ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1350 พาคุณไปดำน้ำ

บทที่ 1350 พาคุณไปดำน้ำ

หลังจากการที่วินเล่าเรื่องที่เกิดให้ฟังอย่างคนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฉินสือโอวก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว

คุณนายกริมม์ลงทะเบียนเพื่อเข้าอาศัยอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุแห่งหนึ่งในนครเซนต์จอห์น เพียงไม่นานทางนั้นก็แจ้งว่าสามารถเข้าพักได้แล้ว หลังจากนั้นสี่วัน บาทหลวงกริมม์ก็เตรียมตัวเข้าอาศัยพร้อมกันกับภรรยา แต่กลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพัก

ทางสถานดูแลให้เหตุผลว่าสภาพร่างกายของบาทหลวงกริมม์ย่ำแย่กว่าภรรยาของเขา เขาจำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์ในระดับที่สูงกว่า เขาจึงต้องไปลงทะเบียนเข้าพักอาศัยในสถานดูแลผู้สูงอายุอีกแห่งในคาร์บอเนียร์ที่มีมาตรฐานสูงกว่า

เมื่อได้ยินอย่างนั้นบาทหลวงชราก็นิ่งอึ้งไปทันที ต้องรู้ก่อนว่านครเซนต์จอห์นอยู่ห่างจากคาร์บอเนียร์ถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตรกว่าๆ ถ้าขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงมุ่งตรงไปยังที่นั่นก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ และด้วยสภาพร่างกายของพวกเขาทั้งสองในตอนนี้ ถ้าต้องแยกกันอยู่พวกเขาคงได้พบกันแค่เดือนละครั้งอย่างแน่นอน

สองสามีภรรยาจึงรีบไปพบหน่วยงานรัฐที่รับหน้าที่ดูแลจัดสรรบริการสถานดูแลผู้สูงอายุ ด้วยหวังว่าจะสามารถผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่างๆ ไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วยหลักมนุษยธรรมเพื่อให้ทั้งสองคนสามารถอาศัยอยู่ด้วยกันได้

อีกฝ่ายมีทัศนคติที่ดี แต่ก็บอกให้ทราบว่าพวกเขาไม่มีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้ เนื่องจาก “นโยบายทางการแพทย์ของรัฐตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการด้านสุขภาพส่วนบุคคล ไม่ใช่สถานภาพสมรส เพื่อการกำหนดโครงการรักษาพยาบาลในระยะยาว”

ด้วยเหตุนี้ คู่แต่งงานเก่าแก่ที่ไม่เคยแยกจากกันเลยนับตั้งแต่แต่งงานกันมาครึ่งศตวรรษ จึงต้องแยกกันอยู่ ก็เพราะกฎเกณฑ์ที่ตายตัว

จนถึงคราวที่ต้องแยกจากกัน สองสามีภรรยาถึงเพิ่งจะรู้ว่าความเจ็บปวดทรมานจากการแยกกันอยู่นั้นมากเกินกว่าความเจ็บปวดจากโรคภัยเสียอีก บาทหลวงชราคิดถึงภรรยาของเขา ทุกๆ วันเขาจะโทรหาเธอถึงวันละแปดครั้ง ทว่าก็ยังไม่สามารถลบล้างความรู้สึกเดียวดายออกไปจากหัวใจของเขาได้ ส่วนภรรยาของเขาก็เป็นห่วงสุขภาพของสามี เมื่อไม่ได้เห็นเขาเธอก็วิตกกังวลไปต่างๆ นานา จนต้องกอดโทรศัพท์นอน ได้ยินเสียงหายใจของเขาเธอถึงจะเบาใจได้บ้าง

“แต่สิ่งที่เหลือเกินยิ่งกว่านั้นก็คือ สถานดูแลผู้สูงอายุไม่อนุญาตให้แขกมาค้างคืนด้วย ดังนั้นต่อให้บาทหลวงกริมม์จะไปเยี่ยมภรรยา แต่พวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันไม่ได้นาน” วินนี่พูดด้วยความขุ่นเคืองใจ

ไคลเซนตบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดขึ้นมาว่า “ใช่ ทำเกินไปแล้วจริงๆ พรรครัฐบาลกับพวกนักการเมืองเฮงซวยไม่เคยให้ความสำคัญกับชีวิตและความเป็นความตายของพลเมืองชั้นล่างอยู่แล้ว มีแต่ใช้คำพูดสวยหรูมาเอารัดเอาเปรียบพวกเราตอนหาเสียง”

บาทหลวงกับภรรยาไปหาหน่วยงานรัฐที่รับหน้าที่ดูแลจัดสรรบริการสถานดูแลผู้สูงอายุอีกครั้ง ทว่าฝ่ายนั้นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้พวกเขาได้สักที ดังนั้นพวกเขาที่ไม่เหลือหนทางอื่นแล้วจึงมาขอให้วินนี่ช่วย

ในฐานะที่วินนี่เป็นนายกเทศมนตรี การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจึงเป็นภาระหน้าที่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่เธอเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงทำได้แค่ใช้การประนีประนอมด้วยการภรรยาของบาทหลวงชราที่มีสุขภาพดีกว่าออกมาแล้วส่งให้ไปอยู่ที่คาร์บอเนียร์ด้วย ทางเทศบาลจ้างพยาบาลส่วนตัวมาคอยดูแลเธอหนึ่งคน แล้วเช่าห้องพักที่อยู่ข้างๆ กันกับสถานดูแลผู้สูงอายุ เพื่อให้สองสามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันในช่วงกลางวัน

แต่นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาว เหตุผลแรกคือค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป แต่เดิมสองสามีภรรยากริมม์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อเข้าอาศัยในสถานดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากเงินทุนสำหรับสถานดูแลผู้สูงอายุมีรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบดูแลทั้งหมด

นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะถึงอย่างไรสถานภาพทางการเงินของเมืองนี้ในปัจจุบันก็ดีมากแล้ว ดังนั้นการให้สวัสดิการเพียงเล็กน้อยแก่ชาวเมืองจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือสองสามีภรรยาแต่งงานอยู่กินกันมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็นอนร่วมเตียงเดียวกันมาตลอด แต่เมื่อถึงคราวแก่เฒ่ากลับต้องแยกจากกัน จึงไม่สามารถปรับตัวให้ชินได้เลย คนแก่ทั้งคู่จึงประสบกับปัญหาการนอนไม่หลับอย่างรุนแรง

หลังจากที่เออร์บักได้ยินเรื่องนี้เขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า “บาทหลวงกริมม์กับภรรยาของเขาเป็นคนดี และคนดีไม่ควรที่จะต้องเจอกับความทุกข์ยากแบบนี้ ในช่วงเวลาที่เมืองนี้ต้องประสบกับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ก็เป็นเขาที่คอยสวดภาวนาให้กับทุกๆ คนในโบสถ์ที่ทรุดโทรม ตอนนี้สภาพการณ์ของเมืองนี้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนมีชีวิตที่ดีแล้ว เราจะปล่อยให้เขาต้องทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแบบนั้นไม่ได้”

ฉินสือโอวถามวินนี่ว่าเธอพอจะมีวิธีไหม วินนี่จึงตอบว่า “ตอนนี้ฉันกำลังพยายามหาทางติดต่อผู้รับผิดชอบหน่วยงานรัฐส่วนภูมิภาคที่รับหน้าที่ดูแลจัดสรรบริการสถานดูแลผู้สูงอายุอยู่ค่ะ ถ้าพวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ฉันก็จะบอกเรื่องนี้กับสื่อ ให้คนทั่วทั้งแคนาดาได้รู้ว่าตอนนี้รัฐไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจกับประชาชนแค่ไหน”

ฉินสือโอวขบคิดอยู่สักครู่ เขาคิดว่าการที่วินนี่ทำแบบนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

เขาควักโทรศัพท์ออกมาจะโทรหาแฮมเล็ต ทว่าวินนี่ก็ห้ามเขาไว้ เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแฮมเล็ตหรอกค่ะ ฉิน อย่าทำให้คนอื่นต้องคิดว่าเราต้องพึ่งคนอื่นถึงจะแก้ปัญหาได้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะค่ะ ฉันจัดการได้”

ฉินสือโอวเคารพความคิดเห็นของวินนี่ และเขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องของเมืองนี้มากนัก ไม่ใช่ว่าเขาขี้เกียจ แต่เขาจะทำลายความมั่นใจของวินนี่ไม่ได้ ถ้าเขาเข้าไปจัดการปัญหาทุกครั้ง แล้ววินนี่ที่เป็นนายกเทศมนตรีจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเมืองได้อย่างไรกันล่ะ?

เขาช่วยวินนี่ในเรื่องอื่นๆ ได้ นั่นก็คือการช่วยเธอจัดการอารมณ์เชิงลบ ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นนั่นเอง

เช้าวันเสาร์ วินนี่ตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับจนตื่นสาย เธอเดินลงมาข้างล่างด้วยผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิง แล้วบ่นกับฉินสือโอวว่า “ตั้งแปดโมงแล้ว ทำไมคุณไม่รีบปลุกฉันให้เช้ากว่านี้หน่อยล่ะคะ?”

ฉินสือโอวยื่นมือออกไปสางผมนุ่มสลวยของเธอด้วยความทะนุถนอม แล้วพูดกับเธออย่างอ่อนโยนว่า “เฮ้ ที่รักครับ ตอนนี้คุณเหนื่อยเกินไปแล้ว ต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้หน่อยนะ”

วินนี่ซบลงบนอกเขาแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเอาอยู่ นี่เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อย”

ตอนนี้ห่างจากช่วงวันงานแต่งงานของพวกเขาแค่สิบกว่าวัน งานหลายอย่างต่างก็กำลังถูกเตรียมการอย่างคึกคัก ทางนี้ยังมีเรื่องส่วนตัวให้วินนี่จัดการอีกหลายอย่าง ไหนจะงานราชการของเทศบาลอีก แล้วแบบนี้เธอจะไม่เหนื่อยได้อย่างไรกันล่ะ?

หลังจากที่วินนี่ล้างหน้าแปรงฟันและทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็หยิบชุดประดาน้ำออกมาสองชุด แล้วพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม “ที่รักครับ ผมกับคุณเราไปดำน้ำกันดีไหม? ถือเสียว่าหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลายสักหน่อย”

ชุดประดาน้ำทั้งสองชุดเป็นของที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ ไม่ใช่ชุดประดาน้ำแบบใหม่ที่เติมก๊าซฟลูออโรคาร์บอนเข้าไป แต่เป็นชุดประดาน้ำแบบแห้งธรรมดาๆ ที่แนบสนิทไปกับร่างกายของผู้สวมใส่ ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วและอิสระ

พอเห็นแบบนี้กอร์ดอนก็วิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาหา แล้วพูดกับพวกเขาว่า “ฉิน ผมก็อยากไปดำน้ำเหมือนกัน ผมยังไม่เคยดำน้ำเลยนะ”

ฉินสือโอวจึงพูดกับเขาว่า “ไปหาอ่างล้างหน้านะ เติมน้ำให้เต็มแล้วก็มุดหัวลงไปสักหนึ่งนาที แบบนั้นก็เท่ากับว่านายได้ดำน้ำแล้วล่ะ”

มิเชลที่กำลังอุ้มลูกบาสอยู่ก็พูดว่า “กอร์ดอน ไม่ต้องไปกวนฉินแล้ว มาเถอะ ไปซ้อมบาสกับฉัน”

กอร์ดอนจึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “ซ้อมบาสๆๆ เพื่อน ตอนนี้นายชักจะหมกมุ่นกับมันมากไปแล้วนะ”

มิเชลพูดว่า “ฉันให้ค่าซ้อมเป็นเพื่อนชั่วโมงละสิบดอลลาร์ จะเอาไม่เอา? ถ้านายไม่เอาฉันจะเปลี่ยนไปหาคนอื่นแทน”

“เอาสิ จะไม่เอาได้ยังไงกันล่ะ? เชื่อฉันเถอะ น้องชายที่น่ารักของฉัน ขอแค่นายรักษาความมุ่งมั่นในการฝึกซ้อมแบบนี้เอาไว้ ต่อไปก็ไม่มีอะไรมาหยุดนายได้แล้ว มีแค่ท้องฟ้าเท่านั้นที่จะเป็นขีดจำกัดของนาย!” กอร์ดอนพูดอย่างเคร่งขรึม

“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของนายนะ กอร์ดอนแต่ฉันจะไม่ให้เงินนายไว้ก่อนหรอก ไม่ว่านายจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นแหละ”

“อย่าทำอย่างนี้สิ น้องชาย ให้เงินมัดจำฉันไว้ก่อนเป็นไง? ครึ่งหนึ่งโอเคไหม? ไม่อย่างนั้นก็สักหนึ่งในสามหนึ่งในสี่ส่วนดีไหม?”

“เลิกคิดได้เลย”

“ฟัค เดี๋ยวฉันจะกันลูกให้เหนียวจนนายอยากตายเลยล่ะ…”

เด็กชายทั้งสองคนพากันหัวเราะพูดคุยและเดินจากไปแล้ว ฉินสือโอวพาวินนี่ไปขึ้นเรือยอชต์ หลังจากนั้นก็ขับไปยังน่านน้ำเหนือแนวปะการัง เขาช่วยวินนี่สวมชุดประดาน้ำให้เรียบร้อย เมื่อทดสอบแล้วว่าท่อออกซิเจนไม่มีปัญหาอะไร เขาก็พูดกับเธอว่า “เอาล่ะ ที่รัก ไปเจอกันใต้น้ำนะครับ”

วินนี่หมุนนาฬิกาสำหรับดำน้ำบนข้อมือ แล้วพูดกับเขาด้วยความคาดหวังว่า “ที่ใต้น้ำมีเซอร์ไพรส์รออยู่หรือเปล่าคะ?”

“รอคุณลงไปดูเองเดี๋ยวก็รู้แล้วล่ะ” ฉินสือโอวขยิบตาอย่างมีเลศนัย ต่อจากนั้นเขาก็กัดท่อออกซิเจนเอาไว้แล้วกระโดดลงไปในน้ำทันที

……………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท