ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1355 พร้อมหน้าพร้อมตากัน

บทที่ 1355 พร้อมหน้าพร้อมตากัน

ทั่วทั้งฟาร์มปลาถูกทำความสะอาดทั้งหมด แถมวินนี่ยังใช้สิทธิ์ของนายกเทศบาลในการทำความสะอาดเมืองครั้งใหญ่อีกด้วย ฉินสือโอวอยากจะออกเงินเพื่อเป็นรางวัลให้กับชาวเมืองที่ให้ความร่วมมือด้วย วินนี่ยักไหล่แล้วพูดว่า “นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนควรจะทำอยู่แล้ว การทำความสะอาดก็เป็นการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ดีกว่าไม่ใช่เหรอคะ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า “ที่รัก คุณเพิ่งจะเป็นเจ้าหน้าที่พนักงาน แต่กลับเข้าใจวิถีของการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแล้ว ผมคงต้องกดไลก์ให้กับความหยั่งรู้ของคุณ 911 ครั้งแล้วล่ะ”

อย่างไรเสียตอนนี้ก็เป็นผู้ชายเลขสามเต็มตัวแล้ว ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เขาไปร่วมงานแต่งงาน งานแต่งงานของเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนสนิท ล้วนเชิญเขาไปร่วมงานทั้งนั้น เมื่อคิดถึงตรงนี้ ท่านชายฉินก็รู้สึกเศร้ากับความกระเป๋าแบนของเขาก่อนหน้านี้ขึ้นมา

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องนอกประเด็น ที่ฉินสือโอวอยากพูดก็คือ เมื่อก่อนที่เขาไปร่วมงานแต่งงาน รู้สึกว่าเป็นงานที่ยุ่งมากสำหรับครอบครัวของคู่แต่งงานใหม่ทั้งสองฝ่าย

แต่พอตอนนี้ถึงตาเขา เขากลับรู้สึกว่ายิ่งเข้าใกล้พิธีแต่งงานเท่าไร เขายิ่งรู้สึกโล่งใจ เขาไม่ต้องทำอะไร งานแต่งงานทั้งหมดมีบริษัทจัดงานแต่งรับผิดชอบอยู่ ด้านการวางแผนก็มีผู้กำกับอยู่ เขาแค่ออกความคิดเห็นก็พอ ทุกขั้นตอนของงานแต่งงานล้วนเป็นความรับผิดชอบของบริษัท สิ่งที่เขาต้องทำก็คือดูว่าถูกใจเขาหรือเปล่าเท่านั้น

ส่วนวินนี่เหรอ? งานของเจ้าสาวยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ แม้แต่งานประจำของเธอก็ไม่ถูกรบกวน ทุกวันนี้เธอก็ยังคงไปทำงานตามปกติ นอกเสียจากว่าต้องหาเวลาไปลองชุดแต่งงานเท่านั้น

ถึงแม้จะมีเรื่องที่ต้องไปทำ แต่ก็ยังมีพ่อแม่ พี่สาวและพี่เขยของวินนี่อยู่ ตามธรรมเนียมของแคนาดา งานแต่งงานทั้งหมดจะให้ครอบครัวทางฝ่ายหญิงเป็นคนจัดการ ค่าใช้จ่ายก็เป็นครอบครัวทางฝ่ายหญิงเป็นคนออก

แต่ว่านั่นคือในสถานการณ์ปกติ อย่างงานแต่งของฉินสือโอวนั้น เขาเป็นคนจีน วินนี่ก็มีเชื้อสายจีนด้วย ดังนั้นธรรมเนียมหลายๆ อย่างจึงยึดของจีนแทน งานแต่งงานเป็นการจัดเตรียมร่วมกันของพ่อแม่ของฉินสือโอวและวินนี่ เขาให้บัตรกับพ่อแม่ใบหนึ่ง ในนั้นมีเงินอยู่หนึ่งล้านดอลลาร์แคนาดา ไม่ว่าจะอย่างไรก็พอ

ฉินสือโอวไปถามว่ามีอะไรให้หรือไม่ช่วยหลายครั้ง คำตอบของมาริโอ้และมิแรนดาก็คือ “เธอกับวินนี่ไปเที่ยวเล่นกันเถอะ เรื่องพวกนี้พวกเราจัดการเอง พวกเรารับผิดชอบทำงาน พวกเธอรับผิดชอบพลอดรักกัน”

แต่ความจริงแล้วเขาก็ไม่มีทางไปพลอดรักกันได้หรอก คนที่มาร่วมงานแต่งมีมากเกินไป เพื่อนสมัยเรียนมาถึงก่อนแล้ว จากนั้นก็ไปรับญาติๆ จากบ้านเกิด แม้ว่าจะมีพี่สาวและพี่ชายรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่ แต่เขาที่ศักดิ์น้อยกว่าก็ยังต้องไปดูแลด้วย

มาถึงวันที่สาม นี่เป็นสุดสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม พวกเพื่อนและเพื่อนสมัยเรียนของวินนี่มาถึงแล้ว ฉินสือโอวก็ยังต้องแสดงความจริงใจโดยการไปต้อนรับเพื่อนสมัยเรียนของเธออีกด้วย

ตั้งแต่มาถึงฟาร์มปลา นอกจากคนในครอบครัวแล้ว วินนี่ก็ไม่เคยพาใครมาที่ฟาร์มปลาเลย หลักๆ ก็เพราะเธอห่างเหินกับเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัยไปแล้ว และไม่ได้เจอกันอีก ความจริงเหตุผลหลักๆ ก็คือเธอต้องออกเดินทางไกล

รวมเครื่องบินเล็กของบิลลี่เข้ามา เครื่องบินสามลำก็เริ่มบินไปรับคนทั่วแคนาดา หากมากกว่าหกคนก็จะใช้โกลบอล 700 ไม่อย่างนั้นใช้เครื่องบินลำเล็กก็เพียงพอ ฉินสือโอวอยากให้หน้าวินนี่เต็มที่ ดังนั้นจึงใช้เครื่องบินส่วนตัวในการไปรับแขกจากฝั่งเจ้าสาวทั้งหมด

วิธีของเออร์บักมีประสิทธิภาพมากๆ หลังจากส่งรายชื่อผู้ร่วมงานไปพร้อมกับบัตรเชิญให้กับเพื่อนสมัยเรียนของวินนี่แล้ว เธอก็ได้รับการติดต่อจากเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยที่ไม่เคยติดต่อกันเลยอย่างรวดเร็ว

นี่ก็คือโลกแห่งความจริง โดยเฉพาะเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของวินนี่ที่ล้วนจบจากโรงเรียนดังแล้ว พวกเขาจะรู้ถึงความสำคัญของเส้นสายมากกว่าคนทั่วไป หรือหากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ พวกเขาจะมีความเป็นพวกผลประโยชน์นิยมมากกว่า

วินนี่ส่งบัตรเชิญให้กับเพื่อนมหาวิทยาลัยทุกคนรวมแล้วก็ยี่สิบแปดคน คนที่มาร่วมงานจริงๆ มียี่สิบสี่คน อีกสี่คนที่เหลือแม้ว่าจะไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ก็ได้ส่งคำอวยพรมาให้เธอ

คนทั้งยี่สิบสี่คนล้วนเป็นสาวสวยที่สง่างาม อย่างไรเสียก็เป็นผู้หญิงที่จบมาจากโรงเรียนสตรีระดับท็อปของอเมริกาเหนือ ฉินสือโอวดูสาวๆ พวกนี้ แล้วก็หันกลับไปมองเพื่อนสมัยเรียนของตัวเอง โดยเฉพาะกับชายชอบแคะเท้าอย่างเฉินเหลยแล้ว ก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วตัวเองกับวินนี่เป็นคนที่อยู่กันในโลกขนาน

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป ไม่เพียงแต่ทำให้เขาร่ำรวย ยังทำให้รูปร่างเขาดีกว่าเดิม บุคลิกโดดเด่นกว่าคนทั่วไป อย่างน้อยก็สามีและแฟนที่เพื่อนสมัยเรียนของวินนี่พามาด้วย เมื่อเทียบกับฉินสือโอวแล้วก็ยังมีด้อยกว่าไปบ้าง

บุคลิกของผู้ชายมีหลายด้าน ความมั่นใจในตัวเอง ใจกว้าง สุขุม เด็ดขาดของฉินสือโอว ได้มาจากการถูกผ่านลมคลื่นหล่อหลอมออกมา แม้จะอยู่ตรงหน้าเจ้าชายทั้งสองก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย

ฉินสือโอวไปต้อนรับเพื่อนและเพื่อนสมัยเรียนพร้อมกับวินนี่ วินนี่แนะนำให้เขารู้จักคนมากมาย ทั้งเจสสิกา เดซี่ เอเดอลีน แนนซี สรุปก็คือในสองวันนี้เขาได้รู้จักกับสาวสวยต่างสีผิวกว่าสามสิบกว่าคน

ตกดึกพอฉินสือโอวว่างก็จะเรียกพวกเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยมาตั้งเตาย่างตรงสนามหญ้าแล้วดื่มเบียร์คุยโม้กัน เมื่อเพื่อนสมัยเรียนของวินนี่มาถึง สาวๆ พวกนี้จึงกลายเป็นหัวข้อหลักในการสนทนาไป

เหมาเหว่ยหลงเสนอขึ้นมาก่อนว่า “ฉินโซ่ว นายไปคุยกับวินนี่หน่อยสิ ให้แนะนำเพื่อนให้ที นายดูฝั่งนั้นมีสาวโสดตั้งเยอะ ฝั่งเราก็มีชายโสดเยอะ ใช่ไหม?”

ฉินสือโอวปัดมือ แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ สาวๆ พวกนั้นไม่คู่ควรกับพวกน้องเราหรอก พวกเขาน่ะแค่มองก็พอแล้ว ไม่ต้องไปมีความสัมพันธ์อะไรกับพวกเขาจริงๆ จังๆ หรอก”

เฉินเหลยพูดอย่างไม่พอใจว่า “นี่นายกำลังพูดประชดอยู่หรือเปล่า?”

ฉินสือโอวมองไปที่เขาทีหนึ่ง พยักหน้าแล้วพูดว่า “เอ๋ พี่เหลยของเรากลายเป็นคนฉลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ฟังออกด้วยเหรอว่าฉันพูดประชดน่ะ?”

ล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น ตอนนี้เขากับพวกเพื่อนๆ ต่างกันมาก บางครั้งแค่คำหยอกล้อคำหนึ่งก็สามารถสร้างปัญหาให้ได้ ดังนั้นฉินสือโอวจึงรีบเสริมคำพูดของเขา โดยการพูดถึงเรื่องของวินนี่กับเพื่อนออกมา

“…ดังนั้นก็ตามนี้แหละ วินนี่เคยเจอพวกนายหลายครั้งแล้วใช่ไหม? แต่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับเพื่อนสมัยเรียนของเธอ สาวๆ พวกนี้พากันรวมตัวกันไม่คุยกับวินนี่เป็นเวลานานเลย ครั้งนี้เพราะได้รู้ว่างานแต่งงานของฉันจะมีคนใหญ่คนโตมาร่วมงานด้วย จึงพากันมาร่วมงาน เป็นพวกเห็นแก่ผลประโยชน์เกินไป” ฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจ

เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวแล้ว ถอนหายใจแล้วพูดว่า “โลกของผู้หญิง วุ่นวายเกินไป มาๆๆ ดื่มเบียร์ๆ กินเนื้อ ทุกคนต้องกินเนื้อ การที่พวกเราได้มารวมตัวกันได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”

ถึงวันที่หกวันงานแต่ง ตั้งแต่วันที่ห้าพวกแขกเหรื่อก็มาถึงกันพอประมาณแล้ว เครื่องบินของสามีภรรยาบรูซก็มาถึงวันนี้ด้วย พวกเขานั่งเครื่องบินส่วนตัวของตระกูลมา สนามบินของฟาร์มปลาไม่พอให้จอดเครื่องบินเยอะขนาดนี้ จึงจำต้องจอดไว้ที่สนามบินเซนต์จอห์นแทน

ฉินสือโอวพาวินนี่ เหมาเหว่ยหลง และเฉินเหลยไปรับ ระหว่างทางเฉินเหลยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ว้าว ฉิน งานแต่งของนายจัดเตรียมได้อลังการจริงๆ คนอื่นเขาไม่มีที่จอดรถกัน แต่ที่นายกลับไม่มีที่จอดเครื่องบิน…”

ฉินสือโอวยิ้มขืนๆ เขาเองก็ไม่ได้หวังให้งานแต่งเป็นแบบนี้เลย เป็นเหมือนการอวดฐานะ ซึ่งไม่มีความหมายอะไรเลยกับเขาในตอนนี้

แต่เพราะเขาอยู่ในแวดวงนี้ รอบตัวของเขาได้มาถึงจุดนี้แล้ว งานแต่งงานเขาไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวเขาอีกต่อไป แต่เป็นเวทีสำหรับการเข้าสังคมของคนมากมาย ไม่อย่างนั้นคนอย่างพ่อลูกสเตราส์จะมาทำไม?

พวกของฉินสือโอวไปถึงสนามบินไม่นาน เครื่องบินของสองสามีภรรยาบรูซก็ลงจอด ไวส์วิ่งเข้ามาราวกับสายลมพัด ทำท่าประสานมือคำนับฉินสือโอวมาแต่ไกล แล้วพูดว่า “อาจารย์ ยินดีกับงานแต่งด้วยครับ! ยินดีกับงานแต่งครับ!”

คำพูดนี้ของไวส์พูดออกมาด้วยภาษาจีนแมนดาริน หลังจากได้ยินคำพูดเขาแล้ว พวกของเฉินเหลยก็หัวเราะกันท้องแข็ง แล้วพูดว่า “ว้าว ฉิน นี่นายไปตั้งสำนักตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย?”

………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท