ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1343 ต้นกล

บทที่ 1343 ต้นกล

รอยยิ้มของฉินสือโอวเปลี่ยนเป็นเก้อเขินทันที เขารีบพูดว่า “พี่ใหญ่ท่านนี้ล้อกันเล่นแล้ว ผมเป็นแค่น้องชายตัวเล็กๆ ในวงสังคมของพวกเราคนจีนเท่านั้นเอง ใช่ไหมพี่ตงเหล่ย?”

ถึงเขาจะคิดว่าตัวเองไม่เหมือนกับคนธรรมดา แต่เขาก็คงไม่โง่จนหลงคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้นำของคนจีนในนิวฟันด์แลนด์ได้หรอกนะ พูดอีกอย่างก็คือ ทำไมเขาต้องเป็นผู้นำด้วยล่ะ? เป็นผู้นำของคนจีนก็ไม่ทำให้เขาเสียภาษีน้อยลงหรอก แถมยังต้องปวดหัวกับปัญหาหลายๆ เรื่องอีก

เอี๋ยนตงเหล่ยพูดอย่างยิ้มๆ “สังคมคนจีนของพวกเราอยู่กันอย่างเรียบง่าย พวกเรามีผู้นำอะไรที่ไหนกัน?”

ฉินสือโอวพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เอี๋ยนตงเหล่ยก็พูดต่ออีกว่า “แต่จะว่าไป ในหมู่ของพวกเราเสี่ยวฉินก็เป็นคนที่มีคนติดต่อคบหาด้วยเยอะที่สุดจริงๆ เส้นสายที่มีก็กว้างขวางที่สุด เหมาะที่จะเป็นแกนหลักในวงสังคมของพวกเราที่สุดแล้ว”

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตคนเราก็คือคำว่า ‘แต่’ นี่แหละ ฉินสือโอวแอบถอนใจอยู่ในใจ ปากก็ฝืนยิ้มออกไป “พี่ตงเหล่ยอย่าหยอกผมเล่นเลย ตรงนี้มีพี่ใหญ่ที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตากันอยู่ตั้งหลายคน พี่ตงเหล่ยจะแนะนำให้ผมรู้จักสักหน่อยไหม?”

เอี๋ยนตงเหล่ยช่วยแนะนำให้เขาฟังว่า คนเหล่านี้ล้วนแต่เข้ามาเป็นสมาชิกของสมาคมช่วยเหลือชาวจีนในนิวฟันด์แลนด์แล้ว พอพูดถึงตรงนี้เขาก็เชียร์ให้ฉินสือโอวเข้าร่วมสมาคมอีกครั้ง

ฉินสือโอวจึงกล่าวว่า “พี่ตงเหล่ยก็รู้จักผมดี ผมไม่ค่อยชอบเข้าไปอยู่ในวงสังคมเท่าไร แต่ถ้าทุกๆ คนมีอะไรให้ผมช่วย แล้วถ้าผมพอจะช่วยได้ ก็เอ่ยปากบอกกันได้เลย ผมจะพยายามช่วยอย่างเต็มที่แน่นอน”

สำหรับสมาคมประเภทนี้ฉินสือโอวรู้จักและเข้าใจเป็นอย่างดี พวกเขามักจะจัดกิจกรรมเพื่อขยายวงสังคมกับหาคอเนคชั่นใหม่ๆ อยู่เป็นประจำ ถ้าเขาเข้าสมาคมด้วย จะต้องมีคนมาขอทำความรู้จักกับคนอย่างตระกูลสเตราส์ หรือสองสามีภรรยาบรูซผ่านเขาไม่เว้นวันแน่ๆ และเขาก็ไม่อยากทำเรื่องพวกนี้ด้วย

เอี๋ยนตงเหล่ยมีความฉลาดทางอารมณ์ที่สูงมาก เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวไม่อยากคุยเรื่องนี้ เขาจึงเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่น ด้วยการแนะนำชายวัยกลางคนผิวสีคล้ำรูปร่างอวบอ้วนคนหนึ่งให้เขาได้รู้จัก “น้องเพ่าไห่คนนี้ย้ายมาจากมณฑลเจ้อเจียง เมื่อก่อนเขาเคยเปิดกิจการประมงในจีน พวกนายทำความรู้จักกันไว้สักหน่อยเสียสิ”

ฉินสือโอวจับมือทักทายกันกับเขา คนคนนี้ดูจากหน้าแล้วก็เหมือนจะอายุประมาณสี่สิบปี แต่ตอนที่แนะนำตัวฉินสือโอวถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วเขาคนนี้เกิดหลังปีแปดห้าพอดี ตอนนี้เพิ่งจะสามสิบกว่าๆ แก่กว่าเขาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น

เพ่าไห่เป็นคนตรงไปตรงมาและมีอารมณ์ขัน พอมองออกว่าฉินสือโอวประหลาดใจกับเรื่องนี้ เขาจึงเอารูปร่างหน้าตาของเขามาพูดให้กลายเป็นเรื่องตลก “ฉันน่ะ เป็นคนใจร้อนหน้าตาก็เลยรีบร้อนเกินอายุไปด้วย บวกกับตากแดดตากลมทะเลทุกวันตอนนี้ก็เลยกลายเป็นแบบนี้นี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าเสี่ยวฉินจะดูแลผิวพรรณได้ดีเลยนะ”

ฉินสือโอวคิดว่าเรื่องนี้ก็น่าจะต้องยกความดีความชอบให้หัวใจโพไซดอนเช่นกัน เป็นอย่างที่ว่าไว้จริงๆ คนที่ทำงานหาเงินอยู่บนทะเลจะยิ่งดูมีอายุได้ง่าย นั่นเป็นเพราะลมทะเลกับแสงแดดแผดเผาที่ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นตั้งแต่อายุยังน้อยๆ ดูอย่างพวกชาร์ค ผิวหนังของพวกเขาดูเหมือนกับว่าเคยถูกกระดาษทรายขัดมาก่อนไม่มีผิด พอกลับมาจากออกทะเล ผิวหนังก็จะขึ้นสีเป็นสีแดงเหมือนกุ้งมังกรต้ม

เมื่อมองดูเพ่าไห่ ฉินสือโอวจึงรู้สึกคุ้นชินเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าสีผิวแบบนี้ก็ไม่เลวเลยเหมือนกัน อย่างน้อยก็ยังดูดีกว่าผิวของคนขาวที่ถูกแดดเผา ครั้งแรกที่ออกทะเลพวกชาร์คถูกแดดเผาอย่างรุนแรง พอกลับเข้าฝั่งก็ทำเอาฉินสือโอวตกใจจนแทบเต้น เขายังนึกว่าถูกใครเอาสีทามาเสียอีก

คุยกันไปคุยกันมาพอทั้งสองคนพูดถึงเรื่องสมัยก่อน ฉินสือโอวถึงเพิ่งได้รู้ว่าเพ่าไห่กับเขาเป็นนักศึกษาเก่าสถาบันเดียวกัน พวกเขาต่างก็เรียนจบจากมหาวิทยาลัยสมุทรศาสตร์ด้วยกันทั้งคู่

“บังเอิญมากจริงๆ ผมรุ่น 08 นะ แล้วพี่ล่ะ?” ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้มดีใจ

เพ่าไห่บอกว่า “แก่กว่าไม่เท่าไรเอง ฉันรุ่น 04 หลังจากเรียนจบก็ไปทำงานอยู่บนเรือเดินสมุทรเลย หลังจากนั้นก็คิดว่าทำงานบนเรือเดินสมุทรไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร หาคนมาแต่งงานด้วยยากไปหน่อย ต่อมาเลยอยากเปิดฟาร์มแล้วหาแฟนสักคน”

“แล้วเป็นยังไงบ้างครับ?” ฉินสือโอวถามเขาด้วยความสนอกสนใจ

“เฮ้อ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรต่อแล้ว จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังหาเมียไม่ได้เลย…” เพ่าไห่พูดด้วยสีหน้าอมทุกข์ จนคนทั้งกลุ่มพากันหัวเราะออกมา

เอี๋ยนตงเหล่ยพูดว่า “เสียวไห่ต้องรีบแล้วล่ะ ดูเสี่ยวฉินสิ ตอนนี้เขาเป็นพ่อคนแล้วนะ”

ฉินสือโอวจึงพูดปลอบเพ่าไห่ว่า “ไม่เป็นไรหรอก พี่ไห่ เรื่องนี้น่ะต่อให้รีบร้อนไปมันก็ยังไม่มาหาเราหรอก เมื่อก่อนตอนที่ผมยังเป็นพวกขี้แพ้ผมก็หาแฟนไม่ได้เหมือนกัน”

ทุกๆ คนหัวเราะเสียงดังออกมาอีกครั้ง เอี๋ยนตงเหล่ยพูดว่า “เสี่ยวฉินลงมีดได้อำมหิตเกินไปแล้ว”

ฉินสือโอวจึงพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวรุ่นพี่ของผมก็ยกโทษให้ผมเองนั่นแหละ ใช่ไหมครับ รุ่นพี่?”

“นายช่วยฉันหาเมียก่อนสิแล้วเดี๋ยวฉันจะยกโทษให้” เพ่าไห่พูดกับเขาอย่างระทมทุกข์

ฉินสือโอวยิ้มแล้วตอบเขากลับไปว่า “เงื่อนไขข้อนี้ยากเกินไปแล้ว ผมช่วยพี่นำเข้าลูกพันธุ์ปลาคุณภาพดีสักสองสามพันธุ์แทนได้ไหม?”

เอี๋ยนตงเหล่ยบอกว่าเพ่าไห่ก็ทำฟาร์มปลาเหมือนกัน ฉินสือโอวเลยอยากช่วยเขาสักหน่อย และการส่งลูกพันธุ์ปลาไปให้ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะคิดได้แล้ว

ชื่อเสียงของฟาร์มปลาต้าฉินดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งทวีปอเมริกาเหนือ ฉินสือโอวคิดว่าเพ่าไห่ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของฟาร์มปลาของเขามาก่อนอยู่แล้ว ถ้าให้ความช่วยเหลือเขาด้วยวิธีนี้ เขาต้องดีใจมากแน่ๆ

ผลปรากฏว่าเรื่องราวกลับไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคิดไว้ เพ่าไห่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อนว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่จีนฉันเคยทำฟาร์มเพาะพันธุ์ปลา แต่ฉันมาแคนาดาด้วยการเป็นแรงงานอพยพที่มีทักษะน่ะ ตอนนี้ไม่ได้ทำฟาร์มแล้วล่ะ ฉันไม่ได้มีเงินทุนเยอะขนาดนั้น”

เมื่อปีก่อนแคนาดาระงับการย้ายถิ่นฐานด้วยการลงทุน แล้วเปลี่ยนมาใช้การนำเข้าทรัพยากรคนที่มีความสามารถ ซึ่งหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจของแคนาดาในช่วงสองปีที่ผ่านมาต้องตกต่ำลง ที่จริงแล้วประเทศแคนาดามีแนวโน้มที่จะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ถูกนโยบายการอพยพด้วยการลงทุนครอบคลุมเอาไว้ เนื่องจากการลงทุนที่สม่ำเสมอก่อให้เกิดโอกาสในการทำงานและเงินภาษีที่มากขึ้น

ฉินสือโอวถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นพี่ใช้ทักษะทางด้านไหนในการอพยพมาที่นี่?”

เพ่าไห่กล่าวว่า “ด้านการเดินสมุทรนั่นแหละ พอเรียนจบฉันก็ออกทะเลไปทำงานในมหาสมุทรไกลชายฝั่งเลยใช่ไหมล่ะ? หลังจากนั้นเพราะความขยันฉันเลยได้ตำแหน่งต้นกล ก็ใช้ตำแหน่งหน้าที่นี้ในการขออพยพนั่นล่ะ”

พอฟังถึงตรงนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกแปลกใจมาก เขาจึงถามด้วยความประหลาดใจว่า “พี่เป็นต้นกลเหรอ?”

เพ่าไห่พูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว เพราะขยันทำงานบวกกับดวงค่อนข้างดีก็เลยกลายเป็นแบบนี้นี่แหละ”

เขารู้ว่าทำไมฉินสือโอวถึงรู้สึกประหลาดใจ โดยทั่วไปกว่าลูกเรือธรรมดาจะได้เป็นต้นกลก็ต้องใช้เวลาถึงสิบห้าปี แถมเขาหลังจากเรียนจบเขาก็ทำงานเป็นลูกเรือทันที จะได้เป็นต้นกลก็ต้องใช้เวลาสักสิบปี เวลาที่เขาแนะนำตัวว่าเป็นต้นกล ก็จะมีคนตกใจทุกครั้งจนเขาชินกับมันแล้ว

ตามกฎข้อบังคับของอุตสาหกรรม กะลาสีระดับอาวุโสจะต้องปฏิบัติงานเป็นเด็กฝึกงานในตำแหน่งนายช่างกลเรือที่ 4 อยู่บนเรือก่อนเป็นเวลา 12 เดือน ถ้าปฏิบัติงานได้ดี ก็สามารถขอใบรับรองเพื่อทำงานในตำแหน่งนายช่างกลเรือที่ 4 ได้เลย เมื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นนายช่างกลเรือที่ 4 จนครบ 18 เดือนแล้ว และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดี ก็จะได้เลื่อนไปทำหน้าที่นายช่างกลเรือที่ 3 พอทำงานเป็นนายช่างกลเรือที่ 3 จนครบ 12 เดือนและสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดี หลังจากผ่านการสอบวัดคุณลักษณะจากสำนักงานความปลอดภัยทางทะเลถึงสามารถเลื่อนขั้นเป็นรองต้นกลได้

และเมื่อปฏิบัติหน้าที่รองต้นกลได้ครบ 18 เดือนเต็ม หากสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีและผ่านการสอบวัดคุณลักษณะแล้วก็จะสามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นต้นกลได้ในที่สุด

เมื่อลองคำนวณแบบนี้ ถ้าจะเป็นต้นกล ต่อให้เร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาถึงห้าปีอยู่ดี และนี่ยังเริ่มต้นด้วยตำแหน่งลูกเรืออาวุโสอีกต่างหาก

ฉินสือโอวเดาว่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเพ่าไห่น่าจะมีความสามารถที่โดดเด่นมาก เขามีใบปริญญาบัตรจากมหาลัยทางด้านอุตสาหกรรมทางทะเลที่ดีที่สุดของจีน คาดว่าเขาน่าจะเข้าไปทำงานในบริษัทด้วยตำแหน่งกะลาสีระดับอาวุโสนั่นเอง

นี่ถือว่าบังเอิญมาก เรือปริ้นเซสเมล่อนของฉินสือโอวกำลังขาดต้นกลอยู่คนหนึ่ง เพ่าไห่ก็ปรากฏตัวขึ้นได้ถูกเวลาพอดี เขาวางแผนไว้คร่าวๆ ว่าจะออกเรือในช่วงฤดูหนาวของปีนี้หรือไม่ก็ช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า หากเจิ้งอวี้ฮุยเห็นว่าเหมาะสม จะได้ให้เขาเข้าไปทำงานในตำแหน่งนั้นเลย

แต่เรื่องแบบนี้จะทำอย่างรีบร้อนไม่ได้ ต้นกลเป็นตำแหน่งสำคัญที่รับผิดชอบหน้าที่ในการดูแลเครื่องยนต์ของเรือกลทั้งลำ สิ่งสำคัญในการเดินเรือไกลชายฝั่งคือจะต้องไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นกับเรือโดยเด็ดขาด ถ้าเรือไม่มีปัญหาก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาสิ่งที่ต้องสูญเสียอาจจะไม่ใช่แค่เงิน

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท