวปอตกใจกลัวจนแทบทนไม่ไหวแล้ว เดิมทีหน้าก็เป็นสีขาวเหมือนหิมะอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะขาวซีดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก…

แต่ว่าอุ้งเท้าของมันยังคงยึดติดอยู่ในร่องบนแผ่นพลาสติกอย่างเหนียวแน่น ทำให้มันไม่ได้ลื่นตกลงไปในน้ำ แต่ห้อยอยู่บนเกาะล่องแก่งแทน เมื่อเป็นแบบนี้พอเกาะล่องแก่งค่อยๆ ลอยขึ้นมามันก็เลยปลอดภัยไม่ตกลงไปในน้ำ

ปอหลัวก็ไม่กลัวน้ำเหมือนกัน หลังจากร่วงลงไปในน้ำมันก็เริ่มดำผุดดำว่ายทันที มันดำน้ำลงไปดูว่าพอจะมีสาหร่ายทะเลที่มันสามารถงมขึ้นมากินได้บ้างไหม

ราชาเจ้าป่าซิมบ้าเองก็ไม่ได้กลัวน้ำ หลังจากร่วงลงไปในน้ำ ซิมบ้าก็ขยับขาทั้งสี่ข้างว่ายน้ำอย่างสบายอกสบายใจ หลังจากนั้นไม่กี่วินาที สีหน้าไม่ทุกข์ไม่ร้อนก็หายไปไม่เหลือไว้ให้เห็น ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัว แล้วลูกแมวป่าก็ค่อยๆ จมลงไปในน้ำ

ฉินสือโอวหมุนตัวกลับไปมองดูสัตว์เลี้ยงที่กำลังสร้างความวุ่นวายอยู่ในน้ำ หลังจากนั้นเขาก็ถามชาร์คว่า “แมวป่าก็ว่ายน้ำเป็นเหรอ?”

ชาร์คพูดอย่างงงงันว่า “ไม่รู้สิครับ สัตว์ตระกูลแมวน่าจะว่ายน้ำไม่เป็นไม่ใช่เหรอครับ? เขาว่ากันว่าแมวเป็นสัตว์ที่ได้มาจากการฝึกสอนของคนอียิปต์ไม่ใช่เหรอ? อียิปต์ไม่มีทะเล แล้วพวกมันจะว่ายน้ำเป็นได้ยังไง?”

บูลเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “พูดจาไร้สาระ ทะเลแดงไม่ใช่ทะเลเหรอ? ในหนังสืออพยพ ศาสดาพยากรณ์โมเสสผ่านไปที่ไหนกันล่ะ? ไม่ใช่ทะเลแดงหรอกเหรอ?”

แซ็กเห็นด้วยกับบูล จึงพูดขึ้นมาว่า “ใช่ เพื่อน นายพูดถูกทุกอย่างเลย ‘เมื่อเวลานั้นมาถึง เมื่อโมเสสชี้ไม้เท้าไปที่ทะเล พระยโฮวาห์ก็บันดาลให้เกิดลมตะวันออก ทำให้น้ำทะเลถอยกลับอยู่หนึ่งคืน น้ำแยกออกจากกัน ทะเลที่เหือดแห้งกลายเป็นพื้นดิน ชาวอิสราเอลเดินลงสู่พื้นดินบนทะเลที่เหือดแห้ง น้ำกลายเป็นกำแพงขนาบข้างพวกเขาทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาแบบนั้นใช่ไหม?”

นีลเซ็นก็พูดว่า “แมวเบงกอลก็ว่ายน้ำได้นะ แต่ว่า ทำไมพวกเราต้องเถียงกันเรื่องนี้ด้วย? บอส แมวป่าว่ายน้ำไม่ได้นะ พวกมันอาศัยอยู่บนต้นไม้กับในพื้นหิมะ จะว่ายน้ำเป็นได้ยังไง?”

ฉินสือโอวชะงักงันไปทันที ต่อจากนั้นเขาก็สบถออกมาว่า ‘ชิท’ แล้วกระโดดจากเจ็ทสกีลงไปในทะเล จิตสำนึกแห่งโพไซดอนมองหาลูกแมวป่าจนเจอ เจ้าเด็กนี่ว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆ ขาเล็กสั้นทั้งสี่ข้างปัดป่ายไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ตัวของมันก็ยังจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ

เขากลัวว่าลูกแมวป่าจะเป็นอะไรไป ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนม้วนเอามันขึ้นมา ส่งมันขึ้นมาให้พ้นผิวน้ำ หลังจากนั้นเขาก็ว่ายน้ำเข้าไปหาลูกแมวป่าอย่างรวดเร็ว แล้วพามันขึ้นไปอยู่บนเกาะล่องแก่ง

นีลเซ็นที่อยู่บนเรือพูดขึ้นมาว่า “ร่างกายของแมวป่าไม่เหมาะกับการว่ายน้ำ เพื่อให้อุ้งเท้าของพวกมันปรับตัวเข้ากับการเดินบนพื้นหิมะ มันเลยมีขนที่ยาวมาก เหมือนกับสวมรองเท้าบูตกันหิมะ ฉันขอถามพวกนายหน่อย มีตัวอะไรบ้างที่สวมรองเท้าบูตกันหิมะแล้วยังว่ายน้ำได้?”

ฉินสือโอวลองหันไปมองดู ขนเส้นบางละเอียดบนขาสั้นเล็กของราชาเจ้าป่าซิมบ้าเปียกจนกลายเป็นกลุ่มก้อน ถ้าให้มันสะบัดขาว่ายน้ำภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็นับว่ารังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ

“แล้วทำไมนายไม่รีบบอกตั้งแต่แรก?” ฉินสือโอวถลึงตาใส่นีลเซ็นอย่างคนอารมณ์ไม่ดี

นีลเซ็นไหวไหล่ “ผมไม่ทันสังเกต ผมแค่อยากรู้ว่า ฉงต้าว่ายน้ำมาทางพวกเราทำไม?”

เรื่องนี้ฉินสือโอวก็เพิ่งรู้ว่าเมื่อสักครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เขากล่าวว่า “ใครเป็นคนแขวนปลาไว้บนเรือ? นี่คือปลาอะไร? ทำไมถึงได้แขวนไว้เยอะขนาดนี้?”

ด้านนอกตรงด้านข้างเรือที่ขับมามีปลาตัวอ้วนหลายสิบตัวที่ถูกร้อยเข้าไว้กับเส้นเอ็นตกปลา ปลาพวกนี้มีสีแดงทั่วทั้งตัว กำลังแกว่งไปแกว่งมาอาบแสงแดดอยู่ตรงนั้น คิดว่าฉงต้าน่าจะเห็นแล้วเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมา

ชาร์คชี้ไปที่ปลาที่แขวนไว้ข้างนอกพวกนั้นแล้วพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “นั่นคือปลากะพงแดงครับ เรียกอีกอย่างว่าปลาแดง เหมาะกับการนำมาทำเป็นปลาตากแห้งมากๆ เพราะพวกมันไม่ดึงดูดแมลงวัน”

ฉินสือโอวพยักหน้ารับ นีลเซ็นบอกให้บูลขับเรือเข้าไปใกล้ๆ แล้วส่งผ้าขนหนูที่ยังแห้งอยู่ให้กับเขาหนึ่งผืนพร้อมกับบอกว่า “รีบเช็ดตัวลูกแมวป่าให้แห้งเถอะครับ สัตว์ตระกูลแมวนอกจากเสือดาว แมวเบงกอลกับพวกที่เหลืออีกไม่กี่ชนิด พวกสัตว์ชนิดอื่นในตระกูลแมวถ้ามีน้ำเกาะอยู่บนตัวนานๆ ต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่”

ฉินสือโอวปีนขึ้นไปบนเกาะล่องแก่ง แล้วย้ายแมวป่ามาอยู่ตรงกลาง

หลัวปอคลานไปข้างหน้าอย่างผู้มีประสบการณ์ มันเคลื่อนที่ทีละก้าวไปจนถึงตรงกลาง หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา แล้วมุดหัวเข้าไปในอ้อมกอดของฉินสือโอว ไม่ยอมแม้กระทั่งจะหันไปมองดูทะเล ไม่มองก็ไม่เห็นจะได้ไม่ต้องกลัว

หลังจากเล่นกันอยู่ในน้ำได้สักพักหู่จือก็อยากปีนขึ้นมาบ้าง ฉินสือโอวเข้าไปผลักมันลงน้ำอีกครั้ง พอเป้าจือจะปีนขึ้นมาจากอีกฝั่ง เขาก็วิ่งไปผลักมันลงน้ำอีกรอบ

หู่จือกับเป้าจือรู้สึกกระปรี้กระเปร่าคึกคักขึ้นมาทันที พวกมันชอบเล่นมากจริงๆ พอเห็นว่าฉินสือโอวยอมเล่นเป็นเพื่อน พวกมันก็ไม่เหน็ดไม่เหนื่อยอีกต่อไป พากันว่ายน้ำรอบเกาะล่องแก่ง แล้วหลังจากนั้นก็ปีนขึ้นมา

ฉินสือโอววิ่งไปผลักพวกมันให้ลงไปจากเกาะ ปอหลัวมองดูอยู่สักพักแล้ว มันก็รีบว่ายน้ำเข้ามาหาเพราะอยากเล่นเกมด้วยเหมือนกัน ในตอนนี้ฉงต้าที่กินปลาแดงไปสองตัวก็กำลังกลับมาหาอย่างอืดอาดเชื่องช้า แน่นอนว่า ฉินสือโอวก็ไม่ยอมปล่อยให้มันขึ้นมาบนเกาะล่องแก่งเหมือนกัน

ฉงต้ากระวนกระวายใจขึ้นมาแล้ว มันยื่นอุ้งเท้าใหญ่ออกไปตบเกาะล่องแก่งอย่างแรง อีกนิดเดียวก็จะทำให้เกาะล่องแก่งคว่ำแล้ว

ซิมบ้ากับหลัวปอตกใจกลัวจนฉี่แทบราด จนพากันขู่คำรามใส่ฉงต้าไม่หยุด

ฉินสือโอวลากฉงต้าให้ว่ายน้ำออกไปไกลๆ หลังจากนั้นเขาก็ขึ้นไปบนเจ็ทสกี แล้วเร่งคันเร่งลากเกาะล่องแก่งออกไป

ฉงต้าร้อนใจจะแย่แล้ว มันปัดป่ายอุ้งเท้าที่ทั้งใหญ่ทั้งหนาอย่างแรง พยายามยื่นคอออกมาให้พ้นผิวน้ำ พร้อมกับร้องสะอึกสะอื้นครวญครางเรียกหาฉินสือโอว

ฉินสือโอวขับห่างออกไปอีกนิด เขายิ้มแล้วหันหลังกลับมามองดู ทันใดนั้นเขาก็พบว่าฉงต้าไม่ได้ตามมาด้วยแล้ว แต่ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำแล้วจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น

พอเห็นว่าฉงต้าไม่เล่นด้วย ฉินสือโอวเลยต้องขับกลับไปหามัน แต่ปรากฏว่าพอเข้าไปใกล้ๆ เขาก็ถึงกับตกใจอย่างหนัก ดวงตาของฉงต้าเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ถึงแม้ว่าบนตัวบนหัวของมันจะมีแต่น้ำทะเล แต่ฉินสือโอวก็แยกได้ว่าอันไหนคือน้ำทะเลแล้วอันไหนคือน้ำตาของมัน

เกาะล่องแก่งกลับมาแล้ว แต่ฉงต้าก็ไม่ได้ปีนขึ้นไป มันเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองมาที่ฉินสือโอว หยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงตากลมโตของมันอยู่เนืองๆ

ฉินสือโอวรีบลงน้ำเพื่อไปกอดมัน เขายื่นมือออกไปเช็ดน้ำตาให้มัน หลังจากนั้นก็ดันมันขึ้นไปบนเกาะล่องแก่ง ในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจแล้ว เมื่อกี้เขาเล่นแรงเกินไป ทำให้ฉงต้าตกใจจนแทบแย่แล้ว

เขาตามมันขึ้นมาบนเกาะล่องแก่ง หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดขนให้ฉงต้า แต่ฉงต้าก็ไม่สนใจเขา มันฟุบอยู่บนเกาะล่องแก่งมุดหัวเข้าไปในอุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้าง เหมือนกับว่ากำลังนอนหลับอยู่ ไม่ว่าใครจะผ่านเข้ามามันก็ไม่สนใจทั้งนั้น

รอจนกลับมาถึงฝั่ง ฉงต้าก็ลุกขึ้นมา แล้วเดินกลับไปที่วิลล่าด้วยความหดหู่ไม่มีชีวิตชีวา ฉินสือโอวเข้าไปสางขนบนหลังให้มัน ปกติเวลาที่เขาทำแบบนี้ ฉงต้าจะให้ความร่วมมือด้วยการพลิกตัวปล่อยให้เขาแกล้งจั๊กจี้มันเล่น

แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ฉงต้าเดินก้มหน้าอยู่ตัวเดียว มันเดินเข้าไปในวิลล่าพร้อมกับสูดจมูกสะอึกสะอื้น แล้วมุดตัวเข้าไปในอ้อมกอดของวินนี่ทันที

หลัวปอกับราชาเจ้าป่าซิมบ้าก็อยากให้ปลอบใจพวกมันเหมือนกัน เดิมทีพวกมันก็อยากวิ่งเข้าไปแย่งชิงอ้อมกอดของวินนี่จากฉงต้า แต่เมื่อเห็นท่าทางของฉงต้าแล้ว สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวก็ยอมหยุดอยู่อีกฝั่ง นั่งมองมันตาปริบๆ อยู่ทางด้านข้างอย่างช่วยอะไรไม่ได้

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท