ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1427 ฝูงปูจักรพรรดิ

บทที่ 1427 ฝูงปูจักรพรรดิ

แม้ว่าปูจักรพรรดิจะถูกเรียกว่าปู แต่จากการจำแนกทางวิทยาศาสตร์แล้วนั้น ในความเป็นจริงพวกมันไม่ถูกจัดอยู่ในประเภทปูด้วยซ้ำ แต่สามารถพูดได้ว่าจัดอยู่ในพวกสัตว์ที่มีกระดองได้ เพราะปูจะมีขาสี่คู่กับก้ามหนึ่งคู่ และข้อต่อของข้อต่อขาจะโค้งไปด้านหน้า แต่ปูจักรพรรดิมีเพียงแค่ขาสามคู่กับก้ามหนึ่งคู่ แถมขาของพวกมันยังงอไปด้านหลังอีกด้วย

แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้มีใครสนใจในจุดนี้ ชาวประมงต่างก็คิดว่ามันเป็นแค่ปูกันทั้งนั้น เพราะมีทั้งกระดอง ก้าม ขาที่ติดกับลำตัว และภายนอกก็ดูเหมือนปู แล้วจะไปทำการแยกประเภทให้มันยุ่งยากเพื่อ?

เพราะสัตว์กระดองชนิดนี้รสชาติดีมาก มีเนื้อเยอะ แถมยังตัวใหญ่มาก สมกับที่เป็นราชาแห่งปู ทั้งยังเป็นอาหารทะเลที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่ง

ฉินสือโอวเจอปูจักรพรรดิจำนวนมาก ในทะเลลึกหนึ่งร้อยกิโลเมตรทางด้านตะวันตกของเกาะแอตตู ซึ่งมีเงาของพวกมันอยู่เต็มไปหมด เยอะมากซะจนน่าประหลาดใจ

นี่ก็ทำให้ท่านชายฉินตกตะลึง ปูจักรพรรดิมีราคาแพงที่สุดในจำพวกปู มีค่ามากกว่าปูดันเจเนสส์ที่เขาตั้งใจซื้อมาจากแปซิฟิกเหนือซะอีก อีกทั้งเจ้านี่ก็ตัวใหญ่มาก ติดแหมาแค่สองสามตัวก็ได้ทุนคืนแล้ว

ดังนั้น ไม่ว่าจะที่อะแลสกาหรือน่านน้ำทะเลกรีนแลนด์ เพียงแค่ชาวประมงเห็นเงาของพวกมันก็จะทำการฆ่าทันที แต่ไม่รู้ว่าทำไมที่นี่ถึงได้เหลืออยู่เยอะอย่างคาดไม่ถึง

เช่นนี้ ท่านชายฉินถึงกับคิดไม่ตก เพราะปูจักรพรรดิเต็มไปด้วยแรงดึงดูดชาวประมง

ในความเป็นจริงตอนแรกเขาก็เคยคิดจะเพาะเลี้ยงปูจักรพรรดิ แต่น่าเสียดายที่ปูชนิดนี้ค่อนข้างดุร้าย และอัตราการสืบพันธุ์ก็เป็นที่น่าขนลุก โดยปูเพศเมียทุกตัวจะสามารถออกลูกได้เกือบหมื่นตัวในแต่ละปี หากนำเข้าสู่ฟาร์มปลาต้าฉิน ก็คงจะเป็นภัยต่อระบบนิเวศวิทยา ไม่ว่าจะพวกล็อบสเตอร์ ปลาลิ้นหมา ปูดันเจเนสส์ หรือจะหอยงวงช้างก็คงตกเป็นอาหารของมัน!

และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือที่ขั้วโลกใต้

เมื่อประมาณสิบสองสิบสามปีก่อน ไม่รู้ว่าเป็นนักสมุทรศาสตร์โซเวียตหรือนักสมุทรศาสตร์ของอเมริกาหรือนอร์เวย์ พวกเขานำตัวอย่างปูจักรพรรดิอะแลสกาล็อตหนึ่งมายังขั้วโลกใต้ สุดท้ายปูพวกนี้ก็หนีออกจากการผสมพันธุ์เทียม แล้วหนีเข้าไปในน้ำแข็งขั้วโลกใต้

จากนั้นในระหว่างการสำรวจขั้วโลกใต้เมื่อเร็วๆ นี้ทีมวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศสถึงกับต้องตกใจเมื่อพบว่ามีปูจักรพรรดิจำนวนมากอาศัยอยู่ใต้แนวหินที่ล้อมรอบแผ่นดินขั้วโลกใต้ และจากการตรวจสอบอย่างละเอียดจากความร่วมมือกันของหลายๆ ประเทศ พบว่ามีอยู่ปูจักรพรรดิอยู่มากกว่าหนึ่งล้านตัว!

ซึ่งหากเจอเจ้าพวกนี้ที่น่านน้ำอะแลสกา ชาวประมงแถบอเมริกาคงดีใจจนเนื้อเต้น แต่น่าเสียดายที่พวกมันอยู่ขั้วโลกใต้!

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้า เมื่อทีมวิจัยทางวิทยาศาสตร์นานาชาติได้คาดการณ์ไว้ว่าในอีกสิบถึงยี่สิบปีข้างหน้า น่านน้ำทะเลขั้วโลกใต้จะพบกับภัยพิบัติทางระบบนิเวศ

และที่ยิ่งน่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ ข้อกำหนดทางความร่วมมือระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะชาติไหนก็ตาม ต่างก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปทำการล่าในแถบแอนตาร์กติกา ดังนั้นปูจักรพรรดิพวกนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีศัตรูทางธรรมชาติแล้ว ยังไม่มีศัตรูที่เป็นพวกมนุษย์อีกด้วย

ปูจักรพรรดิแถบแอนตาร์กติกาเหล่านั้นมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าปูอลาสก้าหรือสามารถเรียกได้อีกอย่างว่าปูราชาทองคำ เพราะบรรพบุรุษของพวกมันมาจากอะแลสกา และปูจักรพรรดิในน่านน้ำเกาะกรีนแลนด์พวกนี้ก็มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าปูแดงจักรพรรดิ ซึ่งทั้งสองต่างก็ล้ำค่าพอๆ กัน

ปูจักรพรรดิเป็นสิ่งมีชีวิตในน้ำเย็น ซึ่งมีน้อยชนิดนักที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงอย่างขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ได้ และในสภาพแวดล้อมนี้ยังสามารถทำให้ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหนก็จะมีรสชาติที่อร่อยมาก แถมยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการและปราศจากมลพิษ

ต่อมาเมื่อเขามองไปรอบๆ ตามจิตสำนึกแห่งโพไซดอน ก็เข้าใจถึงเหตุผลที่ว่าทำไมน่านน้ำแห่งนี้ยังคงมีปูจักรพรรดิอยู่เป็นจำนวนมาก

ซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เพราะบริเวณก้นทะเลโดยรอบของน่านน้ำขนาดใหญ่นั้นมีความซับซ้อนมาก อย่างที่รู้โดยทั่วกัน ปูจักรพรรดิดำรงชีวิตอยู่ในเขตน้ำลึก และโดยปกติแล้วแนวน้ำลึกนั้นไม่มีหินโสโครก ดังนั้นเรือยนต์ขนาดใหญ่สามารถมาจับมันได้อย่างง่ายดาย

แต่น่านน้ำแห่งนี้ไม่เหมือนกัน เพราะมันมีหินโสโครกเป็นชั้นๆ ซ้อนกันอยู่ จึงเดาว่านี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ชาวประมงแห่งเกาะกรีนแลนด์ไม่มาล่าปูจักรพรรดิที่นี่

ด้วยการนำของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน เรือปริ้นเซสเมล่อนจึงสามารถเข้าออกน่านน้ำแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย

ฉินสือโอวไปหาซีมอนสเตอร์และชาร์ค เพื่อบอกพวกเขาว่ามีปูแดงจักรพรรดิอยู่ในน่านน้ำแห่งนี้

ซีมอนสเตอร์และชาร์คที่กำลังดื่มกาแฟร้อนพร้อมกับคุยกันอยู่ก็ถึงกับตะลึง แล้วถามว่า “คุณแน่ใจ? เจอโดยห้าธาตุพิชิตมังกรงั้นเหรอ?”

ฉินสือโอวตบลงไปบนแผนที่ทะเลที่อยู่หลังพวกเขาและพูดว่า “ไม่ ฉันก็เห็นจากข้างบนนี้แหละ พวกนายดูสิ ตรงนี้น่ะไม่ใช่ว่ามีสัญลักษณ์อะไรสีแดงสดอยู่ตรงนั้นเหรอ? แล้วนั่นก็น่าจะเป็นปูแดงจักรพรรดิไม่ใช่หรือไง?”

ชาร์คถึงกับเลิ่กลั่ก แล้วพูดขึ้นด้วยความกลุ้มใจว่า “แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิบอส ถึงแม้น่านน้ำทะเลผืนนี้จะถูกทำเครื่องหมายสีแดงบนแผนที่ แต่พวกเราคิดว่านั่นหมายความถึงความเป็นอันตรายของน่านน้ำนะ…”

ฉินสือโอวหัวเราะขึ้น และพูด “ฉันรู้ว่าน่านน้ำทะเลผืนนี้ถูกรู้จักในนามว่ามีหินโสโครกเยอะใช่ไหมล่ะ? แต่พวกนายดูนี่สิผังการกระจายการเก็บเกี่ยวของกรีนแลนด์เมื่อก่อน แผนที่ทางทะเลแสดงให้เห็นว่ามีปูจักรพรรดิบริเวณนี้มาก่อน เข้าใจหรือยัง?”

แน่นอนว่าชาร์คและซีมอนสเตอร์เข้าใจ การกระจายตัวของปูจักรพรรดิมีขอบเขต เนื่องจากเขตน่านน้ำทะเลแถบนี้เคยอุดมไปด้วยปูจักรพรรดิ เช่นนั้นเลยมีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติของพวกมันอยู่รอบๆ หินโสโครก เมื่อพิจารณาไปถึงสาเหตุที่น่านน้ำทะเลแถบนี้มีแต่หินโสโครกปกคลุมอยู่เต็มไปหมด และไม่มีเรือลำไหนกล้าเข้ามา ที่นี่จึงยังคงมีทรัพยากรปูจักรพรรดิอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์

“เรือพวกเราใหญ่มากเลยนะ จะเข้าไปได้เหรอ?” ทั้งสองคนเกิดความลังเลเล็กน้อย

ฉินสือโอวจึงหัวเราะขึ้น “เอาน่า เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง มีกัปตันอย่างฉันนำทางซะอย่าง ไม่มีทางชนหินโสโครกแน่นอน แต่ตอนนี้ ที่พวกนายควรจะคิดถึงไม่ใช่เรื่องความปลอดภัย แต่เป็นโควตาในการจับปลาของพวกเราที่น้อยนิดนั่นต่างหาก”

การจับปูจักรพรรดิเหมือนกับการตกปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ต้องจ่ายเงินซื้อใบอนุญาตจับปลา ซึ่งทางรัฐบาลจะเป็นคนกำหนดโควตาในการจับปลา ก่อนหน้าที่เรือปริ้นเซสเมล่อนจะออกเรือใบอนุญาตจับปลาต่างๆ ก็เตรียมมาครบเรียบร้อย และใบอนุญาตจับปูแดงจักรพรรดิให้โควตามาแค่สองร้อยตัน

ซึ่งเป็นโควตาที่ค่อนข้างน้อยมาก เพราะปูจักรพรรดิในน่านน้ำอะแลสกาและกรีนแลนด์มีจำนวนรวมทั้งหมดประมาณหนึ่งหมื่นตันในทุกๆ ปี โดยหลักๆ แล้วปูจักรพรรดิที่ออกลูกได้ประมาณแปดพันตันจะอยู่ที่อะแลสกาเป็นหลักและกรีนแลนด์มากที่สุดอยู่ที่สองถึงสามพันตัน

ดังนั้นในตอนแรกที่ฉินสือโอวให้ชาร์คไปซื้อใบอนุญาตใบละสองร้อยตันมา เพราะเขาคิดว่าสามารถจับมาได้หนึ่งในสิบของจำนวนการออกลูกในแต่ละปีแถบน่านน้ำกรีนแลนด์ก็ถือว่าดีมากแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าพอมาถึงที่หมายช่างเป็นนิมิตหมายอันดีที่เห็นปูจักรพรรดิจำนวนมหาศาลขนาดนี้

การจับปลาในทะเลลึกถือเป็นหนึ่งในงานที่อันตรายที่สุดในโลก และการจับปูจักรพรรดิก็เป็นหนึ่งในการจับปลาที่อันตรายที่สุด ซึ่งอัตราการตายของคนงานจับปูในอะแลสกาสูงกว่าคนงานทั่วไปถึงห้าสิบเท่า ในฤดูจับปู ที่ช่องแคบแบริ่งมักจะมีคนงานจับปูตายหนึ่งคนต่อเจ็ดวันโดยเฉลี่ย!

อุณหภูมิของน่านน้ำกรีนแลนด์จะอบอุ่นกว่าอะแลสกามาก แต่ก็มักจะมีชาวประมงเสียชีวิตทุกๆ ปี

ด้วยการนำทางของฉินสือโอว เรือปริ้นเซสเมล่อนจึงสามารถหลบหลีกหินโสโครกขรุขระมาได้ และไม่นานก็มาโผล่ที่หัวของฝูงปูจักรพรรดิ ฉินสือโอวจึงได้เรียกประชุมชาวประมงทั้งหมด

ครั้งนี้คนใหม่ทั้งสี่คนที่เกิงจุนเจี๋ยพามากับชาวประมงที่เรียกมาจากในเมือง รวมแล้วเขาพาชาวประมงมาทั้งหมดยี่สิบสองคน กองกำลังนี้จึงใหญ่กว่าแต่ก่อนมาก

ดังนั้นในความคาดหวังของฉินสือโอว การเก็บเกี่ยวครั้งนี้จะต้องได้ผลตอบแทนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างมหาศาล!

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท