ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1433 เปิดฉาก

บทที่ 1433 เปิดฉาก

เวลานั้น ทั้งเก้าอี้ ม้านั่งหรือแม้กระทั่งขวดเบียร์ที่มีสีเดียวกับโต๊ะก็ลอยไปทั่วบาร์ เนื่องจากเกิงจุนเจี๋ยพาพี่น้องของเขาทั้งสี่ทำการโจมตีระยะไกล ในชั่วพริบตาพวกเขากลายเป็นแกรนาเดียร์[1] ที่ทุบกลุ่มชาวประมงจนร้องไห้ครวญคราง

ชาวประมงพวกนั้นเป็นพวกหยาบช้าก็จริง แต่ก็จะยืนหยัดสู้ด้วยตัวเอง และใช้กำปั้นชนเนื้อในการต่อสู้ซะมากกว่า มีที่ไหนใช้การโจมตีระยะไกลแบบนี้ในการเปิดฉาก?

ไม่ทันไรพวกเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พวกเขาจับไปที่หัวของตัวเองพร้อมกับล้มลง และตะโกนด่า

“ฟัค! ไอ้ลิงเหลืองสารเลว! ไอ้พวกขี้ขลาดตาขาว!”

“พวกตามฉันมา จัดการไอ้คนแคนาดาพวกนี้ให้สิ้นซาก! เอาให้พวกมันต้องร้องไห้คลานออกจากร้านไปเลย!”

“โอ๊ย เวรเอ๊ย ฉันโดนตีที่หัว! พระเจ้า หัวฉันแตกด้วย!”

เก้าอี้และม้านั่งหัวโล้นถูกโยนออกไป ฉินสือโอวหยิบขวดเบียร์ชูขึ้นแล้วตะโกนออกไปว่า “ตามฉันมา จัดการพวกมัน!”

ในการเดินทางครั้งนี้เนื่องจากเขากังวลว่าอาจจะเกิดเรื่อง จึงพาพวกแบล็คไนฟ์มาด้วย คนพวกนี้ทำงานที่ฟาร์มปลาได้ปีกว่าแล้วและทำงานเป็นชาวประมงซะส่วนใหญ่ ถ้าในเรื่องการต่อสู้ก็จะตีต่อยแบบธรรมดา

เมื่อกี้ตอนที่เกิงจุนเจี๋ยและพวกของเขาขว้างโต๊ะขว้างเก้าอี้ แบล็คไนฟ์และคนของเขากลับนั่งหัวเราะอยู่กับที่มองดูอีกฝ่ายราวกับดูเด็กน้อย และทำราวกับว่าไม่อยากเข้าไปยุ่ง

พอตอนนี้ฉินสือโอวเป็นคนนำบุก พวกเขาก็ลุกขึ้นอย่างทันทีราวกับเสือที่กำลังจะเข้าไปขย้ำลูกแกะ

ฉินสือโอวนั้นฝึกมวยทุกวันทำให้เขามีร่างกายอันล้ำเลิศ แม้แต่พวกแบล็คไนฟ์ยังสู้เขาด้วยมือเปล่าไม่ได้เลย กับชาวประมงพวกนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เขาพุ่งเข้าไปในฝูงชนพร้อมกับยกแขนซ้ายขึ้นมาป้องหัวเอาไว้ พร้อมด้วยหมัดขวาที่ทะลวงออกจากด้านข้างอย่างดุเดือดชกเข้าไปที่ซี่โครงล่างของชาวประมงคนที่อยู่หน้าเขา หมัดนี้ทำให้ชาวประมงหัวโจกที่ร้องโวยวายเมื่อกี้ถึงกลับต้องร้องครวญครางออกมาอย่างน่าเวทนา

เพื่อปกป้องจุดสำคัญ ฉินสือโอวจำต้องกัดฟันออกหมัดไป เขาล้มชาวประมงสองคนติดๆ กัน จากนั้นก็คว้าคอเสื้อชาวประมงที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ขึ้นราวกับว่าเขากำลังถือโล่ เขาคำรามและโยนชาวประมงนั่นออกไปชนกับพวกของมันที่อยู่ด้านข้างจนล้มไปกองอยู่กับพื้น

ส่วนเกิงจุนเจี๋ยและพวกของเขาไม่ยอมน้อยหน้า พวกเขาชำนาญในการร่วมมือกัน ครั้งแรกในการเข้าหาคู่ต่อสู้พวกเขาจะเข้าหาแบบสองต่อหนึ่ง โดยคนหนึ่งดึงดูดความสนใจอีกคนก็เข้าโจมตีจากทางด้านหลัง ทำให้จัดการคู่ต่อสู้ไปได้ห้าถึงหกคนเลยทีเดียว

ยิ่งเมื่อได้พวกแบล็คไนฟ์เข้ามาเพิ่ม ก็เหมือนกลับเป็นวันสิ้นโลกของชาวประมงพวกนี้เลยก็ว่าได้ คนท้ายๆ ยังไม่รู้สึกอะไรหรอก แต่คนแถวหน้านั้นล้มลงไปกองอย่างกับทุ่งข้าวสาลีเป็นที่เรียบร้อย กว่าที่พวกเขาจะรู้ตัว ก็เหลือกันแค่หกเจ็ดคนที่ยังยืนไหวอยู่ และตอนนี้พวกชาร์คก็ได้เข้ามาล้อมด้วยอารมณ์เดือดดาลสุดขีด

ฉินสือโอวไม่สนใจพวกชาวประมงหางแถว เขาเข้าไปบีบคางของปีเตอร์สันชาวประมงหัวโจกเงยขึ้น แล้วตะคอกใส่ “ด่าต่อสิวะ! อย่างไอ้ลิงเนี่ย! เอาสิ! ฉันเป็นลิงนิ! สารเลว! ลุกขึ้นมาสิวะไอ้ชาติชั่ว…”

“ปั้ง!” ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น เจ้าของบาร์ที่อยู่หลังเคาน์เตอร์มองไปยังคนพวกนี้ด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร พร้อมกับในมือถือปืนลูกซองลำกล้องคู่รุ่นเก่าของเรมิงตัน ซึ่งเมื่อกี้เขายิงเข้าไปที่โต๊ะที่อยู่ข้างๆ จนตอนนี้มันได้แตกเป็นเสี่ยงๆ เรียบร้อย

ส่วนพวกสาวนักเต้นระบำก็ยังคงหมอบดูและหัวเราะคิกคักราวกับว่าพวกเธอเจอแบบนี้มาจนชินแล้ว

เจ้าของร้านมองพวกฉินสือโอวอย่างโกรธแค้น และพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ไอ้คนนอก ทิ้งเงินไว้ห้าพันแล้วไสหัวไปซะ!”

ฉินสือโอวก็ถลึงตาใส่เหมือนกัน พร้อมกับโยนคอชาวประมงหัวโจกทิ้งและตะโกนขึ้น “ฟัคยู! ปีที่แล้วฉันเพิ่งจะซื้อนาฬิกาไป แกยังอยากได้เงินอีกงั้นเหรอ?!”

เห็นลูกพี่พุ่งเข้าไป ชาร์คและคนอื่นๆ ต่างก็หวั่นใจ จึงรีบเข้าไปห้ามเขาไว้ เกิงจุนเจี๋ยพูดขึ้น “บอส บอสมองผม มองผมนะ มันไม่มีอะไรหรอกบอส ใจเย็นๆ อย่าใจร้อน”

ฉินสือโอวตะโกนขึ้น “ฉันจะทำให้ต่อไปเวลามันเจอคนจีนมันจะต้องกลัวจนตัวสั่นเลยเชื่อไหมล่ะ?”

เกิงจุนเจี๋ยพยักหน้า “เชื่อสิบอส ผมเชื่อ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันนะบอส อย่าไปเผชิญหน้ากับมันตรงๆ อย่างนั้น อีกอย่างมันมีปืนด้วยนะ ถ้าโดนมันยิงเข้าล่ะนายหญิงเป็นหม้ายเลยนะ”

ฉินสือโอวแรงเยอะเกินไป คนกลุ่มเดียวเอาเขาไม่อยู่ จนสุดท้ายเกิงจุนเจี๋ยต้องได้มาล็อกบ่าและแบล็คไนฟ์ต้องเข้ามาขวางหน้าเขาเอาไว้ ถึงทำให้เขายอมถอยกลับไปได้

เจ้าของร้านถึงกับงง เพราะจากที่เขาประเมินในตอนที่เห็นฉินสือโอวครั้งแรกก็คิดว่าแค่คนต่างชาติธรรมดา แถมทั้งที่ตัวเองยิงปืนออกไปขนาดนั้น แต่ทำไมเขาถึงยังกล้าที่จะพุ่งเข้าใส่? นี่มันอะไรกัน ในมือฉันมีปืนเลยนะ!

แต่ฉินสือโอวกลับไม่กลัวเขาเลยแม้แต่น้อย แถมยังชี้หน้าด่าเขาอีก “ไอ้สวะ แกกล้ายิงปืนใส่ฉันเลยงั้นเหรอ ฉันจะเอาทนายมาฟ้องแกคอยดู! ถามไอ้นั่นมันดูนะ มันรู้ดีถึงสถานะของฉันในเซนต์จอห์น! เตรียมตัวโดนฟ้องได้เลย!”

เจ้าของร้านนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธเคือง “อย่ามาอวดเบ่งอยู่แถวนี้นะ! สารเลว! แกมันคนสารเลว! แกคิดว่าที่นี่คือเซนต์จอห์นรึไง? ที่นี่กรีนแลนด์โว้ย! กล้ามาอวดดีในที่ของพวกฉัน? อย่าคิดว่าจะได้ออกไปจากที่นี่อย่างมีชีวิตเลย!”

ฉินสือโอวชูโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับยิ้มมุมปาก “พวกแกไม่เพียงแต่เหยียดเชื้อชาติ แต่ยังข่มขู่พวกฉันด้วย? โอเค เจอกันบนชั้นศาล! พวกแก มาเจอฉันบนชั้นศาลได้เลย!”

ชาร์คดึงฉินสือโอวลงมาพร้อมกับพูดว่า “บอสมองผม มองมาที่ผมก่อนบอส อย่าเพิ่งใจร้อน ให้ผมจัดการดีกว่า! เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง โอเคไหม? คุณถอยไปก่อน”

ซีมอนสเตอร์ก็พยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็มีชาวประมงคนใหม่อุทานด้วยความเสียดายว่า “ให้ตายสิ การต่อสู้ของพวกเรานี่โคตรเจ๋ง! ฉันยังไม่ได้ลงมือเลย เสียดายว่ะ!”

” หุบปากซะทีได้ไหม? ก็บอกแล้วไงว่านี่เดี๋ยวฉันจัดการเอง!” ชาร์คด่าเขา

จากนั้นก็ไปหยิบเอาวอดก้าที่เคาน์เตอร์มาหนึ่งขวด ชาร์คถอนหายใจกับตัวเอง พลางเดินเข้าไปหาชาวประมงที่ถูกตีจนล้มไปกองกับพื้น แล้วยื่นขวดเหล้าให้ปีเตอร์สันชาวประมงหัวโจก “เอ้าพวก ดื่มซะสิ”

“ฟัคยู!” ปีเตอร์สันผลักขวดเหล้าออก จากนั้นมือทั้งสองของเขาก็กุมไปที่ท้อง เพราะเมื่อกี้ฉินสือโอวปล่อยหมัดออกไปอย่างเต็มแรงใส่เข้าที่ซี่โครงล่างของเขา และตอนนี้เขาคงจะรู้สึกว่าซี่โครงตัวเองได้หักไปแล้ว

ชาร์คพูดขึ้น “พวก นายจะทำตามธรรมเนียมของโจรสลัดไวกิ้งหรือจะเอายังไง? หรือจะให้พวกฉันแจ้งตำรวจ? ให้ตำรวจมาจัดการการทะเลาะวิวาทที่พวกเราสร้างขึ้น? แต่ถ้าถึงตอนนั้นพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะแจ้งข้อหาอะไร หรือจะเป็นเหยียดเชื้อชาติงี้ไหม? ซึ่งพวกนายเป็นคนหาเรื่อง อย่างนี้ใช่ไหม?”

ปีเตอร์สันเงยหน้าขึ้นมองเขาและรับเอาวอดก้ามากระดกไปสองอึก คนข้างๆ ก็ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่พอหันไปมองเพื่อนที่ร้องโอดโอยอยู่ที่พื้นเขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก

ด้านหน้าฉินสือโอวมีชายท่าทางดุดันยืนอยู่ ด้านซ้ายมีกลุ่มแบล็คไนฟ์ห้าคน ด้านซ้ายก็มีกลุ่มเกิงจุนเจี๋ยอีกห้าคน ส่วนด้านหลังยังมีกลุ่มชาวประมงร่างใหญ่เอวหนาอยู่อีก จึงไม่ต้องสงสัยถึงประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกเขาเลยที่สามารถทำลายล้างได้ทั้งหมด!

เมื่อเห็นปีเตอร์สันดื่มวอดก้าแล้ว ชาร์คเลยกลับมาพูดอีก “เอาล่ะ จบเรื่องสักทีนะ” พูดไป เขาก็เดินไปที่เคาน์เตอร์พลางวางสองร้อยโครนเดนมาร์ก “ค่าเหล้าอยู่นี่นะ ที่เหลือนั้นถือว่าทิป”

เจ้าของร้านที่ยังถือปืนลูกซองรุ่นเก่าอยู่ในมือได้แต่มองดูเขาอย่างงงๆ และอึ้งไปสักพักถึงค่อยรู้สึกตัว และร้องขึ้น “ให้ตายสิ! แล้วของที่พวกแกทำลายไปใครจะชดใช้?”

แล้วชาร์คก็ชี้ไปที่ปีเตอร์สัน “ใครที่มันเริ่มเรื่องนี้ ก็ให้คนนั้นแหละเป็นคนจ่าย! หรือว่านายยังคิดจะให้พวกเราจ่าย? หรือจะให้พวกเราแจ้งตำรวจ แล้วปล่อยให้ตำรวจกับศาลจัดการเรื่องบ้าๆ นี้ดีล่ะ?”

เจ้าของร้านหันไปมองพวกปีเตอร์สัน สลับกับพวกฉินสือโอว แล้วก็เดินเข้าไปลากคอปีเตอร์สันขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราดและถามว่า “ว่ามาเลย พวก โต๊ะเก้าอี้ในร้านพังเนี่ยจะจัดการอย่างไร?”

……………………………………………..

[1] แกรนาเดียร์ คือ ทหารพิเศษที่ปรากฏอยู่ในทวีปยุโรป จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสมีหน้าที่เป็นพลขว้างระเบิดซึ่งมีขนาดเท่าลูกเบสบอล หรือปฏิบัติภารกิจจู่โจม

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน