ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1447 ฉงเอ้อมาแล้ว

บทที่ 1447 ฉงเอ้อมาแล้ว

ถึงจะพูดขนาดนี้ แบล็คไนฟ์ก็ยังรีบช่วยแอร์แบ็คถอดเสื้อผ้ากับรองเท้าออก และหยิบชุดลอยน้ำมาให้เขา พร้อมกับสั่งให้เขาสวมและนอนลง จากนั้นก็บิดเสื้อผ้าที่เปียกและห่มผ้าบนตัวให้เขา ซึ่งก็ทำให้อบอุ่นเหมือนกัน

ฉินสือโอวพายไปที่ข้างๆ เรือด้วยระดับความเร็วที่เร็วที่สุด แบล็คไนฟ์รับลูกหมีตัวน้อยมา และยัดมันเข้าไปในผ้าห่ม ลูกหมีกะพริบตามองปริบๆ และหันหน้าเข้าไปในผ้าห่มด้วยแรงทั้งหมดทันที

“เด็กโง่นี่คงจะรู้สึกหนาวมาก” วินนี่พูดด้วยอย่างอ่อนโยน

เจ้าของเรืออธิบายว่า “คงจะรู้สึกกลัว มันคงคิดว่านี่คือถ้ำที่แม่มันขุดเอาไว้”

ทุกคมล้อมเข้ามาดูลูกหมี หมีขั้วโลกไม่ได้หายาก แต่เจอลูกหมีอยู่ในทะเลนี่ก็หายากอยู่

วินนี่ขอให้เจ้าของเรือรีบกลับขึ้นฝั่ง เพื่อเตรียมอาบน้ำร้อนให้ลูกหมีกับพาไปพบสัตวแพทย์และอื่นๆ เธอก็เพิ่งจะเห็นว่าสุขภาพของลูกหมีตัวนี้แย่มากเหมือนกัน

ฉินสือโอวไม่ค่อยกังวลนัก หลังจากที่ลูกหมีตกน้ำเขาก็ส่งพลังโพไซดอนเข้าไปไม่น้อย ตอนนี้มีผ้าห่มให้ความอบอุ่น อย่างน้อยเจ้าตัวน้อยก็ไม่ตายแล้ว

คนกลุ่มหนึ่งรุมล้อมกัน ทำให้เรือไม้เริ่มโคลงเคลงขึ้นมา เจ้าของเรือตื่นตระหนก “อย่าอยู่ตรงนี้กันทุกคน กระจายๆ กันหน่อย! ความสมดุลของเรือลำนี้แย่มาก ท้องเรือก็แคบเกินไป เรือจะล่มง่ายมากนะ”

ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ถ้าเรือล่ม ซึ่งมีทั้งลูกหมีมีทั้งเด็ก เรื่องสนุกก็คงจะมากขึ้น

พวกทหารจำใจต้องกระจายกันออกไป ฉินสือโอวกอดผ้าห่มไว้ในอ้อมแขน วินนี่แย่งมันไป จากนั้นก็ส่งเด็กน้อยให้เขา และพูดว่า “พวกเราสองคนมาเปลี่ยนกันหน่อย คุณอุ้มลูกสาวของคุณนะ”

นี่เขาดูโง่ขนาดนั้นจริงๆ เหรอ ท่านชายฉินกลอกตาไปมาอย่างต่อเนื่อง

วินนี่ยกผ้าห่มมุมหนึ่งขึ้น หัวของลูกหมีจึงปรากฏออกมา เมื่อพบว่าตัวเองถูกเปิดเผย ใบหน้าของลูกหมีก็เต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนก มันส่งเสียงร้องอ่อนแอออกมา และพยายามมุดต่อหลังจากนั้น

“เด็กที่น่าสงสารตัวนี้ มันจะมาอยู่บนน้ำได้อย่างไร?” วินนี่ถาม

ฉินสือโอวตอบว่า “ผมก็เจอมันอยู่บนน้ำแข็งลอยก้อนนั้น ตอนนั้นผมสนใจแค่ด้านบนมีปลาไธมัลลัสขั้วโลกเหนืออยู่ แต่ไม่ได้สนใจและนึกไม่ถึงว่าจะยังมีหมีตัวใหญ่ขนาดนี้อยู่ด้วย! ซึ่งก็แปลกมากจริงๆ!”

เจ้าของเรือพูดด้วยความกลุ้มใจ “นี่ไม่มีอะไรแปลกหรอก เพราะปรากฏการณ์เรือนกระจก ไม่กี่ปีที่ผ่านมา สภาพอากาศไม่หนาวพอ…”

“ฮะ ฮะ ฮัดชิ้ว! ผมจะหนาวตายอยู่แล้ว!” แอร์แบ็คพึมพำกับตัวเองอยู่ตรงนั้น

เจ้าของเรือพูดว่า “นี่คืออากาศที่ร้อนแล้ว เพื่อน ถ้าเป็นฤดูหนาวตอนที่ผมยังเด็ก ถ้าคุณกล้าลงน้ำแบบนี้ สิ่งที่คุณจะจับมาได้นั้นก็คือก้อนน้ำแข็ง!”

แอร์แบ็ครู้สึกอายอย่างหาที่เปรียบมิได้ อันที่จริงเขาไม่ได้จะหักล้างคำพูดของเจ้าของเรือ แต่เขารู้สึกหนาวมากจริงๆ!

เจ้าของเรือพูดต่อ “สภาพอากาศไม่หนาวพอ ชั้นน้ำแข็งไม่หนาพอ สำหรับมนุษย์คงไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับสัตว์อย่างหมีขั้วโลก หมาจิ้งจอกอาร์ติก หมาป่าขั้วโลกและอื่นๆ ถือเป็นปัญหาค่อนข้างร้ายแรง”

“ดูหมีน้อยตัวนี้สิ ชัดเจนว่าเพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน คาดว่าเป็นแม่หมีที่ทนหิวไม่ได้ จึงตื่นจากการจำศีลก่อนเวลาและพามันออกไปล่าอาหาร เมื่อพบว่าบนก้อนน้ำแข็งมีปลาจำนวนมาก มันก็ทุบก้อนน้ำแข็งและคิดจะจับปลาออกมา ผลคือก้อนน้ำแข็งบางเกินไป จึงแตกทั้งหมด หมีน้อยตัวนี้จึงตกลงไปบนก้อนน้ำแข็งในหมู่ก้อนน้ำแข็งพวกนั้น และลอยมาตลอดทาง”

เมื่อพูดถึงขนาดนี้ เจ้าของเรือก็ถอนหายใจ “นับว่าชีวิตมันหนักมาก ก่อนจะมาพบพวกเรา ถ้าลอยตามกระแสน้ำไปเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่มันจะหิวตายก่อน แต่ถ้ารอจนกระทั่งก้อนน้ำแข็งละลาย มันคงจะหาที่พักในทะเลไม่ได้ ซึ่งมันจะจมน้ำและแข็งตายอย่างแน่นอน!”

ถ้าอยู่ในเขตขั้วโลกที่เหนือยิ่งกว่านี้ หมีขั้วโลกจะอยู่ในสถานะจำศีล และเมื่อถึงเดือนมีนาคมมันจึงจะตื่น จากนั้นก็จะไปค้นหาอาหาร

เรื่องที่เจ้าของเรือพูดก็มีเหตุผล หมีน้อยตัวนี้ปรากฏตัวเร็วขนาดนี้ ก็เป็นไปได้แค่แม่หมีตื่นจากการจำศีลก่อนเวลา ผลคือด้านนอกยังมืดมาก พวกมันไม่มีวิสัยทัศน์ที่เหมือนกับหมาป่าตอนอยู่ในที่มืด จึงเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างที่แม่หมีออกล่า และสร้างความสูญเสียให้กับลูก!

แต่นี่ก็ค่อนข้างดี ฉินสือโอววิเคราะห์นิดหน่อย ลูกหมีตัวนี้กับแม่ของมันไม่ได้เพิ่งตื่น อย่างน้อยแม่ของมันก็สอนมันว่าทุบก้อนน้ำแข็งเพื่อค้นหาปลาอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นมันก็โชคดีมาก ในก้อนน้ำแข็งที่มันอยู่นั้นมีปลา และพึ่งการขุดปลาพวกนั้น มันจึงคำจุ้นชีวิตของมันมาจนถึงตอนนี้อย่างฉิวเฉียดพอดี

แต่ลูกหมีก็คือลูก มันยังเด็กเกินไป คาดว่าเกิดมาได้ไม่กี่วัน และยังต้องการนมแม่เพื่ออยู่รอด มันสามารถกินปลาได้ แต่ไม่สามารถกินแค่ปลาได้ คำพูดที่เจ้าของเรือเพิ่งจะพูดมีทั้งถูกและผิด สิ่งที่ผิดคือลูกหมีตัวนี้จะไม่รอดจนถึงน้ำแข็งละลาย และจะตายเพราะโภชนาการไม่สมดุล

สิ่งที่เขาพูดถูกนิดหน่อยก็คือ ลูกหมีโชคดีมาก ที่ถูกฉินสือโอวเจอ

ฉินสือโอว วินนี่ เจ้าของเรือ พนักงานเปิดประตูและคนอื่นๆ คุยกันตลอดเวลา ผลสุดท้ายก็คือเจ้าของเรือไขว้แขนเป็นรูปกากบาทบนหน้าอกและพูดว่า “พระเจ้าทรงอวยพร คุณฉิน คุณกับหมีน้อยตัวนี้ถูกลิขิตให้เจอกัน พระเจ้าคงส่งมันมาอยู่เคียงข้างคุณ!”

เมื่อวินนี่ได้ยินคำพูดนี้ดวงตาของเธอก็เปลี่ยนไปเปล่งประกาย “ใช่แล้วๆ นี่ก็คือโชคชะตา…”

เธอไอออกมา จากนั้นก็ใช้เสียงที่นุ่มนวลพูดว่า “สำหรับเจ้าหมีน้อย มันได้เจอกับคนที่มันต้องการเจอในหมู่คนนับพันนับหมื่น สำหรับสามีของฉัน เขาในช่วงพันปีหมื่นปี ในถิ่นทุรกันดารที่ไร้ขอบเขตของเวลา ไม่มีก้าวที่เร็ว และก็ไม่มีก้าวที่ช้า บังเอิญได้มาเจอหมีน้อยตัวนี้ ไม่มีคำอื่นจะพูด แค่คำสัญญาจากก้นบึ้งของหัวใจ โอ้ คุณก็อยู่ที่นี่เหมือนกันเหรอ? นั่นถูกลิขิตไว้ให้พวกเราได้อยู่ด้วยกัน!”

“ว้าว นายหญิงมีพรสวรรค์จริงๆ!” ทริกเกอร์อุทานด้วยความชื่นชม

แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ พยักหน้า เจ้าของเรือก็ยกนิ้วให้วินนี่ และพูดว่า “ผมเดาว่า คุณผู้หญิงจะต้องเป็นนักกวีแน่ๆ และก็คงไม่ใช่นักการเมือง นักธุรกิจและอย่างอื่นที่สกปรกอะไรนั่นแน่”

แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ ไม่กล้าพยักหน้า

ใบหน้าของฉินสือโอวเต็มไปด้วยอาการทำอะไรไม่ถูก ไม่ใช่จะรับเลี้ยงหมีน้อยงั้นเหรอ ทำไมวินนี่ถึงพูดอะไรที่เป็นวรรณกรรมขนาดนี้? ยิ่งไปกว่านั้น การบิดเบือนและเปลี่ยนคำพูดที่มีชื่อเสียงของคนอื่น นี่ดีแล้วจริงๆ เหรอ?

วินนี่ไม่ได้กดดันเลย เธอพูดจบและมองไปที่ฉินสือโอวอย่างเฝ้ารอ “เร็วๆๆ ตั้งชื่อให้เด็กคนนี้!”

กฎของฟาร์มปลา ถ้าเกิดสัตว์มีชื่อแล้ว นั่นก็คือคนในครอบครัว

ฉินสือโอวพูดโดยไม่คิดว่า “ง่ายมาก เรามีฉงต้าไม่ใช่เหรอ? งั้นนี่ก็ฉงเอ้อไง!”

จิตใต้สำนึกของเขาพูดขนาดนี้ แต่หลังจากที่พูดจบเขาก็มีความสุข มันเป็นชื่อที่ดีจริงๆ ฉงต้ากับฉงเอ้อ คู่กันขึ้นมาพอดี

ที่นี่มีแค่วินนี่ที่เข้าใจความหมายของชื่อนี้ รวมถึงแบล็คไนฟ์และคนอื่นที่อยู่ข้างใน ต่างก็มองไปที่ฉินสือโอวด้วยสายตาประหลาดใจ พนักงานเปิดประตูไม่ได้พูดด้วยความวิตกกังวลเลย “ชื่อนี้ห่วยมาก! ผมไม่เคยได้ยินชื่อที่แย่ขนาดนี้มาก่อนเลย! นี่คือหมีขั้วโลกนะ คุณจะเรียกมันว่าฉงเอ้อเหรอ? โอ้ พวกคุณยังมีหมีอีกตัว หมีตัวนั้นชื่อฉงอีใช่ไหม?”

ฉินสือโอวใช้สำเนียงภาษาจีน และพูดว่า “ฉงอีเอ้อ โอเค? มันออกเสียงแบบนี้ ไม่ใช่ออกเสียงแบบนั้นเหมือนพวกคุณ อย่างไรก็ตามนี่เป็นชื่อที่ดี ใช่ไหมที่รัก?”

วินนี่ยิ้มหวาน “แน่นอน ฉันไม่รังเกียจชื่อใดๆ ของลูกหรอก แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะเรียกมันว่า ‘โวลเท็กซ์’”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง “นี่สิถึงจะเป็นชื่อที่แย่!”

แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ พูดเป็นเสียงเดียวกัน “ไม่ครับ นี่คือชื่อของฮีโร่!”

วินนี่ยิ้มอย่างภูมิใจ และอธิบายให้ฉินสือโอวฟังนิดหน่อย โวลเท็กซ์สำหรับหมีถือเป็นชื่อของฮีโร่จริง มันคือหมีสงครามตัวหนึ่ง ซึ่งเคยรับใช้กองทัพโปแลนด์ที่ประจำการอยู่ในอิตาลีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และสังกัดอยู่ในหน่วยปืนใหญ่ของกองทัพพันธมิตร มียศทหาร มีเหรียญทหาร ต่อมาถึงขั้นได้กลายเป็นมาสคอตและตราทหารของกองทัพ

ฉินสือโอวฟันจนจบอย่างละเอียดถี่ถ้วน และพยักหน้า “โวลเท็กซ์เป็นนักสู้ในกลุ่มหมีและเป็นวีไอพีในกลุ่มนักสู้จริงๆ ดังนั้นผมตัดสินใจแล้วว่าลูกหมีตัวนี้จะชื่อฉงเอ้อ!”

ทุกคน “…”

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท