ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1467 กลับบ้านนี่ดีจริงๆ

บทที่ 1467 กลับบ้านนี่ดีจริงๆ

หลังจากที่กินเสร็จ ฉินสือโอวก็คิดว่าพวกมันจะว่ายจากไป ปรากฏว่าวาฬพวกนี้ยังคงว่ายน้ำวนไปมา

ชาร์คค่อยๆ เร่งความเร็ว เขาพยายามหลีกเลี่ยงการชนเข้ากับพวกมัน เหล่าวาฬไม่ได้ขวางทางปริ้นเซสเมล่อนไว้ แต่กลับตามหลังเรือของพวกเขามา…

ฉินสือโอวนอนมองพวกมันจากท้ายเรือ วาฬทั้งเจ็ดตัวกำลังไล่ตามเขามา พวกมันตามเรือบรรทุกนี้มาช้าๆ ฉินสือโอวแอบส่งจิตสำนึกโพไซดอนบอกให้พวกมันกลับไป

เหล่าวาฬสามารถรับคำสั่งจากเขาได้ แต่พวกมันก็ไม่ยอมไป พวกมันยังคงตามเรือบรรทุกมาอย่างดื้อรั้น ราวกับรู้ว่าพวกเขาจะมีปลาอร่อยๆ ให้กินอย่างไรอย่างนั้น

ชาร์คเร่งความเร็วของเรือ ความเร็วของวาฬไรท์ไม่สามารถตามทันเรือได้ พวกมันจึงถูกทิ้งไว้ที่ด้านหลังอย่างช้าๆ

ทันใดนั้นวาฬทั้งเจ็ดตัวก็โผล่หัวออกมาพร้อมกัน พวกมันร้องเสียง ‘โม่วโม่ว’ ทุ่มต่ำออกมา ราวกับกำลังปวดใจมากอย่างไรอย่างนั้น

ฉินสือโอวนึกถึงภาพยนตร์การปฏิวัติขึ้นอย่างไร้เหตุผล คนธรรมดาที่ถูกทิ้งให้อยู่ที่ฐานทัพโดยกองทัพกลุ่มที่สิบแปด เสียงเรียกของวาฬพวกนี้มีกลิ่นอายของเสียงร้องเรียกของชาวบ้านพวกนั้นจริงๆ

วาฬไรท์พยายามไล่ตามหลังมา พวกมันว่ายน้ำตามมาพลางโงหัวขึ้นร้องเรียก

วินนี่พูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “หรือว่าพวกมันคิดจะตามพวกเรามา?”

ฉินสือโอวกระตุกยิ้มที่มุมปาก สะใภ้สอง ยังจะสงสัยอีกเหรอ? “ไม่ได้เป็นเพราะว่าคุณให้ปลาแก่พวกมันกินหรอกเหรอ เจ้าพวกตัวโตนี้เคลื่อนไหวช้า จะมีโอกาสหาอาหารได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน พอเจอเข้ากับอาหารของคุณ จึงไม่แปลกหากพวกมันจะตัดใจยาก”

วินนี่พูดออกอย่างอ่อนแรงว่า “แล้วทำไมไม่พากลับไปเกาะแฟร์เวลด้วยเลยล่ะ? อย่างไรในพื้นที่ประมงของเมืองก็มีวาฬเยอะอยู่แล้ว หากมีวาฬหัวคันศรอยู่ในเขตอนุรักษ์พันธุ์วาฬอีกสักตัวสองตัว แบบนั้นก็ยิ่งดีไม่ใช่เหรอคะ?”

ฉินสือโอวยิ้มออกมา “กล้าที่จะให้พวกมันกินปลาของคุณเหรอ…ไม่ได้ พวกมันต้องไปที่ฟาร์มปลา ถ้าจะกินก็ต้องกินปลาของพวกเรา!”

วินนี่พูดออกมาว่า “แต่ว่าพวกมันสามารถทำกำไรได้มากเลยนะ อีกอย่าง การทำให้คนอื่นมีความสุขก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอคะ? คุณไม่สามารถทำทุกอย่างโดยมองแต่ผลกำไรได้หรอกนะ”

ฉินสือโอวมองไปยังหมีโลลิที่อยู่ด้านข้าง แล้วเลื่อนไปมองดูลูกแมวน้ำที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวเถียนกวา จากนั้นก็หันไปมองวาฬทั้งเจ็ดตัว และกลับมามองวินนี่

วินนี่ที่มีใบหน้างดงามกำลังทำหน้าบูดบึ้ง เธอพูดออกมาเสียงเบาว่า “อีกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็เปลืองแรงทั้งนั้น”

ฉินสือโอวบีบคางของวินนี่เบาๆ อย่างจนปัญญา เขาหันไปพูดกับซีมอนสเตอร์ว่า “บอกชาร์คว่าให้ลดความเร็วลง เราจะพาพวกมันกลับไปยังฟาร์มปลา…”

เหตุนี้ความเร็วของเรือใหญ่จึงลดลง พวกเขาใช้เวลาถึงสองวันสองคืนกว่าเรือลำใหญ่นี้จะเข้ามายังน่านน้ำของมหานครเซนต์จอห์น นี่เป็นเหตุผลที่ฉินสือโอวแอบส่งพลังโพไซดอนให้ฝูงวาฬอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเพิ่มความเร็วให้พวกมัน ไม่อยากนั้นสี่วันสี่คืนก็ไม่มีทางถึงไหนแน่นอน

ในตอนที่เรือปริ้นเซสเมล่อนเขาเทียบท่าเรือของตัวเองนั้น ท่านชายฉินก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงจูบท่าเรือฟาร์มปลา ผ่านเรื่องราวมามากมาย ความรู้สึกที่ได้กลับบ้านนี้ดีจริงๆ

พวกหู่เป้าฉงหลัวกระโดดลงมาจากเรืออย่างรวดเร็ว บุช นิมิตส์และแคลร์บินว่อนไปมาบนท้องฟ้าพลางส่งเสียงร้องออกมา พวกมันผลัดกันบินลงมาหาทักทายฉินสือโอว วินนี่ เพื่อนแสดงออกถึงความสนิทสนม

ลูกหมีกอดขาวินนี่ไว้ไม่ยอมลงจากเรือ ด้วยบรรยากาศที่แปลกตาไป มันเต็มไปด้วยความระวัง เพราะว่ามันได้กลิ่นเอกลักษณ์ของฟาร์มปลาลอยไปมาทั่วอากาศ หู่เป้าฉงหลัวโปสามารถฉี่ได้ทุกที่ ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สนใจสุขอนามัย แต่เป็นเพราะสร้างอาณาเขตไว้

เมื่อพ่อแม่ของฉินสือโอวเห็นพวกเขากลับมาก็ถอนหายใจออกมา พ่อของเขาพูดว่า “สองสามวันมานี้พวกเราตกใจมากเลย แม่ของแกดูโทรทัศน์ ปรากฏว่าเห็นแกอยู่ในทีวี พวกเราไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไร รู้แค่ว่าฆ่าคน ทำให้กลัวแทบตาย”

ฉินสือโอวอธิบายให้ฟังว่าในข่าวพูดว่าอะไร เขาหยิบของขวัญออกมาให้พ่อกับแม่ มันคือแก้วหลอมรูปเสมือนคนสองอัน

เมื่อเห็นว่าลูกของตัวเองปลอดภัยดี พ่อแม่ก็สบายใจ พวกเขาเห็นว่าของขวัญที่เป็นแก้วหลอมรูปเสมือนคนนั้นเหมือนกับคนจริงๆ พวกเขาชมงานหลอมแก้วฝีมือนี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสุข

เชอร์ลี่ย์ ไวส์และเด็กคนอื่นๆ ก็มารับเขาที่ท่าเรือเหมือนกัน แน่นอนว่าทุกคนได้รับของขวัญเป็นแก้วหลอมรูปคนขนาดเล็ก ของเชอร์ลี่ย์นั้นสวยที่สุด เป็นรูปของเธอที่กำลังสีไวโอลินพร้อมผมที่ปลิวไสว ราวกับมีชีวิต

เมื่อให้ของขวัญเสร็จแล้ว ฉินสือโอวกับเหล่าชาวประมงก็พากันไปขนย้ายแมวน้ำ พวกเขาย้ายพวกมันทีละกรงๆ หลังจากที่เปิดกรงแล้วพวกมันก็คลานลงน้ำไปด้วยตัวเอง

ท่าทางของเหล่าแมวน้ำดูเงอะงะและขี้เกียจ อันที่จริงแล้วโดยธรรมชาติของพวกมันแล้วต้องว่ายน้ำไปมาในทะเล ทำให้พวกมันมีทักษะในการว่ายน้ำที่ดีมาก เพราะถูกขังอยู่ในกรงมานาน เหล่าแมวน้ำจึงรู้สึกอึดอัด เมื่อมันลงทะเลก็เหมือนเสือกลับสู่ป่า พวกมันหยอกล้อเล่นกันเป็นกลุ่มอย่างมีความสุข

พ่อแม่ของฉินสือโอวตะลึงไปครู่หนึ่ง “พวกแกออกทะเลไปตกปลาตกปูไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงพาแมวน้ำกลับมาเยอะแบบนี้ล่ะ?”

ฉินสือโอวอุ้มลูกแมวน้ำตัวหนึ่งให้พ่อแม่ ลูกแมวน้ำหลับตาพริ้มพลางอ้าปากให้ ท่าทางเรียบง่ายแบบนี้ของพวกมันน่ารักกินใจคนเป็นอย่างมาก

“ว้าว น่ารักจัง!” เชอร์ลี่ย์เอื้อมมือขึ้นมาถูแก้มของลูกแมวน้ำพลางพูดออกมาอย่างตื่นเต้น

ฉงเอ้อที่อยู่ด้านข้างมองมาพลางเบ้ปาก นี่เหรอที่เรียกว่าน่ารัก? นี่เรียกว่าโง่ต่างหากล่ะ ใช่ไหม?

มันร้องออกมาอย่างไม่พอใจ ตอนนั้นทุกคนจึงเห็นมัน พวกเด็กๆ เข้ามาเล่นกับมัน ไวส์ยิ้มออกมาอย่างชอบใจพลางพูดว่า “นี่เป็นลูกหมีจริงๆ เหรอ? ผมคิดว่านี่เป็นแจ็กเกตหนังที่พี่วินนี่ซื้อมาซะอีก!”

เชอร์ลี่ย์ลูบขนอันเนียนนุ่มของหมีโลลิ พลางพูดออกมาว่า “ใช่น่ะสิ ถ้าหากว่าเอามันมาทำเสื้อหนัง จะต้องสวยแน่เลย!”

หมีโลลิฟังไม่เข้าใจ แต่มันสัมผัสไวมาก มันสังเกตเห็นแววตาที่มีเจตนาไม่ดีของเด็กพวกนี้ มันกลัวจนต้องเข้าไปหลบอยู่ที่ด้านหลังของวินนี่

สิ่งที่เหมาะสมที่สุดในการทำแจ็กเกตหนังก็คือหนังของแมวน้ำ แมวน้ำลายพิณเคยเป็นหนึ่งในสัตว์ที่มีหนังที่ดีที่สุดในแทบยุโรปและอเมริกาเหนือ ในช่วงศตวรรษที่สิบแปดสิบเก้า หญิงร่ำรวยจะสวมชุดขนสัตว์ ที่ส่วนใหญ่แล้วทำมาจากขนของแมวน้ำ

ตอนนี้หลายประเทศห้ามใช้ขนแมวน้ำมาทำเป็นเสื้อขนสัตว์ สิ่งนี้สามารถช่วยชีวิตแมวน้ำได้ ไม่อย่างนั้นเหล่าแมวน้ำคงจะกลายเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์แน่นอน

เออร์บักมองไปยังเจ้าพวกสัตว์ที่มาใหม่ของฟาร์มปลา เขายิ้มแล้วพูดออกมาว่า “พวกนายไปดูแสงออโรร่าหรือว่าไปเยี่ยมชมสวนสัตว์กันแน่?”

ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา โชคดีที่ชายชราไม่เห็นวาฬไรท์ทั้งเจ็ดตัวที่กำลังกินปลาแฮร์ริ่งอย่างมีความสุขอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะถูกถามว่าจะทำพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำหรือเปล่า

ช่วงที่ออกจากฟาร์มปลามาหนึ่งเดือน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการ วินนี่ยิ่งมีเรื่องเยอะมากกว่า วันต่อมาเธอต้องไปทำงาน จัดการเรื่องในเมืองอย่างเป็นทางการ

บลู นีลเซ็นและคนอื่นๆ ไม่ได้ไปที่กรีนแลนด์ด้วย พวกเขาจึงถามว่าเป็นอย่างไรบ้างในช่วงอาหารเย็น ฉินสือโอวตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ดีมากเลย กรีนแลนด์เป็นที่ที่ดีมากที่หนึ่ง แสงออโรร่าก็สวยมากเลยด้วย!”

นีลเซ็นถามออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “จริงเหรอครับ?”

ฉินสือโอวตบบ่าของเขา ใบหน้าแสดงออกถึงความตื่นตะลึง “เหมือนกับอยู่ในฝันเลยล่ะ เพื่อน ฉันพูดได้แค่ว่า ตอนที่กำลังดูแสงออโรร่าอยู่นั้น ราวกับว่าโลกหยุดหมุนเลยล่ะ! วินนี่ตื่นเต้นมากเลย ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถทนต่อความงามของมันได้ ฉันกล้าพนันเลย ถ้าหากว่านายพาแพรีสไปดูแสออโรร่า ไม่ว่าจะตำแหน่งอะไรก็สามารถปลดล็อคได้!”

นีลเซ็นรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาพูดออกมาว่า “ถ้างั้น ฮันนีมูนของพวกเรา ไปกรีนแลนด์ดีไหม?”

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “ไปเลยสิ และเวลาที่ดีที่สุดคือไปช่วงเดือนธันวาคมและมกราคม มันจะสวยมากเลย! อีกอย่างนะ เพื่อน พอถึงตอนนั้นนายต้องพยายามมีเซ็กส์ใต้แสงออโรร่า แสงออโรร่าถูกเตียงหิมะ…”

“นั่นมันหน้ากากสีเขียวไม่ใช่เหรอ? ” บลูถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “ใครบอกว่าแสงออโรร่าเป็นสีเขียว? ไม่มีสไตล์เลย! แสงออโรร่ามีด้วยกันทั้งหมดห้าสี!”

นีลเซ็นพูดออกมาอย่างตั้งหน้าตั้งตารอว่า “งั้นดีเลย บอส ผมกับแพรีสจะไปฮันนีมูนที่กรีนแลนด์แน่นอน”

ฉินสือโอวขออวยพรให้พวกเขาล่วงหน้า หลังจากนั้นเขาก็ทำเพียงเฝ้ารอวันที่หลานชายของเขาจะถูกแช่แข็งที่กรีนแลนด์จนไม่สามารถถอดกางเกงออกมาได้

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท