ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1419 เรือไฟล่องสู่ทะเล

บทที่ 1419 เรือไฟล่องสู่ทะเล

พูดกันตามความจริงแล้ว ฉินสือโอวเคยเห็นเรือไฟมาก่อน แต่ไม่เคยรู้เลยว่าพวกมันจะถูกปล่อยออกมาก่อนคืนวันคริสต์มาส ดังนั้นเขาจึงถามชาร์ค

ชาร์คบอกว่า เมื่อก่อนการตกปลาในทะเลเป็นงานที่มีความเสี่ยงสูงมาก คนส่วนมากที่ออกทะเลไปแล้วไม่ค่อยได้กลับมา เพราะแบบนี้ ทุกปีในคืนวันคริสต์มาสอีฟ พวกชาวประมงจะพาครอบครัวไปปล่อยเรือไฟ หนึ่งเพื่อเป็นการอธิษฐานขอให้ราบรื่น และสองเพื่อเป็นแสงไฟนำทาง ถ้าหากว่าหลังจากนี้พวกเขาตายในท้องทะเลลึก ดวงวิญญาณก็จะสามารถตามเรือไฟพวกนี้กลับมาได้

ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า การช่วยเหลือเป็นไปอย่างทันท่วงที ประเพณีนี้ในหลายๆ ที่ก็ได้หายไป อีกที่จริงแล้วที่เกาะแฟร์เวลก็ไม่ได้มีกิจกรรมปล่อยเรือไฟในคืนคริสต์มาสอีฟมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

“เหมือนที่ฉันบอก ปีที่แล้วไม่มีกิจกรรมนี้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆ ปีนี้ถึงคิดอยากจะจัดมันขึ้นมาล่ะ?” ฉินสือโอวเล่นกับเปลือกหอยขัดเงาในขณะที่พูดออกมา

ชาร์คตอบกลับว่า “ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ นายกเทศมนตรีวินนี่จัดขึ้นมาน่ะ ดูเหมือนว่าจะร่วมมือกับงานถ่ายภาพยนตร์ ที่คาเมรอนกำกับมีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเพณีนี้ พวกเราจะเจอเข้ากับพายุเฮอริเคนหลังจากวันคริสต์มาสไม่กี่วันไม่ใช่เหรอ? ผมได้ยินมาว่า ภาพยนตร์ได้มีการเปิดกล้องแล้ว งั้นพวกเรามาร่วมอธิษฐานให้งานดำเนินไปอย่างราบรื่นกันเถอะ และขอให้เป็นการนำทางเราไปสู่เรืออับปางที่จะเจอในอนาคตด้วย”

ฉินสือโอวนึกขึ้นมาได้ในทันที ที่แท้ลูกเรือที่มายังเมืองแฟร์เวลนี้ ก็เป็นดาราภาพยนตร์ที่ดูสดใสพวกนั้นนั่นเอง ในตอนที่ถ่ายภาพยนตร์กันจริงจังพวกเขาก็ลำบากกันไม่น้อย อีกไม่นานก็จะวันคริสต์มาสแล้ว พวกเขาไม่สามารถกลับบ้านไปเฉลิมฉลองได้ พวกเขาจำเป็นต้องมาถ่ายภาพยนตร์ในช่วงที่สองที่เกาะแฟร์เวล

การปล่อยเรือไฟเป็นประเพณีดั้งเดิม ฉินสือโอวต้องการที่จะเข้าร่วมและเป็นผู้จัดด้วย พอถึงเวลานั้นพวกเขาต้องออกงานด้วยกัน ต้องเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก

เมื่อคนมากงานก็สำเร็จเร็ว ไม่นานเปลือกหอยจำนวนมากก็ได้กลายมาเป็นเรือขนาดเล็ก

พวกชาวประมงใช้เครื่องขัดในการขัดเปลือกหอย เด็กๆ เข้ามาช่วยกันติดเทียนที่ด้านบน พวกเขาแบ่งงานกันอย่างชัดเจน ไม่นานงานก็สำเร็จเรียบร้อย

ชาร์คให้ฉินสือโอวพาพวกเด็กๆ ไปติดเทียน ฉินสือโอวพูดออกมาอย่างดูถูกว่า “ให้ฉันขัดเปลือกหอยเถอะ”

บลูที่ทำงานอยู่พูดขึ้นมาว่า “บอส คุณอย่างคิดว่าของพวกนี้มันง่ายเลย อันที่จริงแล้วมันต้องใช้ทักษะ เปลือกหอยที่ไม่เรียบ เมื่อวางลงไปในน้ำมันจะจมได้ง่าย ดังนั้นคุณต้องขัดเปลือกหอยจากด้านนอกเข้ามาด้านใน ยิ่งขัดมันเท่าไหร่ก็จะยิ่งโค้งลง แบบนี้ก้นของเรือก็จะลึกพอ ทำให้จมได้ยาก”

ในขณะที่พูด บลูก็สาธิตให้เขาดู หลังจากที่ขัดเสร็จ เปลือกหอยอันนั้นก็มีรูปร่างเหมือนกับเรือลำเล็ก ขอบของมันบางราวกับปีกจักจั่น ฉินสือโอวเอามันส่องกับแสงอาทิตย์ หลังจากนั้นเขาก็มองอะไรไม่เห็นอีกเลย…ขอร้องละ บลูก็เป็นแค่ชาวประมง ไม่ใช่หลู่ปันเสียหน่อย

ฉินสือโอวขัดเปลือกหอยเองหนึ่งอัน หากไม่สามารถคุมเครื่องขัดไว้ได้ และหากประมาทเพียงครั้งเดียวก็อาจจะทำให้มันแตกได้ เขาลองอยู่หลายครั้ง เปลือกหอยแตกไปแล้วสี่อัน พอขัดเปลือกหอยอันที่ห้าจึงสำเร็จ

ปรากฏว่าเมื่อวางมันลงบนทะเล เปลือกหอยขนาดใหญ่ก็ลอยขึ้นมา ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะได้ดีใจ เมื่อคลื่นทะเลพัดมามันก็หายไป

“ชาร์ค!” ท่านชายฉินด่าออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด จากนั้นเขาก็หยิบเปลือกหอยขึ้นมาอีกอันและทำต่อไปอย่างเงียบๆ

ชาร์คพูดโน้มน้าวออกมาว่า “บอส คุณไปช่วยติดเทียนได้นะ แบบนั้นมันง่ายกว่าเยอะเลยไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวยังคงยืนยันตอบกลับไปว่า “ไม่ ฉันทำมันได้ ฉันไม่อยากทิ้งมันไป เพียงเพราะว่ามันลำบาก โอเคไหม?”

ในเมื่อเขาแสดงออกถึงการตัดสินใจที่แน่วแน่แล้ว พวกชาวประมงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเขาทำได้เพียงให้ฉินสือโอวขัดเปลือกหอยด้วยตัวเอง อีกอย่างหอยที่ชาวประมงจับมาได้ก็มีจำนวนมากอยู่

ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม ฉินสือโอวขัดเปลือกหอยด้วยตัวเองอยู่หนึ่งชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ทำมันได้อย่างเชี่ยวชาญ จนในที่สุดขัดเปลือกหอยใบหนึ่งใช้เวลาเพียงสองนาทีเท่านั้น ก็สามารถทำมันออกมาได้สวยงาม

เขาติดเทียนลงบนเปลือกหอย ฉินสือโอววางมันลงไปในน้ำด้วยความมั่นใจ ปรากฏว่ามีคลื่นลูกหนึ่งพัดมา เปลือกหอยใบนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะผ่านชะตากรรมอันน่าเศร้าไปได้!

“พระเจ้าเฮงซวย ผมจะไม่เชื่อท่านอีกแล้ว” ท่านชายฉินโมโหเป็นอย่างมาก เขากัดฟันและมุ่งมั่นในการทำงานอย่างมาก

แต่ไม่ว่าเขาจะขัดเปลือกหอยอย่างไร แม้ว่าเปลือกหอยที่ออกมาจะสวยงามสมบูรณ์มากน้อยแค่ไหน สุดท้ายมันก็ยังคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงคลื่นลมทะเลได้

เพราะแบบนี้เขาเลยต้องยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้ เขาบอกกับชาร์คว่าเขาไม่สามารถทำเรือไฟจากเปลือกหอยได้ “ฉันไม่รู้ว่าปัญหามันเกิดขึ้นจากตรงไหน เปลือกหอยพวกนี้ไม่สามารถฝ่าคลื่นทะเลไปได้ ถ้างั้นก็ช่างมันเถอะ”

พวกชาวประมงมองเขาอย่างตกตะลึง ชาร์คถามออกมาว่า “คุณล้อเล่นหรือเปล่า เปลือกหอยพวกนี้ ไม่ใช่เรือจริงๆ แล้วมันจะสามารถผ่านคลื่นไปได้อย่างไร? ตราบใดที่เป็นคลื่น มันสูงกว่าเปลือกหอยแน่นอน เปลือกหอยที่พวกเราขัดมาทำเรือไฟ ก็ไม่สามารถฝ่าคลื่นทะเลไปได้เหมือนกัน”

“ใช่แล้ว เรือไฟของพวกเราใช้ที่ทะเลสาบเฉินเป่า ที่ทะเลสาบจะมีคลื่นขนาดใหญ่ได้อย่างไร” ซีมอนสเตอร์พูดออกมาอย่างเป็นเหตุเป็นผล

ฉินสือโอว “…”

นอกจากเรือไฟเปลือกหอยแล้ว พวกชาร์คยังทำเรือไฟหอยสังข์แบบพิเศษอีกด้วย

พวกชาวประมงเลือกหอยสังข์ขนาดเท่าฝ่ามือมา หลังจากนั้นก็ทำการขีดเปลือกหอยอย่างละเอียด ทำให้หอยสังข์กลายมามีรูปร่างเหมือนเรือลำเล็กที่กำลังลอยอยู่ในน้ำ สุดท้ายพวกเขาก็เติมน้ำมันขี้ผึ้งลงในหอยสังข์ แล้วเสียบไส้ตะเกียงเข้าไป หลังจากที่น้ำมันแข็งตัวก็จุดไฟ ทำให้ดูสวยงามเป็นอย่างมาก

ฉินสือโอวไม่สามารถเรียนทำอันนี้ได้ การจะทำสิ่งนี้ได้ต้องใช้ประสบการณ์และทักษะ ในหมู่ชาวประมงมีเพียงชาร์ค ซีมอนสเตอร์ แลนซ์ แซ็กไม่กี่คนเท่านั้นที่มีฝีมือทำออกมาได้ดี ส่วนคนอื่นๆ ไม่สามารถทำได้

หลังจากที่ลองอยู่หลายครั้ง เขาก็พบว่าเปลือกหอยที่เขาทำนั้นลอยขึ้นมา แม้แต่ความสมดุลของน้ำก็ยังไม่สามารถรักษาไว้ได้ ในการต่อสู้ครั้งนี้เขาคงต้องยอมแพ้ ครั้งนี้ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ไปจริงๆ

พวกของแบล็คไนฟ์อยู่ในวงการประมงมาเป็นเวลานาน ฉินสือโอวให้พวกเขาหยุดงานช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน รวมวันพักร้อนทั้งหมดสิบวัน ทำให้พวกเขาสามารถกลับไปดูแลคนที่บ้านได้ พวกเขาสามารถพักผ่อนได้จนถึงวันปีใหม่

ชาวประมงได้เตรียมของขวัญไว้มากมาย ของขวัญล้วนเป็นอาหารทะเลแห้ง เช่น ปลาโอแถบแห้ง พวกเนื้อล็อบสเตอร์แห้ง ส่วนพวกทหารสามารถเอาของพวกนี้กลับไปได้เท่าไหร่ ฉินสือโอวก็ให้พวกเขาเอากลับไปเท่านั้น

ตอนนี้ที่ฟาร์มปลามีคนมากขึ้น โดยเฉพาะทหารจากกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่มีสิบห้าคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าร่วมสงครามจริงๆ ได้เหมือนกับพวกของแบล็คไนฟ์ แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ผ่านการฝึกมาอย่างหนัก มีการจดบันทึก มีความระมัดระวังตัวสูง พวกเขาสามารถทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยได้เวลาที่เหล่าทหารไม่อยู่

ช่วงค่ำคืนของวันที่ยี่สิบสามธันวาคม วันคริสต์มาสอีฟที่มีปีละครั้งก็มาถึง

ฉินสือโอวขับรถ ในขณะที่วินนี่อุ้มเสี่ยวเถียนกวาไว้ พวกเขากำลังพาพวกเด็กๆ ไปยังริมทะเลสาบเฉินเป่าอย่างมีความสุข ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวได้เริ่มจุดเรือไฟที่นั่นกันแล้ว

พอตกกลางคืน แสงไฟก็ค่อยๆ เปล่งประกายในความมืดมิดของยามค่ำคืน วันนี้ลมไม่ค่อยแรง เหมาะแก่การวางเรือไฟในทะเลสาบเป็นอย่างมาก

“ขอให้พระเจ้าอวยพร” เออร์บักทำเครื่องหมายกากบาทที่หน้าอก “คืนวันคริสต์มาสอีฟในสิบครั้ง มีเพียงวันที่จะอากาศดีแบบนี้มากสุดเพียงสองวันเท่านั้น ดูเหมือนว่าปีนี้พระเจ้าจะอารมณ์ดีนะ”

แสงไฟจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนไหวไปตามสายลม แสงสว่างไหวไปมาทำให้ค่ำคืนอันมืดมิดเหน็บหนาวไม่ได้ดูมืดมนขนาดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรือไฟพวกนั้นถูกปล่อยลงไปในทะเลสาบ แสงสว่างจากเทียนเหล่านั้นที่ถูกจุดตัดกับความมืดของทะเลสาบ ทำให้เกิดเป็นภาพที่สวยงาม

ฉินสือโอววางเรือฟักทองลงไปในน้ำ เรือฟักทองเล็กๆ นั้นสามารถเข้าไปนั่งได้สองคน พวกเด็กๆ แยกกันไปนั่งเรือเหล่านั้น แล้วพากันพายเรือไปยังกลางทะเลสาบ หลังจากที่จุดไฟในเรือไฟเปลือกหอยแล้ว พวกเขาก็ค่อยๆ วางพวกมันลงในทะเลสาบอย่างระมัดระวัง

ตอนนี้ที่ทะเลสาบเฉินเป่า น่านน้ำขนาดใหญ่มีแสงไฟสว่างไสวอยู่ทั่ว เรือไฟขยับไปมาตามแรงคลื่นที่พัดเข้ามา แสงไฟไม่เพียงแต่จะส่องสว่างในท้องฟ้าอันมืดมิดเท่านั้น แต่ยังเกิดเงาสะท้อนในน้ำอีกด้วย นอกจากนี้คลื่นทะเลที่พัดไปมายังทำให้แสงไฟสลัวๆ นั้นเคลื่อนไหวไปมา

………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท