ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1352 เช่าเครื่องบินสักลำ

บทที่ 1352 เช่าเครื่องบินสักลำ

สำหรับไอคิวของโลมานั้น วงการวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่มีการประกาศออกมาในทิศทางเดียวกันนัก คนที่มองโลกในแง่ดีบอกว่าพวกมันเป็นรองแค่มนุษย์ แต่ก็มีนักวิจัยบางคนที่บอกว่านี่เป็นการพูดเกินจริง โลมาไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น แต่มีไอคิวเทียบเท่ากับไก่เท่านั้น…

ตอนนี้ฉินสือโอวคือคนที่มีสิทธิ์พูดมากที่สุด เขาสามารถรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเหล่าสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล ทำให้สามารถแบ่งแยกไอคิวสูงต่ำของพวกมันได้

ก่อนอื่น โลมาฉลาดมาก เรื่องนี้แสดงออกมาทางความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้ ซึ่งเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งมาก ความสามารถที่เก่งกาจเป็นพิเศษอีกเรื่องก็คือความสามารถในการเข้าใจ ในบรรดาสิ่งมีชีวิตในทะเลที่ฉินสือโอวเคยเจอมาในตอนนี้ ตัวที่มีความสามารถเข้าใจมากที่สุดก็คือบีน

แต่ว่าปัญญาของพวกมันนั้นไม่ได้สูงมาก คำว่า “ปัญญา” ส่วนมากจะประกอบไปด้วย 3 ความหมาย หนึ่งก็คือความสามารถในการปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน สองก็คือความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้รับ สามก็คือความสามารถในการใช้ภาษาหรือสัญลักษณ์ในการมาคิดแบบนามธรรม

โลมาไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง พวกมันสามารถดีใจ เสียใจ ไม่พอใจได้ แต่ว่าไม่สามารถคิดอะไรด้วยตัวเองได้ หรือก็คือไม่มีความสามารถในการคิดแบบนามธรรมนั่นเอง

ส่วนบอลหิมะและไอซ์สเกตน่ะเหรอ? เจ้าสองตัวนี้ยิ่งไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเลย บีนกับบอลหิมะก็เหมือนกับสัตว์จำพวกสุนัขที่ค่อนข้างฉลาด พวกมันสามารถเข้าใจคำสั่งซับซ้อนที่ฉินสือโอวสั่งได้ แต่ว่าไม่สามารถคิดวิเคราะห์ถึงปัญหาหรือมีจิตสำนึกในการพูดโต้ตอบกับฉินสือโอวได้

เรื่องนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกเสียดายมาก เขาหวังเป็นอย่างมากว่าจะสามารถหาเพื่อนในมหาสมุทรที่สามารถคุยโต้ตอบกับเขาได้

แต่ว่าเจ้าตัวเล็กสามตัวล้วนมีไอคิวที่ค่อนข้างสูง เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญญาต่ำเลย พวกมันสามารถถ่ายทอดความรู้สึกออกมาภายนอกได้ อย่างเช่นตอนที่ฉินสือโอวลูบพวกมัน พวกมันก็สามารถรู้สึกได้ถึงดีใจและสบายใจได้

ดังนั้นคำพูดที่ว่าโลมากับไก่มีไอคิวเท่ากันนั้น ท่านชายฉินจึงทำได้แต่บอกว่าไร้สาระทั้งเพ

ฉินสือโอวว่ายทะลุผ่านเจ้าตัวน้อยสามตัว และตบไปที่หัวเบาๆ ลูบเขี้ยวของไอซ์สเกต ดึงหางของบีนเป็นระยะ เจ้าตัวเล็กสามตัวก็ว่ายน้ำเล่นอยู่กับเขาอย่างดีอกดีใจ ทำเอาวินนี่ที่มองอยู่ข้างๆ ประทับใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก

หลังจากเล่นกับเจ้าตัวเล็กสามตัวสักพัก เขาก็ลากวินนี่มา ให้เธอขี่ไปบนหลังของบอลหิมะ จากนั้นเขาก็ขึ้นไปนั่งด้วย เขาโอบเอวบางของวินนี่อยู่ข้างหลัง ขาทั้งสองหนีบแนบไว้ บอลหิมะสะบัดหางพร้อมผ่อนลมหายใจแล้วว่ายออกไปอย่างช้าๆ

ฉินสือโอวกอดวินนี่ไว้แล้วโน้มตัวไปข้างหน้า บอลหิมะว่ายออกไปอย่างช้าๆ แบบนี้แม้ว่าผิวของพวกมันจะลื่นมาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนสองคนบนหลังพลัดตกลงมาได้

ไอซ์สเกตและบีนตามมาด้วยซ้ายตัวขวาตัว หลังจากเข้าใกล้ผิวน้ำแล้ว บีนกระโดดออกไปบนผิวน้ำ ราวกับลูกธนูแหลมคมที่พุ่งออกไป เกิดเป็นท่าปลาคาร์ฟข้ามประตูมังกรที่สวยงามออกมา

บอลหิมะว่ายไปจนถึงผิวน้ำ วินนี่ถอดท่อออกซิเจนในปากออก จากนั้นก็ส่งเสียงกรีดร้องที่บ้าคลั่งออกมาว่า “พระเจ้าาาาาาา!”

ฉินสือโอวที่กอดเธออยู่ข้างหลังยิ้ม ทุกสิ่งที่ได้เห็นวันนี้ คงทำให้วินนี่รู้สึกถึงความน่าตกใจอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

หลังจากกรีดร้องแล้ว วินนี่ก็หันหลังกลับไปฉับพลันพร้อมกับดึงหูของฉินสือโอวลง

ฉินสือโอวถูกเธอตีอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงร้องออกมาว่า “โอ๊ยยย! เจ็บนะ! คุณทำอะไร?!”

“ฉันอยากรู้ว่าตัวเองกำลังฝันอยู่หรือเปล่า!” วินนี่ใช้เสียงที่ดังกว่าเดิมตะโกนออกมาว่า “นี่มันบ้าสุดๆ ไปเลย! บ้าจริงๆ! พระเจ้า นี่มันบ้าที่สุด!”

ฉินสือโอวลูบติ่งหูไปมาพร้อมทำหน้าเจ็บปวด วินนี่มองดูวาฬสีขาวตัวน้อยด้านล่าง ความจริงแล้วในตอนนี้วาฬขาวตัวนี้ไม่ถือว่าเล็กแล้ว น่าจะมีความยาวราวสามเมตรได้ เป็นร่างกายที่กำลังเข้าสู่วาฬที่โตเต็มตัวแล้ว

แน่นอนว่า เพราะพลังโพไซดอนเป็นเหตุ อีกหน่อยขนาดตัวของบอลหิมะจะต้องใหญ่กว่าวาฬขาวทั่วไปอย่างแน่นอน ในปัจจุบันสถิติโลกของวาฬขาวที่บันทึกไว้คือยาว 5 เมตร ฉินสือโอวรู้สึกว่าต่อไปบอลหิมะจะโตไปจนถึงแปดเมตรหรือสิบเมตรได้ไม่มีปัญหาเลย

มองดูวาฬขาวที่กำลังขี่อยู่ วินนี่พูดออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาว่า “ตอนนี้พวกเราขี่อยู่บนตัวของบอลหิมะใช่ไหมคะ? นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ! ที่แท้มนุษย์สามารถขี่วาฬได้จริงๆ เหรอคะ? “

“คุณไม่เพียงแต่ขี่บอลหิมะนะ เมื่อกี้ยังได้ขี่เต่ามะเฟืองด้วย” ฉินสือโอวนวดหูแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตร

วินนี่พูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ใช่ๆๆ ฉันยังได้ขี่เต่ามะเฟืองด้วย แล้วฉันก็ได้เห็นวังใต้ท้องทะเลอีก อย่าบอกนะว่า ที่รัก ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริงเหรอคะ?”

ฉินสือโอวโอบเอวบางของเธอไว้แล้วพูดว่า “แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงสิ นั่นน่ะเป็นวังคริสทัลที่ผมตั้งใจเตรียมไว้ให้คุณเลย แต่ว่า การขนส่งในน้ำยากเกินไป ผมจึงทำได้แค่หาคนเอาพวกมันมากองไว้ตรงนั้น ไม่สามารถสร้างเป็นวังจริงๆ ได้”

วินนี่หันหลังไปใช้มือโอบรัดคอเขาไว้แล้วจูบอย่างดูดดื่ม ท่านชายฉินรีบจูบกลับทันที อื้ม ริมฝีปากนุ่มนิ่ม ยังคงรู้สึกดีเหมือนเดิม แต่ว่ารสชาติค่อนข้างขมนี่มันเกิดอะไรขึ้น?

วินนี่ทำไมคุณถึงพ่นน้ำทะเลออกมาล่ะ? คุณเป็นปลาเสือพ่นน้ำเหรอ? หลังจากท่านชายฉินคิดได้แล้วก็รู้สึกปวดใจจนหาคำมาบรรยายไม่ได้

จูบร้อนแรงอยู่นาน วินนี่หายใจหอบแล้วก็ผละออกมา เธอพูดว่า “ที่รัก เซอร์ไพรส์ที่คุณให้ฉันในวันนี้มันยิ่งใหญ่มากจริงๆ ฉันอยากรับคำขอแต่งงานจากคุณในวังคริสทัลค่ะ ฉันหมายถึงว่า ให้คนอื่นๆ ได้เห็นฉากนี้ด้วย “

ฉินสือโอวกล่าว “ไม่ วังคริสทัลหลังนี้เป็นของขวัญพิเศษที่ผมมอบให้กับคุณ มอบให้คุณคนเดียวเท่านั้น แม้แต่ลูกสาวผมก็จะไม่ให้เธอรู้ด้วย”

เมื่อได้ฟังคำพูดเขาแล้ว ดวงตาที่สว่างสดใสของวินนี่ก็ได้หม่นลงอย่างช้าๆ เขาดึงไหล่ฉินสือโอวไว้แล้วค่อยๆ หันตัวกลับมา พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ที่รัก พวกเรามาทำสงครามในน้ำกันเถอะ…”

“ฟัค!”

ฉินสือโอวขับเรือยอชต์กลับไป พวกของชาร์คก็กลับมาแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นชุดดำน้ำสองชุดถูกโยนไว้บนเรือยอชต์ พวกชาวประมงก็พากันทักทายขึ้นมา

“เฮ้ นายหญิง ไปดำน้ำมาเหรอครับ? เป็นอย่างไรบ้าง สุดยอดมากเลยใช่ไหมครับ?”

“ผมแนะนำให้คุณไปที่แนวปะการังนะครับ ชิท ที่นั่นน่ะสวยมากจริงๆ!”

“นายหญิง ความรู้สึกของการได้ดำน้ำเป็นอย่างไรบ้างครับ? ดูสิสีหน้าคุณดีมากเลย การดำน้ำมีประโยชน์ต่อร่างกายนะครับ เป็นการฝึกการทำงานของหัวใจและปอดด้วย”

“บอส สีหน้าคุณดูไม่ค่อยดีนะครับ? เหมือนว่าจะเหนื่อยมากเลย เป็นอะไรไปครับ? เหนื่อยเกินไปเหรอครับ?”

ฉินสือโอวทำท่าไล่พวกชาวประมงเหมือนกับไล่แมลงวัน “ไปๆๆ! รีบไปทำงาน! ถ้าไม่มีงานก็ไปช่วยฉันเก็บกวาดฟาร์มปลา จะต้องเก็บกวาดให้สะอาดเลยนะ!”

พวกชาวประมงพากันหัวเราะร่าแล้วขับเรือจากไป วินนี่หยิบกระจกใบเล็กมาส่องหน้าของตัวเองอย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วแกล้งทำทีไม่พอใจว่า “ครั้งหน้าฉันจะต้องทากันแดดหน่อยแล้ว ดูสิ ฉันใกล้จะกลายเป็นป้าหน้าเหลืองแล้ว”

“จริงด้วย เหลืองเกินไปแล้ว” ฉินสือโอวพูดพร้อมถอนหายใจ

วินนี่เคืองขึ้นมาทันที “อะไรนะคะ?”

“ทั้งเหลืองทั้งโหดร้าย!” ฉินสือโอวพูดด้วยสีหน้าเป็นทุกข์ “ครั้งหน้าก่อนจะออกทะเลคุณทาครีมกันแดด ส่วนผมก็ต้องกินจู๋กวาง”

วินนี่มองไปรอบทิศอย่างร้อนรน พอเห็นว่าพวกชาวประมงไปไกลแล้ว สายตาเธอก็เป็นประกาย เต็มไปด้วยความสุข แล้วพูดว่า “ต่อไปจะต้องดำน้ำทุกวัน ฉันอยากจะเห็นวังคริสทัล ฉันอยากขี่เต่ามะเฟือง แล้วก็อยากขี่วาฬขาวตัวน้อยด้วย!”

ฉินสือโอวยิ้มขืนๆ แล้วพูดว่า “คุณจะขี่จนเลี่ยนได้นะ?”

วินนี่เข้ามากอดเขาแล้ว แล้วถามเสียงเบาว่า “แล้วคุณล่ะขี่ฉันจนเลี่ยนแล้วหรือยัง?”

ฉินสือโอวไม่มีคำจะพูดต่อ ผู้หญิงเป็นสิ่งที่น่ากลัวเกินไปจริงๆ สามารถเป็นผู้หญิงสายหวานได้ และก็เป็นสายหื่นได้

ปลายเดือนกันยายน งานวันแต่งใกล้เข้ามา เหมาเหว่ยหลงถึงกลับรีบจัดการหญ้าในฟาร์มแล้วรีบมาหา เพราะเขาต้องมาช่วยฉินสือโอวคุมงานด้วย

เริ่มจากพี่ๆ น้องๆ จากประเทศจีน เหมาเหว่ยหลงกะว่าจะพาพวกเขามา ฉินสือโอวส่ายมือแล้วพูดว่า “นายจะไปพามาอย่างไร? ฉันเช่าเครื่องบินสักลำ ถึงตอนนั้นก็ไปรับพวกเขามาเลยก็ได้แล้ว”

………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท