ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1372 ฉงต้าแสนฉลาด

บทที่ 1372 ฉงต้าแสนฉลาด

วินนี่ที่กำลังอุ้มเสี่ยวหมิงและแสดงความรักกับมันอยู่นั้นก็มองเขาด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “ทำไมถึงเดาแบบนั้นล่ะ? หลังจากศาสตราจารย์แซนเดอร์สเข้าไปดูเธอใกล้ๆ สักพัก ก็พูดกับฉันว่าเธอดูเหมือนจะตั้งท้องเหมือนกัน”

แซนเดอร์สพูดแปลกๆ ว่า “ผมแค่เดา ยังไม่แน่ใจ แต่พอได้ยินบอสพูด ดูเหมือนว่าจุดอ่อนอาจจะอยู่ตรงนี้?”

ผู้คนรอบๆ ตัวจึงต่างพากันมองมาที่ตัวเขาเองด้วยสายตาสงสัย ฉินสือโอวตกใจ สมองจึงประมวลผลได้อย่างรวดเร็วและหัวเราะตอบสนองออกมาทันที “ผมก็เดาเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะตั้งท้องจริงๆ เพราะตอนที่วินนี่ตั้งท้องเสี่ยวเถียนกวา ปฏิกิริยาของเธอก็เหมือนกับราเชล คืออ่อนไหว หงุดหงิด วิตกกังวลและไม่ชอบเข้าสังคม”

แซนเดอร์ส ฮานี่ย์และคนอื่นๆ ต่างก็หัวเราะขึ้นมาอย่างตั้งใจ วินนี่ก็หัวเราะเช่นกัน เธอทั้งหัวเราะและพูดกับฉินสือโอวว่า “ที่รัก ที่แท้ตอนที่ฉันตั้งท้องก็ได้ทิ้งความประทับใจแบบนี้ไว้กับคุณเองหรอกเหรอ? ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย หลังจากกลับถึงบ้านต้องคุยกับคุณจริงๆ จังๆ แล้ว”

ทุกคนหัวเราะดังขึ้น ฮานี่ย์ขยิบตาให้ฉินสือโอวและพูดว่า “จากประสบการณ์ของผม เมื่อไรที่ภรรยาของคุณพูดแบบนี้ จะต้องเกิดสงครามขึ้นในบ้านแน่นอน”

ฉินสือโอวยิ้มเจื่อน “ไม่ๆ วินนี่เป็นผู้หญิงที่ดี มีเหตุผล ครอบครัวของฉันจึงสงบสุขมาตลอด”

วินนี่ส่ายหัวปฏิเสธทันทีว่า “ไม่หรอกที่รัก ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี แต่ตอนนี้ฉันเป็นภรรยาที่ดีของคุณไม่ใช่เหรอ?”

“แน่นอน!” ฉินสือโอวพยักหน้าเหมือนทุบกระเทียม

มือซ้ายของวินนี่อุ้มเสี่ยวหมิงส่วนมือขวาก็จับฉินสือโอวไว้ เธอมองไปที่ฮานี่ย์ที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มแล้วพูดว่า “ครอบครัวของเราสงบสุขมาก ฉินเป็นผู้ชายที่ดีมาก เขาไม่เคยใช้ความรุนแรงในครอบครัวกับฉัน เราเป็นครอบครัวที่โชคดี…”

“ถูกต้องแล้ว พ่อ พระอาทิตย์ขึ้นแล้วพระจันทร์กลับบ้านแล้วใช่ไหม? ไม่นะ ดวงดาวออกมาแล้วดวงอาทิตย์จะไปอยู่ที่ไหน? บนท้องฟ้า ฉันหาอย่างไรก็หามันไม่เจอ? กลับบ้านแล้ว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวเป็นสิ่งมงคล…” ฉินสือโอวร้องเพลงสลับน้ำเสียงไปมา

กลุ่มคนใช้สายตาใช้สายตาแปลกประหลาดใจมองไปที่เขา วินนี่จึงถามอย่างลังเลว่า “ที่รัก นี่คุณกำลังทำอะไร?”

ฉินสือโอวจึงพูดอย่างมั่นใจว่า “ ‘มงคลไตรรัตนะ’ ไง คุณบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเราเป็นครอบครัวที่โชคดี?”

วินนี่ “…”

ฉินสือโอวโบกมือและพูดว่า “เอาล่ะ ไม่ล้อเล่นแล้ว เรามาปรึกษาปัญหาเรื่องราเชลกันดีกว่า เธอน่าจะท้องหรือเปล่า? ใช่ไหม?”

“ช่วงแรกของการตั้งท้องลูกโลมา จะมองไม่ออก สามารถทำได้แค่ตรวจผ่านอัลตร้าซาวด์บีเท่านั้น แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงทำได้แค่รอเวลาตรวจผลเท่านั้น” แซนเดอร์สกล่าว

แต่เครื่องอัลตร้าซาวด์บีชนิดนี้มีจำหน่ายเฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้น ฉินสือโอวเห็นว่าโอดอมก็อยู่ จึงถามว่า “เฮ้ คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”

โอดอมยิ้มเจื่อนๆ “พวกเขาบอกว่ามีปลาโลมาป่วย แต่ไม่มีสัตวแพทย์ในเมือง จึงทำได้เพียงให้คนไม่รู้เรื่องอย่างผมมาดู อันที่จริง ผมต้องเสียใจด้วย เหมือนว่าผมจะช่วยอะไรไม่ได้มาก”

“ถ้าอย่างนั้นมีวิธีตรวจโลมาด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์บีไหม?” ฉินสือโอวกล่าว

โอดอมพูดว่า “จะต้องใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์บีใต้น้ำ แต่เครื่องอัลตร้าซาวด์บีที่ใช้สำหรับคนยังไม่มีใช้ในเมืองของเราเลยด้วยซ้ำ ใต้น้ำก็อย่าหวังเลย นอกจากนี้ ผมเดาว่าทั่วทั้งเซนต์จอห์นก็ไม่น่าจะมีหรือเปล่า? ดังนั้นจึงต้องไปที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่เท่านั้น”

เมื่อได้ยินโอดอมพูดแบบนั้น ฉินสือโอวถอนหายใจและพูดว่า “ดูเหมือนว่าโรงพยาบาลชุมชนของเราจะขาดแคลนเครื่องอัลตร้าซาวด์เป็นจำนวนมาก”

โอดอมมองออกไปและพูดว่า “ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นแค่โรงพยาบาลชุมชนเท่านั้น”

ฉินสือโอวตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ผมจะจัดการเอง”

“บอส ถึงจะมีเครื่องอัลตร้าซาวด์บีใต้น้ำก็ใช้ไม่ได้ สิ่งนี้ไม่เหมาะกับโลมา สัญญาณจากอัลตราซาวนด์บีเป็นเสียงความถี่สูงและโลมาสามารถได้ยินมันได้ เสียงของอัลตราซาวนด์เป็นสิ่งที่อันตรายต่อโลมา” แซนเดอร์สกล่าว

“แล้วจะทำอย่างไรล่ะ? จะให้รอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ไปตลอดคงไม่ได้หรอกจริงไหม?” ฮานี่ย์พูดอย่างกลุ้มใจว่า “ถ้าป่วยจริงๆ คงรับการรักษาได้ไม่ทัน มันจะยิ่งไม่ลำบากเหรอ?”

“เราทำได้แค่สังเกตการณ์เท่านั้น แต่คุณต้องบันทึกรายละเอียดและแบ่งเป็นรอบๆ ถ้าสถานการณ์ของราเชลยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ก็จะสามารถยืนยันการคาดเดานี้ได้ นอกจากนี้ ฉันจะติดต่อศูนย์วิจัยชีววิทยาทางทะเลโตรอนโตและขอให้พวกเขาส่งผู้เชี่ยวชาญด้านโลมามาตรวจวินิจฉัย” วินนี่กล่าว

ตอนนี้ไม่มีการตัดสินใจที่ดีไปกว่านี้แล้ว ต้องทำแบบนี้เท่านั้น

ฉินสือโอวจึงกลับไปเตรียมตัว เขาหันกลับไปและเห็นฉงต้าก็ลงจากรถเช่นกันและมันกำลังนอนอยู่บนท่าเรือมองดูปลาโลมาอย่างเคลิบเคลิ้ม มีคนถ่ายรูปอยู่รอบๆ ตัวมันและยังมีนักท่องเที่ยวเดินเข้ามาหาอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ให้เพื่อนถ่ายรูปให้

วินนี่คิดว่าฉงต้าได้ค้นพบอะไรบางอย่าง จึงเดินไปดูและพบว่าเจ้าตัวนี้ขมวดคิ้ว ทำหน้าอ้วนมองไปที่โลมาที่นักท่องเที่ยวให้อาหารพร้อมกับสีหน้ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

ฉินสือโอวผลักฉงต้าให้ออกไป แต่ฉงต้ากลับนั่งลงติดกับพื้นและเงยหน้าขึ้นมองเขา จากนั้นจึงทำตาหยีและแบะปากออกมาเหมือนกับว่ากำลังยิ้มอยู่

เหตุการณ์นี้ทำให้ฉินสือโอวสับสน นี่มันอะไรกัน? เจ้าตัวนี้ยังทำท่ายิ้มได้อีกเหรอ?

หลังจากคิดดูแล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าฉงต้าอาจจะทำตัวดีใส่เขา เขาจึงหัวเราะ หลังจากหัวเราะแล้วเขาก็ดึงฉงต้าให้ลุกขึ้นยืนและจากไป

ฉงต้าทำเสียงพึมพำพร้อมกับลุกขึ้นยืนและกดไหล่ของฉินสือโอวลงแล้วมองไปที่เขา มันยังคงทำตาหยีและแบะปากที่ดูเหมือนกำลังยิ้มอยู่อย่างต่อเนื่อง

“โอเค ฉันรู้ว่าแกเป็นเด็กดี รอยยิ้มอันแสนหวานนี้ฉันก็เห็นแล้วโอเคไหม? เราควรจะกลับบ้านกันได้แล้ว” ฉินสือโอวกล่าว

เมื่อฉงต้าเห็นว่าเขากำลังจะไป จึงรีบนั่งลงและเหยียดอุ้งเท้าอวบอ้วนออกมากอดขาของเขาไว้พร้อมกับส่งเสียงครวญครางลำคอ ขมวดใบหน้าอันอ้วนกลมขึ้นและทำดวงตาเศร้าสร้อย ดูท่าทางเหมือนกำลังน้อยใจ

เดิมทีความสนใจของนักท่องเที่ยวรอบๆ จะมุ่งไปที่ฉงต้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังทำตัวขี้อ้อนน่ารักๆ เรียกความสนใจเหมือนกับปืนกลของศัตรูที่ถูกค้นพบและอำนาจการยิงทั้งหมดก็กลับมาเป็นของตัวเอง

มีคนพูดขึ้นว่า “หมีตัวนี้น่ารักมาก ฉันอยากถ่ายรูปโพสต์ลงเวยป๋อ”

“ถ้าโพสต์ลงเวยป๋อ ต้องถ่ายใกล้ๆ หน่อยสิถึงจะสวย แล้วใช้รูปหมีอ้วนตัวนี้เป็นรูปประจำตัวด้วยนะ ต้องมีคนชอบมากแน่ๆ”

ฉินสือโอวอยากจะออกไปแต่ก็ออกไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากวินนี่ วินนี่จึงเดินเข้ามานั่งยองๆ ลงและลูบหน้าผากของฉงต้า แล้วพูดปลอบโยนว่า “เอาล่ะๆ ฉงต้าเด็กดี เรากลับบ้านกันก่อนนะ…”

เมื่อเห็นวินนี่กำลังมา ฉงต้าก็ทำตาหยีพร้อมแบะปากทำท่าทางเหมือนกับกำลังยิ้มให้วินนี่

“หมายความว่าอะไร?” ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ

วินนี่มองไปที่ฉงต้า จากนั้นก็มองไปที่โลมาปากขวดที่ลอยอยู่บนผิวน้ำต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาให้อาหาร ทันใดนั้นเธอก็ทำท่าทางโต้ตอบและพูดว่า “มันเรียนรู้ท่าทางจากโลมา ถึงยิ้มออกมาแบบนั้น แล้วก็อยากจะกินด้วยใช่ไหม?”

ฉินสือโอวคิดอยู่พักหนึ่งว่านี่มันเป็นไปได้จริงๆ เหรอ แม้ว่าฉงต้าจะค่อนข้างไร้เดียงสาแทบจะตลอดเวลา แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับการกินดื่มนอนและความขี้เกียจแล้ว มันก็ฉลาดขึ้นมาได้เช่นกัน

นักท่องเที่ยวบางคนได้ยินการสนทนาระหว่างทั้งสอง หญิงสาวคนหนึ่งจึงเดินเข้ามาใกล้ๆ อย่างระมัดระวังและยื่นน้ำเชื่อมเมเปิลสีส้มให้พวกเขา แล้วพูดว่า “พวกคุณลองให้อาหารมันดูไหม?”

ไม่ต้องลองหรอก แค่เห็นน้ำเชื่อมเมเปิล ดวงตาของฉงต้าก็กลมโตสดใสขึ้นทันที มันก็ปล่อยอุ้งเท้าอันอวบอ้วนที่กอดขาของฉินสือโอวออกแล้วคลานไปยิ้มให้กับหญิงสาวคนนั้น

ไม่นานกลุ่มนักท่องเที่ยวก็กระเจิงออกมา พวกเขาแทบทุกคนต่างพากันกำลังส่งเสียงร้องตะโกนว่า “เจ้าหมีตัวนี้นี่จะฉลาดอะไรขนาดนี้นะ?!”

………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท