ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1356 ความยุ่งยากจากพวกนักเลง

บทที่ 1356 ความยุ่งยากจากพวกนักเลง

ฉินสือโอวจ้องไปที่เฉินเหลย แล้วก็วางท่าสง่าผ่าเผย ลูบหัวไวส์ พยายามทำตัวใจดีแล้วถามขึ้น “อยู่บ้านเป็นยังไงบ้าง? ขยันฝึกวิชาหรือเปล่า?”

ไวส์เชิดหน้าขึ้น พูดเสียงดังว่า “รายงานท่านอาจารย์ ผมไม่แค่ขยันฝึกวิชา แต่ยังขยันฝึกภาษาจีนด้วย! อีกอย่าง ผมยังต่อยกับไอ้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มาเหยียดหยามพวกเราด้วย!”

“ชกต่อยแล้วเหรอ?” ฉินสือโอวถามขึ้น “ทำไมล่ะ?”

ไวส์พูดอย่างไม่พอใจว่า “แต่ว่าเมื่อก่อนคาริคน้อยชอบรังแกผม”

ฉินสือโอวโบกไม้โบกมือ พูดอย่างเคร่งขรึม “ไวส์ อย่างไรก็แล้วแต่ การชกต่อยก็ไม่ถูกต้อง คนในรุ่นฉันที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ควรมุ่งเป้าไปที่เสริมสร้างร่างกาย คำนึงถึงคนทั่วไปและโลกของเรา แต่ถ้าจะต้องลงมือจริงๆ นั่นก็ต้องทำเพื่อช่วยเหลือและเพื่อความยุติธรรม อาจารย์สอนวิชานายไม่ได้ให้ไปแก้แค้นใครนะ จริงสิ เมื่อก่อนเขาแกล้งนายยังไงล่ะ?”

พอได้ฟังคำที่ฉินสือโอวตำหนิ ไวส์ก็เริ่มเศร้าแล้วพูดว่า “เขาบอกว่าผมเป็นผีที่เดินออกมาจากโลง ต้องดูดเลือดถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ แล้วก็ไม่ให้เพื่อนคนอื่นเล่นกับผม ยังมีอีกนะ เขายังทำลายของเล่นของผม ไม่ให้ผมกินข้าว…”

“เชี่ย คราวหน้านะไวส์ พากอร์ดอน ฉงต้า หู่จือ เป้าจือไปด้วย แม่งเอ๊ยเด็กเวรพวกนี้ขาดก็แต่บทเรียน! ครั้งหน้าถ้าเจอเอาหนักๆ เลย จำไว้ต่อยเพิ่มไปอีกสักสองหมัด ถือซะว่าซัดแทนอาจารย์ไป!” ฉินสือโอวพูดด้วยความโกรธ

ไวส์รีบพยักหน้าหงึกๆ “ครับ ครับ ดีครับอาจารย์ ผมบอกเขาไว้แล้วว่าครั้งหน้าเจออีกได้เห็นดีกันแน่!”

พอเห็นแบบนี้ วินนี่ดึงแขนฉินสือโอวด้วยความโกรธ พูดขึ้นว่า “คุณสอนเด็กยังไงคะเนี่ย?”

พูดไป เธอก็คุกเข่านั่งลงดึงเสื้อของไวส์ให้เรียบร้อย พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ประเทศของอาจารย์มีคำพูดอยู่คำพูดหนึ่งที่โด่งดังมากคือใช้คุณธรรมลบล้างความแค้น ไวส์ บางครั้งเราก็ต้องรู้จักข่มความโกรธที่อยู่ข้างในใจเรา เข้าใจไหมครับ?”

ไวส์พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ รอจนวินนี่ไปต้อนรับครอบครัวบรูซที่อยู่ด้านหลัง ฉินสือโอวก็พูดขึ้น “เฮ้ เจ้าตัวเล็ก ไม่ต้องไปฟังคำอาจารย์หญิง เพราะประเทศของเรายังมีคำที่โด่งดังกว่านั้นคือความแค้นและบุญคุณต้องแยกกันให้ชัดเจน เราแค่เป็นคนดีที่รู้จักแยกแยะความแค้นกับบุญคุณได้ก็พอแล้ว”

“ฉันได้ยินนะคะ ฉิน” วินนี่พูดโดยไม่หันศีรษะกลับมา

เฉินเหลยและเหมาเหว่ยหลงพูดตามวินนี่ “ฉันได้ยินนะ ฉิน”

ฉินสือโอวกลอกตามองบน “พวกนายได้ยินแล้วยังไง พวกนายไม่รู้ความหมายของคำพวกนี้จริงๆ หรอก รู้ไหมว่าใครเป็นคนสรุปคำพูดนี้ออกมา?”

“เชี่ย ก็ขงจื๊อไง อย่างกับไม่มีคนรู้” เฉินเหลยพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

ฉินสือโอวยิ้มเย็น “ถ้าอย่างนั้นรู้ไหมว่าคำพูดดั้งเดิมของขงจื๊อเลยคืออะไร? ประโยคดั้งเดิมเลยคือ มีคนพูดว่า ‘ใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น ดีหรือไม่?’ ขงจื๊อพูดว่า ‘ใช้อะไรตอบแทนความแค้นอย่างนั้นหรือ? ใช้คุณธรรมตอบแทนความแค้น ใช้คุณธรรมตอบแทนคุณธรรม’! เข้าใจความหมายไหม คงไม่ต้องให้ฉันอธิบายให้พวกนายฟังหรอกนะ?”

“เฉินเหลยและเหมาเหว่ยหลงมองหน้ากันและกันด้วยความประหลาดใจ ถกเถียงกันเสียงเบาว่า “แย่แล้ว ทำไมฉินมันเข้าใจแม้กระทั่งสิ่งนี้เนี่ย? นายเคยได้ยินไหม คำพูดนี้เขาคิดขึ้นมาเองหรือเปล่า?”

ไม่น่าจะใช่ ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่มีอะไรหรอก เจ้านี่มันไม่เหมือนพวกเราที่ต้องต่อสู้เลี้ยงชีวิต ทั้งวันเขาว่างไม่มีอะไรทำก็อ่านหนังสือ เลยไม่รู้ว่าไปเห็นประโยคนี้มาจากหนังสือเล่มไหน”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างภาคภูมิใจหลังจากนั้นก็อธิบายให้ไวส์ฟังว่า “ประโยคที่อาจารย์พูดเมื่อกี้ เป็นประโยคที่ลูกศิษย์คนหนึ่งของขงจื๊อถามขงจื๊อว่า ‘อาจารย์ คนอื่นต่อยผม แต่ผมไม่ต่อยเขากลับ แต่ผมกลับทำดีต่อเขา ใช้คุณธรรมและการศึกษาของผมทำให้เขาอับอาย เพื่อให้เขากลับใจ ดีไหมครับ?’ ขงจื๊อจึงตอบว่า ‘เจ้าเอาคุณธรรมตอบแทนความแค้น เช่นนั้น ‘อะไรตอบแทนคุณธรรมล่ะ’? ตอนที่คนอื่นดูแลเธอด้วยคุณธรรม เธอถึงค่อยใช้คุณธรรมมาตอบแทนคนนั้น แต่ตอนนี้คนอื่นต่อยเธอ เธอก็ควรจะ ‘เอาความยุติธรรมตอบแทนความแค้น’ เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ยุติธรรม’ ใช่ไหม?”

ไวส์ส่ายหัวด้วยความไม่รู้อะไรเลย

ฉินสือโอวพูดด้วยความหนักแน่นว่า “ความหมายก็คือ ถ้าหากมีใครกล้ารังแกเรา เราก็เอาอิฐปาใส่เขา! ใช้18 ฝ่ามือพิชิตมังกรซัดเขาไป! ใช้เท้าสายลมเทวดาเตะเขา! ใช้เทพกระบี่หกชีพจรแทงเขา!”

ไวส์พยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ผมเข้าใจแล้วครับอาจารย์!”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างพึงพอใจ บรูซและภรรยาเดินเข้ามาถามด้วยความสงสัยว่า “พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ?”

ฉินสือโอวจับมือจอร์จ แล้วพูดขึ้น “ผมกำลังสอนไวส์เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ในการประพฤติตัว บอกเขาว่าผู้ชายต้องจัดการกับความขัดแย้งแบบไหน พวกเราไม่ได้หาเรื่อง แต่ก็ไม่กลัวเช่นกัน ใช่ไหมครับ?”

จอร์จพยักหน้าเห็นด้วย “ผมชื่นชมพฤติกรรมของอาจารย์ฉินมาก คุณสอนได้ถูกแล้ว พวกเราไม่ก่อเรื่อง แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาต่อหน้าเรา เราก็จะไม่กลัวอย่างแน่นอน!”

เหมาเหว่ยหลงรู้จักกับคู่สามีภรรยาแล้ว ฉินสือโอวจึงแนะนำเฉินเหลยอีกครั้ง เฉินเหลยทำงานในโรงงานเหล็กของรัฐ เขาจึงรู้ถึงชื่อเสียงของคู่สามีภรรยาบรูซคู่นี้ดี และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉินสือโอวพาเขามา

หลังจากกลับไปที่ฟาร์มปลา ฉินสือโอวหาพวกบิลลี่เพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับจอร์จและภรรยา จอร์จก็อยากจะรู้จักกับเพื่อนสมัยเรียนของฉินสือโอวสักหน่อย ตามหลักคำพูดของเขาแล้วก็คือ ‘ด้วยความโดดเด่นเก่งกาจของอาจารย์ฉิน คิดว่าเพื่อนของเขาก็ต้องเป็นคนเก่งที่หายากเช่นกัน’

ผลสุดท้ายปรากฏว่าไอ้พวกนี้ไม่ไว้หน้าเลยสักนิด ฉินสือโอวหาไปหามาก็ไม่เจอใครสักคน

ผ่านไปสักพัก แม้แต่เหมาเหว่ยหลงและคนอื่นๆ ก็หายไป ทำให้เขารู้สึกทนไม่ได้จนต้องสบถออกไปจริงๆ

นี่เป็นราชาเหล็กกล้าแห่งอเมริกาเลยนะ แขกผู้มีเกียรติที่มาในงานแต่งงานครั้งนี้ ต่อให้เป็นยักษ์ใหญ่มาจากไหนก็ไม่กล้าพูดได้ว่าจะเทียบกับสามีภรรยาคู่นี้ได้ อย่างน้อยๆ พอพวกเจ้าชายเจอสามีภรรยาคู่นี้ก็ยังต้องพยักหน้าทักทาย ดังนั้นให้เพื่อนที่เรียนด้วยกันมารู้จักกับพวกเขาสักหน่อยก็คงไม่มีอะไรเสียหาย

ตอนบ่าย คาเมรอนและสองพ่อลูกสเตราส์ก็มาด้วยกัน ฉินสือโอวรับพวกเขามาและเพิ่งจัดที่ทางให้พวกเขาได้สักพัก เฉินเจี้ยนหนานก็โทรมา บอกว่าพวกเขาซื้อของที่เมืองเซนต์จอห์น แต่มีปัญหาเล็กน้อย อยากให้ฉินสือโอวมาช่วยดูหน่อย

ฉินสือโอวมองท้องฟ้าเห็นว่าเวลาก็ดึกแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงออกไปซื้อของเวลานี้ แต่เมื่อได้ยินว่าพวกเขากำลังมีปัญหา เขาจึงคิดว่ารีบไปจะดีกว่า พรุ่งนี้ก็เป็นวันแต่งงานแล้ว จะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นไม่ได้

ฉินสือโอวจงใจพาฮิวจ์คนน้องและเบิร์ดไปด้วย ฮิวจ์ก็เป็นอันธพาลอยู่ที่เมืองเซนต์จอห์น ส่วนเบิร์ดเป็นบอดี้การ์ดเก่งฉกาจและนักเลงมือฉมัง มีเพียงสองคนนี้ทุกเรื่องก็น่าจะสามารถผ่านไปด้วยดี

ตอนที่พวกเขาเพิ่งถึงท่าเรือก็มีรถซีตรองคันหนึ่งขับผ่านมา หน้าต่างรถเลื่อนลงโผล่ศีรษะใหญ่ๆ ออกมานอกหน้าต่าง “คุณฉินชาวจีน? คุณมีเพื่อนสมัยเรียนชาวจีนมาซื้อของใช่ไหม?”

เมื่อฮิวจ์เห็นคนคนนี้จึงรีบดึงฉินสือโอวออกมา แล้วกระซิบว่า “เชี่ยแล้ว เป็นไอ้นี่ได้ไงกัน? เขาเป็นอันธพาลคนหนึ่งในแก๊งเอธิโอเปีย ตั้งแต่ไอ้เลวนี่มาที่เมืองเซนต์จอห์น เมืองนี้ก็ไม่เคยสงบอีกเลย”

เบิร์ดล้วงมือถือออกมา แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “แบล็คไนฟ์? ตั้งจุดพิกัดบนมือถือของฉัน พวกเราอาจจะลำบากหน่อย เรียกพรรคพวกมาให้หมด อย่าลืมพกปืนมาด้วย”

ฉินสือโอวรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสอง ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้?

เมื่อยืนยันตัวตนของทั้งสามเป็นที่เรียบร้อย ชายร่างใหญ่ที่มีใบหน้าอวบก็ลงจากรถแล้วเปิดประตูหลังเพื่อบอกเป็นนัยว่าให้พวกเขาขึ้นรถไป ฮิวจ์ห้ามไว้ ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ว้าว นี่พี่วาเรสไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาอยู่นี่ได้?”

ชายร่างใหญ่ดึงเสื้อคลุมขึ้นเผยให้เห็นด้ามปืนแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “หยุดพูดเรื่องไร้สาระ ขึ้นรถ!”

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน