ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1407 วางแผนการขยาย

บทที่ 1407 วางแผนการขยาย

ในที่สุดฉินสือโอวก็เลือกกระจกกันฝ้านาโนคอมโพสิต ไม่ใช่เพราะว่าราคาของมันแพงที่สุด ไม่ใช้เพราะว่ามันมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด แต่เป็นเพราะว่ามันเหมาะสมที่สุด

จุดที่สำคัญที่สุดของกระจกกันฝ้านาโนคอมโพสิตคือชั้นฟิล์มที่ป้องกันกระจกนาโนคอมโพสิต ในทางกายภาพและทางเคมีพวกมันจะประสานเข้ากับกระจกนาโนคอมโพสิตอย่างแน่นหนา หลังจากผ่านกรรมวิธีการนี้แล้ว แบบนี้พื้นผิวกระจกก็มีความสามารถในการกันน้ำ แบบนี้น้ำจะไม่มีทางเกาะเป็นเม็ดอยู่บนผิวกระจกแน่นอน แต่จะต้องสร้างฟิล์มกันน้ำให้สม่ำเสมอทั่วทั้งแผ่น ทีละชั้น ๆ เพื่อที่จะป้องกันการเกิดฝ้า

พูดมาถึงตอนนี้ นี่ไม่ใช่กระจกธรรมดา แต่เป็นเทคโนโลยี ถ้าหากว่ากระจกที่อยู่รอบๆ ห้องบ่อน้ำพุร้อนที่เป็นกระจกที่มีความแข็งแกร่งสูงได้ใช้เทคโนโลยีขนาดนี้ พวกมันก็จะเปลี่ยนเป็นกระจกกันฝ้าได้

อีกนัยหนึ่งก็คือ การใช้เทคโนโลยีนี้ กระจกของที่ฟาร์มปลาก็จะยังสามารถใช้ได้อยู่ อีกทั้งยังเป็นวัสดุที่แข็งแรงมากอีกด้วย

อีกหนึ่งเหตุผลฉินสือโอวเลือกวิธีนี้ นั่นก็คือแคนาดาเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดในด้านนี้ ในนครเซนต์จอห์นมีโรงงานผู้ผลิตกระจกกันฝ้านาโนคอมโพสิตอยู่ และผลิตได้แข็งแรงมากอีกด้วย

หลังจากตัดสินใจได้แล้ว วิลพาคนไปยังห้องบ่อน้ำพุร้อนที่มีสภาพยับเยินที่จะต้องสร้างเร็วๆ นี้ กระจกขนาดใหญ่ถูกวางไว้บนเรือขนส่ง หลังจากนั้นจะถูกส่งไปยังโรงงานในเซนต์จอห์นเพื่อปรับปรุงมัน แล้วหลังจากก็ส่งมายังฟาร์มปลาเมื่อปรับปรุงเสร็จ จากนั้นห้องบ่อน้ำพุก็จะเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์สวยงาม

ฉินสือโอวตั้งหน้าตั้งตารอเป็นอย่างมาก เขาตั้งหน้าตั้งตารอที่หิมะจะตกในครั้งต่อไป เขาก็จะสามารถกอดกับวินนี่ในห้องบ่อน้ำพุร้อนได้ หลังจากนั้นก็จะได้มองไปยังฉากที่เต็มไปด้วยหิมะที่อยู่เหนือหัวด้านบน เขานึกไม่ออกเลยว่าวิวในช่วงฤดูหนาวที่ไหนจะสวยกว่าที่นี่อีก….นอกจากว่าจะไปที่ขั้วโลกเหนือเพื่อชมแสงออโรร่า

ทริปฮันนีมูนได้ถูกยืนยันไปแล้วตั้งแต่ทีแรก นั่นคือการไปกรีนแลนด์เพื่อดูแสงออโรร่า ไปสัมผัสบรรยากาศค่ำคืนแห่งขั้วโลกเหนือ

เขาและวินนี่ได้เห็นพ้องตรงกันในเรื่องนี้ แต่ว่าไม่สามารถไปได้ในทันที หลังจากวันฮาโลวีนไปอีกหนึ่งเดือนก็เป็นเทศกาลคริสต์มาสแล้ว สำหรับชาวแคนาดานี่คือปีใหม่ของพวกเขา วินนี่ต้องการที่จะอยู่ที่ฉลองคริสต์มาสในเมือง อีกอย่างเธอก็ได้รับตำแหน่งนายกเทศมนตรีอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เธอจะต้องไปรับมอบตำแหน่ง นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ

ตอนนี้ผลการตัดสินใจของพวกเขาคือการไปกรีนแลนด์หลังวันปีใหม่ของแคนาดา ฉินสือโอวตั้งใจที่ใช้เรือปริ้นเซสเมล่อนในการเดินทางครั้งนี้ แบบนี้ก็ใช้เวลาหนึ่งเดือนครึ่งพอดี พอกลับมาแล้วก็สามารถเตรียมตัวรับเทศกาลปีใหม่พอดี

ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวยังคงมีงานที่ต้องทำบางส่วน เช่นการจัดเตรียมการงานประมงของฟาร์มปลา จัดหาอาหารทะเลให้กับอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินในอเมริกาเหนือและโตเกียว นอกจากนี้ เขายังต้องจัดการซื้อหุ้นของบริษัทย่อยในเครือบอมบาร์เดียร์ให้เรียบร้อย

การเดินทางครั้งนี้เขาจะพาลูกเรือไปด้วยทุกคน ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องจัดหาทรัพยากรทางทะเลให้เพียงพอไว้ล่วงหน้า แบบนี้หากอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินหมดล่ะก็ บัตเลอร์ก็จะสามารถเข้ามาเอาไปได้โดยตรง

ตอนนี้ฉินสือโอวเริ่มรู้ว่ากำลังคนในมือเขาไม่เพียงพอแล้ว แม้จะรวมนีลเซ็นและเบิร์ดผู้ที่มีความสามารถรอบด้านเข้ามาด้วยแล้ว เขาก็มีชาวประมงในมือเพียงแค่สิบหกคนเท่านั้น มันพอที่จะตอบสนองความต้องการกำลังคนของเรือปริ้นเซสเมล่อนได้เท่านั้น แต่ด้วยวิธีการแบบนี้ฟาร์มปลาก็ยังคงขาดคนอยู่

หลังจากที่เข้าใจถึงจุดนี้ ฉินสือโอวก็เรียกชาวประมงทุกคนมาประชุมร่วมกัน เขาบอกทุกคนว่า “พี่น้องทั้งหลาย ทุกคนน่าจะรู้ว่า ชาวประมงในฟาร์มปลาของพวกเรามีไม่เพียงพอ ฉันอยากจะจ้างคนเพิ่มอีกสักหน่อย บอกฉันมาหน่อย ว่าจำนวนคนเท่าไหร่ถึงจะพอ?”

ไม่เสียแรงที่ชาร์คเป็นชาวประมงอันดับหนึ่งในการดูแลของเขา ชาร์คหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็ส่งให้ฉินสือโอว “บอส ผมคิดมาเรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้จำเป็นต้องจ้างคนงานในตำแหน่งคนเก็บกวาด คนตกปลา คนขนส่ง และอื่นๆ ตำแหน่งพวกนั้นอยู่บนกระดาษแล้ว คุณลองดูก่อน”

ฉินสือโอวมองไปยังกระดาษแผ่นนั้น เขาพยักหน้าอย่างพอใจ “ชาร์ค นายทำได้เรียบร้อยมาก ฉันจะเพิ่มเงินเดือนให้นายร้อยละยี่สิบ มีใครคัดค้านอะไรไหม?”

“โว้ว!” คนกลุ่มหนึ่งตะโกนออกมาด้วยความอิจฉา บูลพูดขึ้นมาว่า “ถ้าผมรู้ก่อนหน้านี้ผมก็คงทำใบสมัครเอาไว้แล้ว เรื่องนี้ใช้เวลาไม่นานหรอก ผมก็ทำออกมาได้ดีแบบนี้เหมือนกัน”

ฉินสือโอวโบกกระดาษในมือไปมาพลางพูดว่า “ถ้าหากว่านายต้องการทำรายการ จำไว้ว่าต้องใช้กระดาษเอสี่นะ อย่าใช้เหมือนกับชาร์ค ฉันเดาว่านี่คงเป็นกระดาษชำระที่นายนำมาตอนที่นายเข้าไปในห้องน้ำ ใช่ไหม?”

ชาร์คหัวเราะออกมาเสียงดัง “จะเป็นไปได้อย่างไรล่ะครับบอส นี่เป็นกระดาษที่ผมให้ชาร์คน้อยไปตอนที่ไปประชุมผู้ปกครอง ผมใช้กระดาษวาดเขียนของเขาครับ”

เหล่าชาวประมงต่างพากันหัวเราะขึ้นมา ฉินสือโอวชี้ไปที่ชาร์คและพูดว่า “ฉันเดาไว้แล้วล่ะ เดิมทีฉันจะกะจะขึ้นเงินเดือนให้นายร้อยละยี่สิบห้า หลังจากที่มาคิดๆ ดูแล้ว ร้อยละยี่สิบถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว นายจำเป็นต้องจำบทเรียนนี้ไว้ให้ขึ้นใจ มีหลายเรื่องที่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ เมื่อนายสังเกตเห็นมัน นายก็จะทำมันได้ดีมากขึ้น”

“พี่น้อง ฉันละเห็นใจนายจริงๆ ร้อยละยี่สิบห้าเลยนะ” ซีมอนสเตอร์แปะมือกับชาร์ค สีหน้าแสดงออกถึงความรู้สึกเสียดาย

ในกระดาษของชาร์คมีรายละเอียดเขียนไว้อย่างชัดเจน ทุกตำแหน่งต้องการคนกี่คน ลูกจ้างที่ต้องการจำเป็นต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ทุกอย่างละเอียดชัดเจน ดังนั้นหลังจากที่ฉินสือโอวดูแล้วจึงคิดเพิ่มเงินเดือนให้เขา สำหรับเขาแล้วนี่คือพรสวรรค์

หนึ่งในนั้น ที่บนสุดของกระดาษได้เขียนตำแหน่งที่ต้องการอยู่หนึ่งตำแหน่ง นั่นคือหัวหน้าวิศวกรเรือ มีวงเล็บต่อท้ายด้วยชื่อของเพ่าไห่ ก่อนหน้านี้เพ่าไห่เคยมาฝึกงานอยู่บนเรือปริ้นเซสเมล่อนอยู่สองสามวัน ชาร์คและคนอื่นๆ ตามเขาไปตลอดเวลา

พอเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องคิดแล้วว่า หัวหน้าวิศวกรก็คือเพ่าไห่แล้วกัน นอกจากนี้ตำแหน่งอื่นๆ ยังคงขาดคนค่อนข้างมาก จำเป็นจะต้องจ้างคนเพิ่มอีกยี่สิบห้าคน

ตอนนั้นเองฉินสือโอวก็ตระหนักได้ว่า กิจการฟาร์มปลาของเขาไม่ได้เป็นกิจการขนาดเล็กอีกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินที่หลังจากก่อตั้งที่แคนาดาแล้วจะสามารถให้ตำแหน่งงานให้แก่ชาวเมืองเพิ่มได้อีกมากมายแค่ไหน และไม่ต้องพูดถึงหลังจากที่เขาเข้าร่วมหุ้นกับบอมบาร์เดียร์แล้วจะสามารถให้ตำแหน่งงานได้อีกเท่าไหร่ เรียกได้ว่าฟาร์มปลาของเขา สามารถจัดหางานให้แก่ชาวเมืองได้มากกว่าสี่สิบคน

ยี่สิบห้าคนนี้ ฉินสือโอวคิดที่แบ่งรับสมัครเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งรับสมัครคนในพื้นที่สิบคน อีกกลุ่มหนึ่งเขาจะรับสมัครคนจีนหรือไม่ก็แรงงานส่งออกชาวจีนที่ถูกส่งมายังแคนาดาสิบห้าคน

คนพื้นที่จะเป็นคนที่ชาร์คและคนอื่นๆ แนะนำมา ไม่สามารถรับใครสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ต้องเป็นคนที่ชำนาญด้านทักษะวิชาชีพ สามารถให้เขาวางใจได้ แต่การรับสมัครชาวจีน เนื่องจากว่าเขาก็เป็นชาวจีนเหมือนกัน ดังนั้นการใช้งานเพื่อนร่วมชาติจึงเป็นเรื่องที่ทำให้เขาวางใจได้มากขึ้น

เมื่อคิดได้เขาก็พูดออกมาตรงๆ ฉินสือพูดขึ้นมาว่า “ชาร์ค ประกาศบอกคนในเมืองที่นายคิดว่าพวกเขาฝีมือดี ฉันต้องการคนสิบคน ถามพวกเขาว่าใครพร้อมที่จะมาบ้าง ส่วนอีกสิบห้าคนฉันมีวิธีอื่น”

ชาร์คพยักหน้าและพูดว่า “ไม่มีปัญหา ผมจะพาคนสิบคนที่ดีที่สุดมาที่ฟาร์มปลา หากเกิดปัญหาอะไร สามารถตัดเงินเดือนผมไปได้เลยหนึ่งเดือน”

ฉินสือโอวมองไปยังชาร์ค เขาเอื้อมมือออกไปตบบ่าชาร์คพลางพูดขึ้นว่า “งั้นเหรอ สิบคนนี้ให้นายพามาแล้วกัน อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ เพื่อนยาก นายก็รู้ว่าฉันหวังกับนายไว้”

ชาร์คหัวเราะออกมา โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรอีก เขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขาเป็นลูกน้องที่สามารถวางใจได้จากผลงานที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน

ต่อมาแผนการการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูหนาวก็ได้ถูกแบ่งหน้าที่ ชาร์คและแลนซ์ต้องนำคนของตัวเอง ผลัดกันออกทะเลไปเพื่อตกปลา เดือนนี้จำเป็นต้องเก็บเกี่ยวอาหารทะเลให้ได้เพียงพอกับสองเดือนข้างหน้า

หลังจากประชุมเสร็จนีลเซ็นและเบิร์ดก็มาหาฉินสือโอว นีลเซ็นพูดขึ้นมาว่า “บอสครับ พวกเราอยากจะขอลาพักร้อน ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ พวกเรารู้ว่าตอนนี้คนงานของฟาร์มปลาไม่พอและมีเรื่องต้องทำมากมาย แต่ว่ามันเป็นเรื่องด่วนน่ะครับ”

ฉินสือโอวตอบกลับอย่างใจกว้างว่า “ไม่เป็นไร ฟาร์มปลาขาดคนไปแค่สองคนไม่เป็นไรหรอก”

เบิร์ดยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพลางพูดว่า “ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่สองคน แต่ว่าเจ็ดคนครับ”

……………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท