หลังจากการที่วินเล่าเรื่องที่เกิดให้ฟังอย่างคนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฉินสือโอวก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
คุณนายกริมม์ลงทะเบียนเพื่อเข้าอาศัยอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุแห่งหนึ่งในนครเซนต์จอห์น เพียงไม่นานทางนั้นก็แจ้งว่าสามารถเข้าพักได้แล้ว หลังจากนั้นสี่วัน บาทหลวงกริมม์ก็เตรียมตัวเข้าอาศัยพร้อมกันกับภรรยา แต่กลับถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพัก
ทางสถานดูแลให้เหตุผลว่าสภาพร่างกายของบาทหลวงกริมม์ย่ำแย่กว่าภรรยาของเขา เขาจำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์ในระดับที่สูงกว่า เขาจึงต้องไปลงทะเบียนเข้าพักอาศัยในสถานดูแลผู้สูงอายุอีกแห่งในคาร์บอเนียร์ที่มีมาตรฐานสูงกว่า
เมื่อได้ยินอย่างนั้นบาทหลวงชราก็นิ่งอึ้งไปทันที ต้องรู้ก่อนว่านครเซนต์จอห์นอยู่ห่างจากคาร์บอเนียร์ถึงหนึ่งร้อยกิโลเมตรกว่าๆ ถ้าขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงมุ่งตรงไปยังที่นั่นก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ และด้วยสภาพร่างกายของพวกเขาทั้งสองในตอนนี้ ถ้าต้องแยกกันอยู่พวกเขาคงได้พบกันแค่เดือนละครั้งอย่างแน่นอน
สองสามีภรรยาจึงรีบไปพบหน่วยงานรัฐที่รับหน้าที่ดูแลจัดสรรบริการสถานดูแลผู้สูงอายุ ด้วยหวังว่าจะสามารถผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่างๆ ไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วยหลักมนุษยธรรมเพื่อให้ทั้งสองคนสามารถอาศัยอยู่ด้วยกันได้
อีกฝ่ายมีทัศนคติที่ดี แต่ก็บอกให้ทราบว่าพวกเขาไม่มีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้ เนื่องจาก “นโยบายทางการแพทย์ของรัฐตั้งอยู่บนพื้นฐานของความต้องการด้านสุขภาพส่วนบุคคล ไม่ใช่สถานภาพสมรส เพื่อการกำหนดโครงการรักษาพยาบาลในระยะยาว”
ด้วยเหตุนี้ คู่แต่งงานเก่าแก่ที่ไม่เคยแยกจากกันเลยนับตั้งแต่แต่งงานกันมาครึ่งศตวรรษ จึงต้องแยกกันอยู่ ก็เพราะกฎเกณฑ์ที่ตายตัว
จนถึงคราวที่ต้องแยกจากกัน สองสามีภรรยาถึงเพิ่งจะรู้ว่าความเจ็บปวดทรมานจากการแยกกันอยู่นั้นมากเกินกว่าความเจ็บปวดจากโรคภัยเสียอีก บาทหลวงชราคิดถึงภรรยาของเขา ทุกๆ วันเขาจะโทรหาเธอถึงวันละแปดครั้ง ทว่าก็ยังไม่สามารถลบล้างความรู้สึกเดียวดายออกไปจากหัวใจของเขาได้ ส่วนภรรยาของเขาก็เป็นห่วงสุขภาพของสามี เมื่อไม่ได้เห็นเขาเธอก็วิตกกังวลไปต่างๆ นานา จนต้องกอดโทรศัพท์นอน ได้ยินเสียงหายใจของเขาเธอถึงจะเบาใจได้บ้าง
“แต่สิ่งที่เหลือเกินยิ่งกว่านั้นก็คือ สถานดูแลผู้สูงอายุไม่อนุญาตให้แขกมาค้างคืนด้วย ดังนั้นต่อให้บาทหลวงกริมม์จะไปเยี่ยมภรรยา แต่พวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันไม่ได้นาน” วินนี่พูดด้วยความขุ่นเคืองใจ
ไคลเซนตบโต๊ะอย่างแรงแล้วพูดขึ้นมาว่า “ใช่ ทำเกินไปแล้วจริงๆ พรรครัฐบาลกับพวกนักการเมืองเฮงซวยไม่เคยให้ความสำคัญกับชีวิตและความเป็นความตายของพลเมืองชั้นล่างอยู่แล้ว มีแต่ใช้คำพูดสวยหรูมาเอารัดเอาเปรียบพวกเราตอนหาเสียง”
บาทหลวงกับภรรยาไปหาหน่วยงานรัฐที่รับหน้าที่ดูแลจัดสรรบริการสถานดูแลผู้สูงอายุอีกครั้ง ทว่าฝ่ายนั้นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาให้พวกเขาได้สักที ดังนั้นพวกเขาที่ไม่เหลือหนทางอื่นแล้วจึงมาขอให้วินนี่ช่วย
ในฐานะที่วินนี่เป็นนายกเทศมนตรี การแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านจึงเป็นภาระหน้าที่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่เธอเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงทำได้แค่ใช้การประนีประนอมด้วยการภรรยาของบาทหลวงชราที่มีสุขภาพดีกว่าออกมาแล้วส่งให้ไปอยู่ที่คาร์บอเนียร์ด้วย ทางเทศบาลจ้างพยาบาลส่วนตัวมาคอยดูแลเธอหนึ่งคน แล้วเช่าห้องพักที่อยู่ข้างๆ กันกับสถานดูแลผู้สูงอายุ เพื่อให้สองสามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันในช่วงกลางวัน
แต่นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาในระยะยาว เหตุผลแรกคือค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป แต่เดิมสองสามีภรรยากริมม์ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อเข้าอาศัยในสถานดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากเงินทุนสำหรับสถานดูแลผู้สูงอายุมีรัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบดูแลทั้งหมด
นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเพราะถึงอย่างไรสถานภาพทางการเงินของเมืองนี้ในปัจจุบันก็ดีมากแล้ว ดังนั้นการให้สวัสดิการเพียงเล็กน้อยแก่ชาวเมืองจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือสองสามีภรรยาแต่งงานอยู่กินกันมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ไหนแต่ไรก็นอนร่วมเตียงเดียวกันมาตลอด แต่เมื่อถึงคราวแก่เฒ่ากลับต้องแยกจากกัน จึงไม่สามารถปรับตัวให้ชินได้เลย คนแก่ทั้งคู่จึงประสบกับปัญหาการนอนไม่หลับอย่างรุนแรง
หลังจากที่เออร์บักได้ยินเรื่องนี้เขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า “บาทหลวงกริมม์กับภรรยาของเขาเป็นคนดี และคนดีไม่ควรที่จะต้องเจอกับความทุกข์ยากแบบนี้ ในช่วงเวลาที่เมืองนี้ต้องประสบกับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ก็เป็นเขาที่คอยสวดภาวนาให้กับทุกๆ คนในโบสถ์ที่ทรุดโทรม ตอนนี้สภาพการณ์ของเมืองนี้เปลี่ยนไปแล้ว ทุกคนมีชีวิตที่ดีแล้ว เราจะปล่อยให้เขาต้องทนใช้ชีวิตอย่างยากลำบากแบบนั้นไม่ได้”
ฉินสือโอวถามวินนี่ว่าเธอพอจะมีวิธีไหม วินนี่จึงตอบว่า “ตอนนี้ฉันกำลังพยายามหาทางติดต่อผู้รับผิดชอบหน่วยงานรัฐส่วนภูมิภาคที่รับหน้าที่ดูแลจัดสรรบริการสถานดูแลผู้สูงอายุอยู่ค่ะ ถ้าพวกเขาไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ฉันก็จะบอกเรื่องนี้กับสื่อ ให้คนทั่วทั้งแคนาดาได้รู้ว่าตอนนี้รัฐไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจกับประชาชนแค่ไหน”
ฉินสือโอวขบคิดอยู่สักครู่ เขาคิดว่าการที่วินนี่ทำแบบนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
เขาควักโทรศัพท์ออกมาจะโทรหาแฮมเล็ต ทว่าวินนี่ก็ห้ามเขาไว้ เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแฮมเล็ตหรอกค่ะ ฉิน อย่าทำให้คนอื่นต้องคิดว่าเราต้องพึ่งคนอื่นถึงจะแก้ปัญหาได้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะค่ะ ฉันจัดการได้”
ฉินสือโอวเคารพความคิดเห็นของวินนี่ และเขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องของเมืองนี้มากนัก ไม่ใช่ว่าเขาขี้เกียจ แต่เขาจะทำลายความมั่นใจของวินนี่ไม่ได้ ถ้าเขาเข้าไปจัดการปัญหาทุกครั้ง แล้ววินนี่ที่เป็นนายกเทศมนตรีจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวเมืองได้อย่างไรกันล่ะ?
เขาช่วยวินนี่ในเรื่องอื่นๆ ได้ นั่นก็คือการช่วยเธอจัดการอารมณ์เชิงลบ ช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นนั่นเอง
เช้าวันเสาร์ วินนี่ตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับจนตื่นสาย เธอเดินลงมาข้างล่างด้วยผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิง แล้วบ่นกับฉินสือโอวว่า “ตั้งแปดโมงแล้ว ทำไมคุณไม่รีบปลุกฉันให้เช้ากว่านี้หน่อยล่ะคะ?”
ฉินสือโอวยื่นมือออกไปสางผมนุ่มสลวยของเธอด้วยความทะนุถนอม แล้วพูดกับเธออย่างอ่อนโยนว่า “เฮ้ ที่รักครับ ตอนนี้คุณเหนื่อยเกินไปแล้ว ต้องพักผ่อนให้มากกว่านี้หน่อยนะ”
วินนี่ซบลงบนอกเขาแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเอาอยู่ นี่เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อย”
ตอนนี้ห่างจากช่วงวันงานแต่งงานของพวกเขาแค่สิบกว่าวัน งานหลายอย่างต่างก็กำลังถูกเตรียมการอย่างคึกคัก ทางนี้ยังมีเรื่องส่วนตัวให้วินนี่จัดการอีกหลายอย่าง ไหนจะงานราชการของเทศบาลอีก แล้วแบบนี้เธอจะไม่เหนื่อยได้อย่างไรกันล่ะ?
หลังจากที่วินนี่ล้างหน้าแปรงฟันและทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็หยิบชุดประดาน้ำออกมาสองชุด แล้วพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม “ที่รักครับ ผมกับคุณเราไปดำน้ำกันดีไหม? ถือเสียว่าหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลายสักหน่อย”
ชุดประดาน้ำทั้งสองชุดเป็นของที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ ไม่ใช่ชุดประดาน้ำแบบใหม่ที่เติมก๊าซฟลูออโรคาร์บอนเข้าไป แต่เป็นชุดประดาน้ำแบบแห้งธรรมดาๆ ที่แนบสนิทไปกับร่างกายของผู้สวมใส่ ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วและอิสระ
พอเห็นแบบนี้กอร์ดอนก็วิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาหา แล้วพูดกับพวกเขาว่า “ฉิน ผมก็อยากไปดำน้ำเหมือนกัน ผมยังไม่เคยดำน้ำเลยนะ”
ฉินสือโอวจึงพูดกับเขาว่า “ไปหาอ่างล้างหน้านะ เติมน้ำให้เต็มแล้วก็มุดหัวลงไปสักหนึ่งนาที แบบนั้นก็เท่ากับว่านายได้ดำน้ำแล้วล่ะ”
มิเชลที่กำลังอุ้มลูกบาสอยู่ก็พูดว่า “กอร์ดอน ไม่ต้องไปกวนฉินแล้ว มาเถอะ ไปซ้อมบาสกับฉัน”
กอร์ดอนจึงพูดอย่างไม่พอใจว่า “ซ้อมบาสๆๆ เพื่อน ตอนนี้นายชักจะหมกมุ่นกับมันมากไปแล้วนะ”
มิเชลพูดว่า “ฉันให้ค่าซ้อมเป็นเพื่อนชั่วโมงละสิบดอลลาร์ จะเอาไม่เอา? ถ้านายไม่เอาฉันจะเปลี่ยนไปหาคนอื่นแทน”
“เอาสิ จะไม่เอาได้ยังไงกันล่ะ? เชื่อฉันเถอะ น้องชายที่น่ารักของฉัน ขอแค่นายรักษาความมุ่งมั่นในการฝึกซ้อมแบบนี้เอาไว้ ต่อไปก็ไม่มีอะไรมาหยุดนายได้แล้ว มีแค่ท้องฟ้าเท่านั้นที่จะเป็นขีดจำกัดของนาย!” กอร์ดอนพูดอย่างเคร่งขรึม
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของนายนะ กอร์ดอนแต่ฉันจะไม่ให้เงินนายไว้ก่อนหรอก ไม่ว่านายจะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้นแหละ”
“อย่าทำอย่างนี้สิ น้องชาย ให้เงินมัดจำฉันไว้ก่อนเป็นไง? ครึ่งหนึ่งโอเคไหม? ไม่อย่างนั้นก็สักหนึ่งในสามหนึ่งในสี่ส่วนดีไหม?”
“เลิกคิดได้เลย”
“ฟัค เดี๋ยวฉันจะกันลูกให้เหนียวจนนายอยากตายเลยล่ะ…”
เด็กชายทั้งสองคนพากันหัวเราะพูดคุยและเดินจากไปแล้ว ฉินสือโอวพาวินนี่ไปขึ้นเรือยอชต์ หลังจากนั้นก็ขับไปยังน่านน้ำเหนือแนวปะการัง เขาช่วยวินนี่สวมชุดประดาน้ำให้เรียบร้อย เมื่อทดสอบแล้วว่าท่อออกซิเจนไม่มีปัญหาอะไร เขาก็พูดกับเธอว่า “เอาล่ะ ที่รัก ไปเจอกันใต้น้ำนะครับ”
วินนี่หมุนนาฬิกาสำหรับดำน้ำบนข้อมือ แล้วพูดกับเขาด้วยความคาดหวังว่า “ที่ใต้น้ำมีเซอร์ไพรส์รออยู่หรือเปล่าคะ?”
“รอคุณลงไปดูเองเดี๋ยวก็รู้แล้วล่ะ” ฉินสือโอวขยิบตาอย่างมีเลศนัย ต่อจากนั้นเขาก็กัดท่อออกซิเจนเอาไว้แล้วกระโดดลงไปในน้ำทันที
……………………………………………….