ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1462 เรือแมวน้ำ

บทที่ 1462 เรือแมวน้ำ

ในขณะที่นั่งอยู่ในห้องควบคุม ฉินสือโอวดื่มกาแฟพลางขมวดคิ้วครุ่นคิดไปด้วย ครั้งนี้เขาต้องขอบคุณจุดอ่อนของตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างก็มีจุดอ่อนของตัวเอง จุดอ่อนของเขาคือโรคจิตหลงผิด ตั้งแต่เขามีหัวใจโพไซดอน เขาก็มีนิสัยขี้สงสัยมากขึ้น นอกจากคนที่สนิทแล้ว เขาระวังตัวกับคนอื่นเป็นพิเศษ

เดิมทีเขาเพียงแค่กังวลว่าจะมีคนรู้ว่าเขามีหัวใจโพไซดอน หลังจากนั้นเขาก็กีดกันทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามา ต่อมาโรคจิตหลงผิดก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น จนเขากลายเป็นโรคทางจิต ทำให้เขาระวังคนแปลกหน้าที่เข้ามาใกล้ทุกคน

ครั้งที่แล้วที่เรือขนส่งลักลอบจับเฟอเรทแบลคฟุตต้องการที่เข้าเทียบท่าเรือของฟาร์มปลา ฉินสือโอวค่อนข้างคิดมาก โชคดีที่ครั้งที่แล้วเขาสามารถพิสูจน์ความจริงได้ เขาถูกโรคจิตหลงผิดเข้าครอบงำ ทำให้เขาหาปัญหาของเรือลำนั้นจนเจอ

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ตอนที่คนเหล่านั่งเรือชูชีพเข้ามาใกล้ ใจของฉินสือโอวก็ร้องเตือนขึ้นมาทันที อันที่จริงแล้วถึงแม้ว่าแบล็คไนฟ์จะไม่เตือนเขา เขาก็จะไม่ปล่อยให้คนพวกนี้ขึ้นเรือมาง่ายๆ อยู่แล้ว

บางครั้งการทำสิ่งต่างๆ ด้วยความรอบคอบมากขึ้น การคิดมากไปอีกสักหน่อยก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด และมีอีกหลายครั้งที่เวลาเกิดเรื่อง ต้องขอบคุณโรคจิตหลงผิดที่ครอบงำเขา ทำให้สามารถแก้ไขวิกฤตต่างๆ ได้

พวกที่ขึ้นเรือมาเป็นพวกที่สิ้นหวังจริงๆ ถ้าหากว่าไม่ใช่พวกเขาที่เป็นฝ่ายเริ่มใช้อำนาจก่อน แบบนั้นเรือปริ้นเซสเมล่อนอาจจะเกิดเรื่องนองเลือดก็เป็นได้ พวกเขาฆ่าคนมาแล้วสามสิบเอ็ดคน แน่นอนว่าการฆ่าคนอีกกลุ่มไม่ใช่เรื่องยากเลย

ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ด้านนอกก็เกิดเสียงดังโวยวายขึ้นมา ฉินสือโอวชะโงกหน้าออกมามอง เขาเห็นแบล็คไนฟ์กำลังพาคนของตัวเองรุมทุบตีคนทั้งห้า

คนพวกนั้นเป็นพวกไม่มีความเป็นคน นอกจากจะสมควรโดนทุบตีแล้วยังสมควรโดนฆ่าอีกด้วย แต่เขาไม่อยากให้คนของตัวเองต้องเปื้อนเลือดของคนสิ้นหวังพวกนี้ อย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช้ผู้บังคับใช้กฎหมาย สามารถป้องกันตัวเองได้ และสามารถตอบกลับได้ แต่ความตายไม่ใช่เรื่องที่ดี

ดังนั้นฉินสือโอวจึงเดินออกมาพลางร้องห้ามว่า “พวกนาย หยุดเดี๋ยวนี้! พวกมันอยากจะให้พวกนายฆ่าตายจะแย่แล้ว แบบนั้นพวกมันก็จะสามารถหยุดพ้นจากการลงโทษทางกฎหมายได้!”

แบล็คไนฟ์พูดขึ้นด้วยความโมโหว่า “บอส คุณฟังพวกเราพูดให้จบก่อน พวกเราอดไม่ได้ที่จะจัดการกับพวกสารเลวพวกนี้! เมื่อกี้ผมสอบปากคำพวกมันอีกครั้ง ผมกลัวว่าเมื่อตำรวจมาถึง ตำรวจอาจจะสาวเรื่องมาถึงพวกเราได้ คุณเดาสิว่าผมเจออะไรจากการสอบปากคำ?”

“อะไรนะ?” ฉินสือโอวถาม

“ไอ้สารเลวพวกนี้ คุณรู้ไหมว่าแผนการของพวกมันคืออะไร? พวกมันจะปล้นเรือของพวกเรา จากนั้นก็จะฆ่าพวกเราทุกคน จากนั้นก็จะขับเรือของพวกเราไปยังทางตอนเหนือของกรีนแลนด์ พอถึงเวลานั้นพวกมันก็จะซ่อนตัวอยู่ในน้ำแข็งและหิมะ และก็จะไม่มีใครหาพวกมันพบ” แบล็คไนฟ์พูดออกมาด้วยความโกรธ

สีหน้าของฉินสือโอวเปลี่ยนไปทันที “ฟัค คนพวกนี้เป็นปีศาจที่มาจากนรกรึเปล่า?”

แอร์แบ็คพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “นั่นแหละพวกมัน ฆ่าคนสามสิบเอ็ดคนกับฆ่าคนห้าสิบคนสำหรับพวกมันคงไม่มีอะไรแตกต่างหรอกมั้ง? เครื่องยนต์และโทรศัพท์ดาวเทียมของเรือพวกมันเสียหายหมดแล้ว ไม่สามารถหนีไปได้ จึงคิดดักหาเรือตามทางเท่านั้น พวกเราโชคดี ที่บังเอิญเจอเข้ากับพวกมัน!”

ฉินสือโอวถอดเสื้อขนเป็ดออก เขากำหมัดแน่นและพูดลอดไรฟันออกมาว่า “เตือนฉันด้วยถ้าพวกทหารยามมาถึง ฉันจะหักกระดูกพวกมัน!”

ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะเขาและแบล็คไนฟ์ระแวงคนพวกนั้น หลังจากที่คนพวกนั้นเข้ายึดเรือลำนี้และควบคุมเรือได้จริงๆ เรื่องหลังจากนั้นคงจะน่ากลัวเป็นอย่างมาก วินนี่และเถียนกวาก็อยู่บนเรือนี้ด้วยเช่นกัน!

ที่เรือฝั่งตรงข้ามยังมีคนอยู่อีกสองคน ตามหลักแล้ว หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นกบฏที่ถูกขังไว้ และอีกคนมีไว้เพื่อดูลาดเลา

คนที่ถูกขังจะต้องเป็นชายคนที่โบกธงสัญญาณก่อนหน้านี้แน่นอน แสดงว่าชายคนนั้นยังมีจิตใจที่ดีอยู่ ตอนนั้นที่เขาส่งสัญญาณธงอาจจะหมายถึง ‘อย่าเข้ามา แจ้งตำรวจ ให้ตำรวจมาช่วยเหลือ’

จางตงไม่ได้เข้าใจมันชัดเจน เขาเข้าใจเพียงแค่อย่าเข้าใกล้และเชิญเข้ามาเท่านั้น ดังนั้นคนทั้งหมดจึงเกิดความสับสนขึ้นมา เพราะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรกันแน่

แบล็คไนฟ์ถามว่าต้องการจัดการคนทั้งสองคนนั้นหรือไม่ ฉินสือโอวส่ายหัวและบอกว่าช่างพวกเขาเถอะ คนพวกนั้นให้ตำรวจจัดการดีกว่า ใครจะรู้ว่าคนบนเรือนั้นจะมีอาวุธหรือเปล่า? สิ่งที่เหลืออยู่บนเรือนั้นจะต้องเป็นปลอกกระสุนอย่างไม่ต้องสงสัย ความสูญเสียพวกนั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากจะเห็น

เมื่อเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ ตำรวจทางทะเลจะรีบมายังที่เกิดเหตุด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด เสียงเฮลิคอปเตอร์ทั้งสี่ลำค่อยๆ ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ หนึ่งในนั้นมีเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธเพียงลำเดียวซึ่งเป็นของตำรวจรัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์

หลังจากที่ได้รับแจ้งเหตุ พวกตำรวจทะเลยังคิดว่ามีคนโทรมาแกล้ง พวกเขายังบอกกับฉินสือโอวว่าหากใครพูดเรื่องโกหกคนนั้นจะโดนจับ ปรากฏว่าหลังจากที่ตรวจสอบแล้วว่าเรือลำนั้นขาดการติดต่อมาแล้วสิบกว่าวัน พวกเขาจึงเริ่มรีบทำงาน!

พวกเขาไม่สนใจพายุหิมะที่กำลังจะเข้ามาเร็วๆ นี้ กองกำลังตำรวจที่ยอดเยี่ยมที่สุดถูกส่งมาที่เกิดเหตุ เฮลิคอปเตอร์หยุดอยู่เหนือเรือปริ้นเซสเมล่อน ตำรวจทะเลที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีไถลตัวลงมาจากเชือกที่ห้อยลงมา พวกเขาแบ่งกันไปดูเหตุการณ์สองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมายังเรือปริ้นเซสเมล่อน อีกกลุ่มมุ่งหน้าไปยังเรือชูชีพและนั่งเรือไปทางเรือลำใหญ่ลำตรงข้าม

ฉินสือโอวและพรรคพวกไม่สามารถไปไหนได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรง พวกเขาเป็นคู่กรณี จึงจำเป็นที่ต้องอยู่เพื่อให้ความร่วมมือในการสอบสวน

ผู้บังคับการสูงสุดของตำรวจทะเลมาถึงอย่างรวดเร็ว เขาคือผู้พันผิวขาวคนหนึ่งที่ดูท่าทางมีความสามารถเป็นอย่างมาก เขาเข้ามาแนะนำตัวกับฉินสือโอว “สวัสดีครับผมพันเอกฟอร์เร็ก ลีโอนาร์ด เรียกผมว่าฟอร์เร็ก”

“สวัสดีครับคุณฟอร์เร็ก” ฉินสือโอวกล่าว

ผู้พันพูดขึ้นว่า “คุณวางใจได้เลยครับ อย่างน้อยภายในหนึ่งชั่วโมง ผมเราจะจัดการสถานการณ์นี้เรียบร้อยแน่นอน พวกเราสามารถไปที่แหลมนีนเพื่อดื่มกาแฟกันได้นะครับ มา เข้าไปที่ห้องควบคุมดีกว่า ผมมีเรื่องที่ต้องถามคุณอีกเยอะเลยครับ”

ฉินสือโอวบอกข่าวที่พวกเขารู้ทั้งหมดออกมา ตั้งแต่เจอเข้ากับคนโบกธงสัญญาณจนถึงตอนที่ตัดสินใจช่วยเหลือพวกเขาและจากนั้นก็เกิดทะเลาะวิวาทกันทั้งสองฝ่าย เขาเล่าเรื่องนี้อีกครั้งอย่างละเอียด

เมื่อเขาพูดจบพันตรีคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “บนเรือบูลด็อกในรัฐเมนพบคนเพียงคนเดียวครับ ไม่พบผู้ต้องสงสัยรายที่หก ตอนนี้คาดว่าเขาน่าจะโดดลงทะเลฆ่าตัวตายไปแล้วครับ”

“ทีมกอบกู้ล่ะ? หากกระโดดลงทะเล ก็ให้พวกเขางมศพขึ้นมา!” ผู้พันพูดดอกมาเสียงดัง

ฉินสือโอวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เขาปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปดูน้ำทะเลรอบๆ ที่ใต้น้ำไม่มีร่างของศพอยู่เลย แต่ว่ามีฉลามวัวสองสามตัวว่ายไปมาอยู่ใกล้ๆ ถ้าหากว่ามีคนกระโดดลงทะเลไป เช่นนั้นพวกเขาคงหาศพไม่เจอแน่นอน

เมื่อผู้พันเห็นหู่จือและเป้าจือดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา เขาพูดขึ้นว่า “เฮ้ เพื่อนยาก นี่ใช่สุนัขราศีเมถุนแห่งเซนต์จอห์นรึเปล่า?”

หู่จือและเป้าจือเป็นสุนัขซูเปอร์สตาร์แห่งมหานครเซนต์จอห์น ชื่อของพวกมันคือสุนัขราศีเมถุน พวกมันคอยช่วยเหลือเรื่องในศาล การหาเสียงเลือกตั้งของรัฐและประสบความสำเร็จในงานโฆษณา เรื่องที่ผู้พันจะรู้จักพวกมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

ฉินสือโอวพยักหน้าบอกว่าใช่ ผู้พันขอให้ส่งแลบราดอร์ทั้งสองตัวนี้ขึ้นไปบนเรือเพื่อที่จะหาตัวฆาตกรที่หายไป เพราะสุนัขตำรวจของตำรวจทะเลยังอยู่ในระหว่างการเดินทางอยู่

อันที่จริงแล้วฉินสือโอวไม่อยากออกไปเสี่ยงอันตราย ใครจะรู้ว่าฆาตกรคนนั้นโดดลงทะเลไปหรือเปล่า? ถ้าหากว่าฆาตกรคนนั้นซ่อนตัวอยู่ที่มุมไหนสักมุมหนึ่งแล้วพอถึงตอนนั้นเขาออกมายิงหู่จือหรือไม่ก็เป้าจือล่ะ เขาจะหาเรื่องให้ตัวเองต้องเสียน้ำตาทำไม? อีกอย่างเขาก็ยังหาศพในทะเลไม่เจอ

ผู้พันเห็นว่าเขามีท่าทีลังเล เขายังคงพูดชักแม่น้ำทั้งห้า อีกทั้งยังสัญญาอีกว่าหลังจากคดีนี้จบหู่จือและเป้าจือจะได้รับเหรียญรางวัล

พอเป็นนี้ฉินสือโอวก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เขาจึงทำได้เพียงตามหู่จือและเป้าจือไปยังเรือลำนั้นด้วยกัน

หลังจากขึ้นเรือบูลด็อกในรัฐเมนแล้ว หู่จือและเป้าจือก็นิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งไปยังห้องโดยสารอย่างบ้าคลั่ง

“เกิดเรื่องแน่!” ฉินสือโอวรีบตามพวกมันไปด้วยความรีบร้อน ตำรวจทะเลไล่ตามพวกเขาพร้อมปืนกลมือด้วยความระมัดระวัง จนเมื่อเข้ามาในห้องโดยสาร ก็มีกลิ่นเหม็นลอยออกมาจากห้องนั้น ฉินสือโอวมองไปรอบๆ จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก…

พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย? นี่ไม่ใช่เรือตกหมึกกระดองหรอกเหรอ? ทำไมถึงกลายเป็นเรือแมวน้ำได้ล่ะ?!

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท