ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1369 ลงยันต์จับปลา

บทที่ 1369 ลงยันต์จับปลา

มองฝูงกวางที่หายเข้าไปในป่า ฉินสือโอวก็ทอดถอนใจว่า “ดูท่าแล้ว ฉันจะไม่มีลาภปาก”

เป้าจือยังคงตื่นตัวอยู่ตรงนั้น พอเห็นแพะป่าวิ่งหนี มันก็อ้าปากร้องเห่าโฮ่งๆ ลักษณะท่าทางเหมือนไม่พอใจ ราวกับว่าถ้าฉินสือโอวสั่งมันสักคำมันจะไล่ล่าไปเดี๋ยวนั้นเลย

ฉินสือโอวเบะปาก พูดกับมันว่า “โอเคล่ะ ไม่ต้องตามแล้ว ดูขาสั้นๆ ของแกสิ ถ้ากลิ้งลงไปจากเขาจะทำยังไง?”

ถ้าเป็นพื้นเรียบ เป้าจือสามารถไล่ตามฝูงแพะป่าได้สบาย แต่บนเขาไม่ใช่ถิ่นของมัน แพะป่าสามารถกระโดดไปมาบนโขดหินขรุขระได้ดี ดังนั้นพวกมันจึงสามารถใช้ชีวิตบนภูเขาได้ดี แม้แต่หมาป่าเองในบางครั้งก็รู้สึกทนไม่ได้กับพวกมัน

เดินวนรอบภูเขาไปอีกรอบ ครึ่งชั่วโมงกว่าผ่านไปนอกจากล่ากระต่ายป่าได้สองสามตัวกับไก่ฟ้าสีทองก็ไม่สามารถล่าอะไรอย่างอื่นได้อีก ฉินสือโอวรู้สึกเหนื่อยใจ เมื่อมองไปด้านหลังแล้วเห็นเพื่อนกลุ่มสมัยเรียนเหนื่อยหอบ เขาจึงทำได้แค่พาทีมไปริมแม่น้ำ

“นี่เชื่อถือได้ใช่ไหม?” หม่าจินถามไปหอบไป

ฉินสือโอวบอกว่า “รอเหยื่อมาหา เชื่อถือได้แน่นอน เว้นเสียแต่ว่าพวกมันจะไม่ดื่มน้ำ”

แล้วก็เป็นจริงดั่งคาด ผ่านไปไม่นานก็มีสัตว์ป่าโผล่มา แถมพวกเขายังโชคดีมากๆ ด้วย เพราะเป็นฝูงกวางหางขาวฝูงหนึ่งและกวางอูฐคู่หนึ่งที่มีเขาใหญ่บนหัวมันเดินมาจากในป่าอย่างสบายๆ มาที่ริมน้ำ

พอเห็นเขาใหญ่บนหัวของกวางอูฐ หม่าจินและคนอื่นๆ ต่างก็ตื่นเต้นมาก รีบยกปืนอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมายเล็งเป้าไปที่กวางอูฐ

ฉินสือโอวโบกมือเพื่อบอกพวกเขาเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งรีบทำอะไรลงไป หลังจากนั้นก็กระซิบบอกว่า “อย่า อย่ายิงไปที่กวางอูฐสองตัวนั้น ให้ยิงไปที่กวางหางขาว”

เฉินเหลยพูดขึ้น “กวางอูฐหัวทั้งใหญ่เนื้อก็เยอะ แล้วอีกอย่างนายดูเขากวางใหญ่นั่นของพวกมัน น่าจะมีถึง 10 กิ่ง? เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเห็นกวางป่าแบบนี้”

ฉินสือโอวพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เนื้อเยอะพวกเราก็กินไม่หมด ทั้งหมดแล้วมีกี่คนเอง? 14 คนใช่ไหม? แล้วอีกสักพักต้องไปล่าหมูป่าอีก กินเนื้อเยอะแยะขนาดนั้นได้ยังไง? ยิงไปที่กวางหางขาวฝูงนั้นดีกว่า แล้วต้องเป็นกวางขนาดใหญ่ระดับหนึ่งด้วย อร่อยที่สุด”

นอกจากเหตุผลที่ว่าหัวของกวางอูฐมีขนาดใหญ่ เนื้อเยอะเกินไปกินไม่หมด เสียดายของแล้ว การที่ฉินสือโอวเลือกกวางหางขาวอีกเหตุผลหนึ่งก็คือปัญหาของจำนวนของกวางหางขาวในเทือกเขาเคอร์บัลที่มากเกินไป จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่แค่เกาะแฟร์เวล ทั้งแคนาดาหลายต่อหลายที่จำนวนกวางหางขาวมีมากจนล้น

อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี อะไรที่แพร่พันธุ์มากจนเป็นภัยพิบัติย่อมไม่ก่อผลดีทั้งนั้น การแพร่ขยายพันธุ์ของกวางหางขาวอาจทำให้เกิดการแย่งอาหารของสัตว์ชนิดอื่น และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ พวกมันสามารถแพร่กระจายศัตรูพืชและทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ที่ร้ายแรงที่สุดคือการแพร่ระบาดของโรคระบาดทุกๆ ฤดูหนาว ผู้คนในแคนาดาจะติดโรคลายม์จากกวางหางขาว

ดังนั้นจึงมีปรากฏการณ์แปลกๆ ในแคนาดา นั่นคือสัตว์ป่าบางชนิดต้องมีนโยบายในการลดจำนวนของพวกมัน อย่างเมื่อก่อนคือหมาป่าสีเทา และปัจจุบันคือกวางหางขาวและกระต่ายเทา

ฉินสือโอวจำได้ตอนที่เขาดูข่าวเมื่อปีที่แล้ว กรมอุทยานแห่งชาติของแคนาดาจัดสรรเงิน 1.8 ล้านดอลลาร์แคนาดาเพื่อรับสมัครนักล่าสัตว์เพื่อทำการล่ากวางหางขาวสามตัว

นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ ตามกฎหมายและข้อบังคับของแคนาดาที่เกี่ยวข้อง คนธรรมดาไม่สามารถล่ากวางในอุทยานได้ ดังนั้นจำนวนของพวกมันจึงเพิ่มขึ้น อย่างที่ราบแพร์รีแคนาดามีความหนาแน่นของกวางถึง 230 ตัวต่อตารางไมล์ ซึ่งค่าปกติคือ 15 ถึง 20 ตัวต่อตารางไมล์ เมื่อจำนวนยิ่งมากจะทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ต่อพืชพรรณ

แต่การเพิ่มขึ้นของจำนวนกวางอูฐกลับช้า จึงไม่ได้เป็นวิกฤตในเรื่องของจำนวน

ฉินสือโอวไม่ยอมให้ทุกคนยิงโดยตรงเลย เขาบอกว่าเขาขอหาที่ซ่อนก่อน และรอจนเขาส่งสัญญาณในเครื่องรับส่งวิทยุ หม่าจินและคนอื่นๆ ค่อยยิงออกไป

เขาพาเป้าจืออ้อมไปที่ต้นน้ำอย่างรวดเร็ว พอเป็นแบบนี้เมื่อหม่าจินและคนอื่นๆ ที่อยู่ทางปลายน้ำยิงปืน โดยพื้นฐานแล้วไม่น่าโดนกวางหางขาว พอฝูงกวางตกใจก็จะวิ่งไปทางต้นน้ำ เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็ยิงได้

เพื่อให้ทุกคนสนุกสนาน ฉินสือโอวก็เหนื่อยไม่น้อย

ฝูงกวางจะหยุดอยู่ริมน้ำดื่มน้ำโดยใช้เวลาค่อนข้างนาน นอกจากจะดื่มน้ำแล้วพวกมันยังเล่นน้ำด้วย แม้กระทั่งทำความสะอาดปรสิตตามร่างกาย ดังนั้นเมื่อเห็นกวางที่มีขนเปียกอย่าไปยุ่งด้วยเป็นอันขาด เพราะกวางพวกนี้จะมีปรสิตและแบคทีเรียอยู่เยอะที่สุด เพราะพวกมันเพิ่งล้างตัวมาจากในน้ำ

เมื่อรอเขาซุ่มโจมตีเสร็จ เขาก็ออกคำสั่ง ฝั่งตรงข้ามเสียงปืนดังขึ้นทันใด แล้วยังยิงรัวๆ ราวกับต้องการให้มันตายหมด ฉินสือโอวยังได้ยินเสียงร้องแปลกๆ ของเฉินเหลยและหม่าจินอีกด้วย

ฝูงกวางถูกทำให้ตกใจกลัวดั่งที่ฉินสือโอวคาดการณ์ไว้ พวกมันวิ่งไปตามกระแสน้ำตามสัญชาตญาณแล้วจึงค่อยเลี้ยวเข้าป่าไป

ฉินสือโอวเห็นฝูงกวางที่กำลังจะวิ่งเข้าไปในป่าพอดี เมื่อเขาเลือกตัวที่จะยิงได้ ก็ยืนขึ้นมาทันที ดึงคันธนูออกโค้งเหมือนพระจันทร์เต็มดวง เมื่อปล่อยมือ ลูกธนูดัง ‘ฟิ้ว’ ปลิวออกไปไกล พุ่งผ่านด้านข้างทะลุไปที่คอของกวางตัวใหญ่ประมาณหนึ่ง

ฝูงกวางไปแล้วไม่กลับมา เพียงพริบตาเดียวก็หายตัวไปหมด เหลือเพียงกวางป่าตัวหนึ่งที่พยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้ายแล้วก็ตายจากไป

หม่าจินและคนอื่นๆ ตามมาจากทางด้านหลัง ฉินสือโอวพอเห็นลักษณะที่พวกเขาถือปืนก็ตกใจ “พวกนายทำอะไรกันอยู่? เก็บปืนให้เรียบร้อย เชี่ยพวกนายไม่กลัวปืนลั่นหรือไง?”

เฉินเหลยยิ้มเยาะ “แม่งเอ๊ย เมื่อกี้เล็งไม่ดี ทำให้ฝูงกวางหนีไปหมดเลย เหอๆ โชคดีที่มีนายอยู่”

ฉินสือโอวโบกมือ เพื่อบอกให้คนทั้งกลุ่มช่วยกันมัดกวางตัวนี้ขึ้นมา ใช้ไม้ดามไว้แล้วเดินไปด้านหลัง

ขณะที่เดินทาง เฉินเหลยก็นำทีมและเริ่มตะโกนว่า ‘พระราชาเรียกข้าไปลาดตระเวนบนภูเขา’ คนอื่นพอได้ยินเขาตะโกนแล้วก็รู้สึกสนุกตามไปด้วย จึงตะโกนตาม เสียงมีขึ้นมีลง ตะโกนไปตลอดทาง

ฉินสือโอวกลับไป แล้วค้นพบว่ากลุ่มของเหมาเหว่ยหลงและคนอื่นๆ ตกได้แค่ปลากะพงดำปากใหญ่สองตัวและปลาไพค์อีกสองตัว ซึ่งทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก จึงถามขึ้น “พวกนายจะทำอะไรกิน หายไปตั้งนานจับมาได้แค่ปลาไม่กี่ตัว?”

เหยียนตงพูดอย่างไม่พอใจว่า “นี่ตกในแม่น้ำนะ นายนึกว่าเป็นฟาร์มปลาของนายหรือไง มีปลาเยอะขนาดนั้นที่ไหนล่ะ?”

สถานที่ที่พวกเขาตกปลาฉินสือโอวตั้งใจเลือกไว้ ลำห้วยส่วนใหญ่บนภูเขาทั้งตื้นและแคบ ตรงกลางภูเขามีมุมอยู่มุมหนึ่งที่กลายเป็นอ่างเก็บน้ำเล็กๆ ในนั้นมีปลาอยู่ไม่น้อย

เขาใช้จิตใต้สำนึกแห่งโพไซดอนตรวจดู ก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่ามีปลาดุกว่ายไปมาอยู่ตรงริมฝั่ง

ปลาดุกเป็นชื่อเรียกทั่วไปของคนแคนาดา ฉินสือโอวก็ลืมแล้วว่าชื่อทางวิทยาศาสตร์คืออะไร อย่างไรก็ตามมันเป็นปลาตัวใหญ่ที่พบเห็นได้น้อยในกลุ่มปลาน้ำจืด ปลาที่นี่หลายตัวมีขนาดยาวครึ่งเมตรกว่า

ปลาชนิดนี้มีนิสัยดุร้ายและโหดเหี้ยมตอนที่ออกล่าเหยื่อ มันชอบกินปลาขนาดเล็ก ดังนั้นจึงสามารถโตจนมีขนาดตัวที่ใหญ่ได้ขนาดนี้ แต่นี่ก็หมายความว่าพวกมันเหมาะกับที่จะตกปลาด้วยวิธีเดียว

ดังนั้นฉินสือโอวจึงหัวเราะเยาะและพูดขึ้นว่า “ตัวเองแพ้ก็ยอมรับมา ไม่ต้องอ้างเหตุผล ฉันถ้าตกปลาที่นี่ไม่ต้องใช้คันเบ็ดด้วยซ้ำ ทำยังไงดีล่ะ? แล้วเป็นปลาตัวใหญ่ด้วย!”

“ไร้สาระ” เหยียนตงหัวเราะใหญ่

ฉินสือโอวชี้ไปที่เขา “พนันไหมล่ะ ทุกคนเป็นพยาน”

ขณะที่พูดไป เขาก็นั่งยองๆ ที่ริมฝั่งแล้วเอามือค่อยๆ กวักไปมาบนผิวน้ำ ทุกคนไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร เฉินเจี้ยนหนานพอเห็นก็หัวเราะใหญ่ “นี่กำลังร่ายมนตร์อยู่มั้ง”

เหยียนตงพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “อย่ายุ่งนะ พี่ฉินโซ่วกำลังลงยันต์ รู้เปล่าลงยันต์จับผี? พี่ฉินโซ่วลงยันต์จับปลาได้…”

เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้ ฉินสือโอวก็เอื้อมมือลงไปจับอย่างรวดเร็ว เสียงดัง ‘ซู่’ ตอนเขาชูมือขึ้นมาในมือเขาก็คือปลาดุกยาวครึ่งเมตรกว่าจริงๆ ด้วย!

”เชี่ย!” ทุกคนจ้องด้วยความตะลึง

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท