ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1360 ฉันยินดีค่ะ

บทที่ 1360 ฉันยินดีค่ะ

สำหรับฉงต้าแล้ว มีเรื่องสำคัญอยู่สองเรื่องคือ เรื่องแรกคือ กินอิ่มท้อง เรื่องที่สองก็ยังเป็นกินอิ่มท้อง…

ตราบใดที่กินไม่อิ่ม ฉงต้าทำอะไรก็ไม่มีความสุข มันจะพยายามหาของกินอยู่ตลอด สำหรับการแต่งงาน ใครจะแต่งงานนั้น มันไม่สนใจหรอก เพราะมันก็แค่อยากกิน อยากกิน อยากกินเท่านั้น

มันกอดวินนี่อยู่ทำอยู่แบบนี้ ผู้อำนวยการบริษัทจัดงานแต่งงานร้อนใจขึ้นมาทันที แม่ง เนื้อเรื่องต้องไม่ดำเนินไปแบบนี้สิ ไอ้หมีตัวนี้ทำไมจู่ๆ ถึงมาโต้ตอบกับเจ้าสาวแบบนี้ได้? แล้วเดี๋ยวอีกสักพักเจ้าบ่าวจะทำอย่างไรล่ะ?

โชคยังดีที่ฉินสือโอวมีเครื่องรับส่งวิทยุขนาดเล็กติดอยู่ที่เนกไท เขารีบยกเนกไทขึ้นมา เรียกหาชาร์ค “เชี่ย ชาร์ค พวกนายทำอะไรกันอยู่? ในมือมีของกินอะไรบ้าง? รีบให้ฉงต้า หลอกให้มันออกไปซะ!”

“บอส ผมคือบูล ไม่ใช่ชาร์ค” บูลหัวเราะแห้งๆ

“แม่งเอ๊ย! ฉันไม่สนหรอกว่านายเป็นใคร? รีบพาฉงต้าออกไป เดี๋ยวนี้!” อีกนิดฉินสือโอวก็จะโกรธจนพ่นลม บูลนายกำลังทำตัวน่ารักใส่ฉันเหรอ?

บูลถ่ายทอดคำสั่งของเขาออกไปต่อ ชาวประมงกลุ่มหนึ่งรีบหาของกินเท่าที่หาได้ โชคยังดีที่มีคนเอาช็อกโกแลตมาด้วย พวกเขารีบวิ่งเข้าไปยัดช็อกโกแลตใส่ปากฉงต้า ฉงต้าเคี้ยวหงึบหงับๆ ถึงผละออกแล้วจากไป

เมื่อฉากการขัดจังหวะจบลง ฉินสือโอวค่อยถอนใจโล่งอก แล้วก็ส่งจูบให้วินนี่เพื่อบอกว่าไม่ต้องกังวล ทุกอย่างควบคุมได้

พ่อฉินแม่ฉินมองดูอย่างมีความสุข พ่อฉินยังพูดอีกด้วยว่า “เหมือนงานแต่งที่บ้านเราเลย มีเด็กน้อยอยากได้ขนม”

การออกแบบของชุดเจ้าสาวของวินนี่ประณีตและงดงามมาก มีความซับซ้อนของชุดแต่งงานแบบดั้งเดิม แค่ชายกระโปรงก็ยาว 10 กว่าเมตรแล้ว ตอนที่เธอลงจากรถมีฟอกส์ที่เป็นพี่สาวนั่งมาด้วยกันช่วยยกเอาไว้ให้ พอลงจากรถก็วางแผ่ไว้เหมือนเดิม ทำให้ฉินสือโอวที่เห็นเป็นครั้งแรกรู้สึกตื่นตา

โดยปกติเวลานี้จะมีเด็กตัวเล็กๆ มาช่วยยกชายกระโปรง แต่วินนี่มีความคิดไม่เหมือนคนอื่น ใช้เป็นจิ้งจอกขาวและแลบราดอร์ จิ้งจอกขาวอยู่ตรงกลาง แลบราดอร์อยู่สองฝั่ง จงใจห่อชายกระโปรงไว้เป็นพิเศษ ทั้งสามตัววิ่งไปแล้วใช้ปากคาบก็โอเคแล้ว

สเตราส์และลูกชายของเขาชอบสุนัขมาก พอเห็นลักษณะท่าทางของแลบราดอร์ที่ดูเชื่อง แววตาก็เป็นประกาย คนอื่นๆ ต่างมองไปที่เจ้าสาวที่มีรัศมีงดงาม มีเพียงเขาสองคนเท่านั้นที่จ้องหู่จือและเป้าจือตลอด

ช่วงเวลานี้เอง พ่อของวินนี่ก็เดินเข้ามา วินนี่เอามือคล้องแขนเขา ทั้งสองคนเดินตรงไปหาฉินสือโอว

หลังจากยืนอยู่ด้วยกัน มาริโอ้ก็ตบเบาๆ ไปที่หลังมือของลูกสาวเขา และตบไปที่หลังมือของฉินสือโอวเช่นกัน เอามือของวินนี่วางไว้บนมือฉินสือโอวด้วยสีหน้าที่รู้สึกเสียดาย แล้วพูดว่า “ไอ้หนุ่ม ตอนนี้ฉันมอบสมบัติที่ฉันรักที่สุดให้กับนายแล้วนะ ขอให้ในอนาคตนายจะปฏิบัติต่อเธอด้วยความอ่อนโยนนะ”

ฉินสือโอวให้คำสัญญา “ขอให้คุณพ่อเชื่อผมครับ ผมจะรักวินนี่ไปตลอดชีวิต”

ในเวลานี้เอง วงดนตรีที่อยู่ด้านซ้ายมือของพรมแดงก็เริ่มบรรเลงดนตรีขึ้นมาอย่างสนุกสนาน ได้ยินมาว่านี่เป็นวงดนตรีจากที่ราบแพร์รีแคนาดาที่มีชื่อเสียงมาก พ่อของวินนี่เป็นคนเชิญมา

ฉินสือโอวก้าวไปตามจังหวะดนตรี แล้วก็เปิดผ้าคลุมหน้าของวินนี่ออก ทั้งคู่สบตากันหวานซึ้ง แล้วพากันเดินเข้าไปในโบสถ์ด้วยกัน

แขกทุกคนรออยู่ในโบสถ์เรียบร้อยแล้ว โบสถ์เล็กๆ เต็มไปด้วยผู้คน ยังมีคนจำนวนไม่น้อยยืนอยู่รอบๆ แน่นอนว่าคนที่ยืนอยู่คือพวกบอดี้การ์ด งานแต่งงานนี้แค่บอดี้การ์ดกับผู้คุ้มกันก็มีมากกว่า 40 คนแล้ว

บาทหลวงคาบ็อทในชุดคลุมสีดำยืนรออยู่ตรงหน้าแท่น ฉินสือโอวและวินนี่เดินไปยืนต่อหน้าเขา เจ้าบ่าวอยู่ทางซ้ายมือ เจ้าสาวอยู่ทางขวามือ เมื่อยืนเรียบร้อยแล้วเขาก็ถือ ‘คัมภีร์’ เริ่มพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการ

บาทหลวงคาบ็อทพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและทุ้มต่ำว่า “ในพิธีแต่งงานนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เจ้าบ่าว และก็ไม่ใช่เจ้าสาว ทั้งผมและคุณต่างรู้ว่า คือพระเยซู…”

”…พระเจ้า พวกเรามายืนต่อหน้าพระองค์ ได้โปรดเป็นพยานอำนวยอวยพรให้ชายหญิงคู่นี้ในพิธีแต่งงานอันศักดิ์สิทธิ์ ตามประสงค์ของพระเจ้า ทั้งสองจะกลายเป็นหนึ่งเดียวและจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ตราบฟ้าดินสลาย นับจากนี้จะก้าวเดินไปด้วยกัน รักซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สอนซึ่งกันและกัน และเชื่อใจซึ่งกันและกัน พระบิดาบนสวรรค์ทรงอวยพรให้กับสามีภรรยาคู่นี้ แรงบันใจจากพระเจ้า พระเจ้าที่เคารพ สรรเสริญต่อพระเจ้านิจนิรันดร์…”

บาทหลวงคาบ็อทอ่านตามคัมภีร์ใช้เวลา 15 นาทีเต็มๆ ฉินสือโอวยังคงยิ้มอยู่ตลอด เขาได้เตรียมใจมาแล้ว เพราะนี่เป็นขั้นตอนในพิธีแต่งงานของชาวคริสต์ จึงจำเป็นต้องอดทน

ในที่สุดก็อ่าน ‘คัมภีร์’ จบ และแล้วฉากสำคัญก็มาถึง บาทหลวงพูดว่า “เมื่อพิธีแต่งงานกำลังจะเริ่มขึ้น ข้าอยากถามทุกคนในนามของพระเยซูเจ้า ลูกศิษย์ของข้า หากมีความจริงใดที่ขัดกับจุดประสงค์ โปรดคัดค้านตอนนี้หรือเก็บไว้ในใจตลอดไป!”

ถัดมา เขาถามวินนี่ก่อนว่า “นางสาววินนี่ คุณยินดีที่จะรับผู้ชายคนนี้เป็นสามีของคุณหรือไม่? จะซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งในยามสุขและยามยาก ในยามไข้และสบายดี จะรักเขา ดูแลเขาและให้เกียรติเขาตลอดชั่วชีวิตจะหาไม่หรือไม่?”

วินนี่หันหน้าไปยิ้มหวานให้ฉินสือโอว แล้วตอบว่า “ฉันยินดีค่ะ”

มีเสียงทอดถอนหายใจเบาๆ ในงานดังขึ้น เจ้าชายเฮนรีหันไปมองเจ้าชายฮามานแดนที่อยู่ข้างๆ ด้วยความตกใจ พี่น้องถอนใจแบบนี้หมายความว่าอะไรกัน?

เสียงถอนหายใจแผ่วเบาจึงไม่ส่งผลกระทบใดๆ บาทหลวงคาบ็อทจึงถามฉินสือโอวต่อว่า “นายฉินสือโอว คุณยินดีที่จะรับผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยาของคุณหรือไม่? จะซื่อสัตย์ต่อเธอทั้งในยามสุขและยามยาก ในยามไข้และสบายดี จะรักเธอ ดูแลเธอและให้เกียรติเธอตลอดชั่วชีวิตจะหาไม่หรือไม่?”

ฉินสือโอวสูดลมหายใจเข้าลึก พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ขอสาบานต่อพระเจ้า ผมยินดีครับ!”

ถ้าหากคิดว่าพิธีแต่งงานได้เสร็จสิ้นลงแล้ว เป็นความคิดที่ผิดมากๆ เลยทีเดียว เพราะมันเพิ่งแค่เริ่มต้น

หลังจากนั้นบาทหลวงก็ถามกับแขกผู้มีเกียรติในงานทุกท่านว่า “พวกคุณยินดีที่จะเป็นพยานสำหรับคำปฏิญาณในพิธีแต่งงานของพวกเขาหรือไม่?”

แขกทั้งหลายต่างได้รับการซ้อมมาเรียบร้อยแล้วจากบริษัทจัดงานแต่งงาน จึงตอบโดยพร้อมเพรียงกันว่า ‘ยินดี’ แน่นอนว่าภาษาต่างๆ ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาถิ่นบ้านเกิดของฉินสือโอวดังผสมปนเปไปหมด ทำให้ดูวุ่นวาย แต่ก็ดูครึกครื้น

บาทหลวงถามต่อ “ใครให้เจ้าสาวแต่งงานกับเจ้าบ่าว?”

มาริโอ้ที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น “พระเจ้าของผม เธอสมัครใจแต่งให้เขาเองครับ”

บาทหลวงมองไปที่พ่อฉิน พ่อฉินไม่ได้นับถือคริสต์จึงไม่ต้องถามแล้ว แค่ยิ้มให้ก็เพียงพอแล้ว

พิธีดำเนินมาจนถึงช่วงพิธีสาบาน ฉินสือโอวและวินนี่จึงสาบานต่อกัน หลังจากนั้นบาทหลวงคาบ็อทจึงกล่าว “พระเจ้าเสกแหวนสองวงนี้เป็นดั่งคำมั่นสัญญาที่ทั้งสองได้ให้คำปฏิญาณไว้ โปรดสวมแหวนให้กัน”

ในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวกิตติมศักดิ์ จึงถึงคราวเหมาเหว่ยหลงออกหน้า เขายื่นตุ๊กตาหมีขนปุกปุยให้กับฉินสือโอว

หมีนี้เรียกว่าริงแบร์ แปลออกมาตรงๆ ก็คือ หมีผู้ถือแหวน ข้างใต้คอของเขามีถุงอยู่ใบหนึ่ง ในนั้นมีแหวนอยู่

ในมือของวินนี่ก็มีแหวนอีกวงหนึ่งซึ่งเป็นแหวนที่ฉินสือโอวคุกเข่าขอแต่งงานที่ซิโน เปค คริสทัล พาเลซแล้วมอบให้เธอเมื่อสองสามวันก่อน

เมื่อเปิดกล่องแหวน ทั้งสองก็แลกแหวนกัน บาทหลวงคาบ็อทยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วพูดว่า “ในตอนนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ประกาศในนามพระบุตร พระบิดาและพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ ฉินสือโอวและวินนี่เป็นสามีภรรยาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พระเจ้าโปรดประทานพรให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน ไม่มีใครสามารถทำให้แยกจากกันได้!”

“วินนี่ ฉินสือโอว ผมได้เป็นประจักษ์พยานในการกล่าวคำสาบานว่าจะรักกันและกันของทั้งคู่แล้ว ผมยินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศให้แขกผู้มีเกียรติในที่นี้ทราบว่าพวกคุณเป็นสามีภรรยากันแล้ว ตอนนี้เจ้าบ่าวจูบเจ้าสาวได้ อาเมน!”

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน