ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1473 ปีฆ่าหมู

บทที่ 1473 ปีฆ่าหมู

เวลาผ่านไป เข้าสู่ปลายกลางเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อนับตามปฏิทินจันทรคติ ตอนนี้ก็เป็นช่วงปีใหม่แล้ว

แน่นอนว่าฉลองปีใหม่ที่แคนาดากับที่จีนไม่เหมือนกัน เวลาก็ไม่ตรงกัน เพราะที่จีนเวลาจะตรงกับเวลากลางคืน แต่ที่แคนาดายังมีแสงอาทิตย์ส่องอยู่เลย ดังนั้นจึงทำได้เพียงแยกกันฉลอง

ฉินสือโอวเคยบอกล่วงหน้าแล้วว่าจะฉลองอย่างไร วันนั้นเกิงจุนเจี๋ยและลูกน้องเก้าคนหยุดหมดทุกคน ไม่ต้องไปทำงานจึงมาช่วยเตรียมอาหารและฆ่าหมูใช่ช่วงปีใหม่นี้

หมูบ้านมีนิสัยการกินอาหารที่หลากหลาย ทำกิจกรรมเยอะ และมีประสิทธิภาพในการต่อสู้ นอกจากนี้ในคอกยังมีหมูป่า กวางมูส และกวางอูฐ บางครั้งทั้งสองฝ่ายก็จะปะทะกัน ดังนั้นพวกหมูบ้านเหล่านี้จึงจัดการได้ยาก

ฉินสือโอววางแผนว่าจะจับหมูตัวใหญ่ 3 ตัว หมูขนาดกลาง 2 ตัว รวมเป็น 5 ตัว หลังจากนั้นจึงตะโกนเสียงดัง “ไอ้เกิง!”

”มาแล้วครับ!” เกิงจุนเจี๋ยรีบวิ่งมา

”หมู 5 ตัว สามใหญ่สองเล็ก ไปจัดการหน่อย” ฉินสือโอวกล่าว

เหมาเหว่ยหลงประหลาดใจ “เอางั้นเหรอ หมูห้าตัว? ฉันยังเอาเนื้อวัว เนื้อแพะมาอีกตั้งเยอะ จะกินหมดเหรอ?”

ฉินสือโอวตอบว่า “แน่นอน พวกเราตั้ง 20 กว่าคน หมู 5 ตัวต้องกินจนถึงวันที่ห้าหรือหกนับจากปีใหม่เลยนะ แกลองดูพวกคนหนุ่มพวกนี้สิ หมู 5 ตัวไม่หมดได้ไง?”

หมูหนึ่งตัวต่อสองคน พอพวกทหารเข้ามาในคอก ในคอกก็อึกทึกเสียงดังขึ้นมา ไก่ก็ร้องหมูก็ส่งเสียงกวางก็ร้องเรียก ดูวุ่นวายไปหมด

ฉินสือโอวปีนรั้วสูงแล้วมองเข้าไป ทหารพวกนี้กระเหือดกระหายมาก ต่างจับคู่กันจับหมู แต่หมูพวกนี้ก็ไม่ได้ให้จับง่ายๆ บางตัวหันหน้าไปก็โดนกัดแล้ว

ฉากนี้เกินความคาดหมายของท่านชายฉิน จึงรีบบอกเตือน “ระวังหน่อย อย่าติดเชื้อแบคทีเรียล่ะ หมูพวกนี้ไม่ได้ฉีดวัคซีนนะ”

ปล่อยให้พวกทหารใช้เข็มขัดหนังอย่างเต็มที่ เกิงจุนเจี๋ยยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ล้มหมูตัวหนึ่งได้แล้วใช้เข็มขัดรัดเท้าหลังของมันให้เรียบร้อย แล้วค่อยรัดเท้าหน้า สองหนุ่มใช้ไม้พยุงมันขึ้นมา

ปกติงานฆ่าหมูในฟาร์มปลาจะเป็นเบิร์ดจัดการทั้งหมด มีดเร็วที่แหลมคมของเขาทำสิ่งนี้ได้อย่างง่ายดาย ตอนที่พ่อฉินเห็นเป็นครั้งแรก เขาบอกว่าถ้าไม่ได้ทำงานอยู่ที่ฟาร์มปลาก็ไปโรงฆ่าหมู ฆ่าหมูตัวเดียวก็ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเบิร์ดหลายปีที่ผ่านมาฆ่าหมูฆ่าไก่มาโดยตลอดหรือเปล่าจึงได้มีไอสังหาร เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ หมูดำตัวนั้นก็ร้องโหยหวนขึ้นมาทันที ร้องด้วยเสียงที่น่ากลัวมาก

กอร์ดอนและไวส์เดินมาดูด้วยความสงสัยใคร่รู้ ฉินสือโอวลากพวกเขาออกมาแล้วพูดขึ้น “ดูอะไรกัน? รีบเก็บกระเป๋าเรียนเลย เตรียมตัวไปเรียนได้แล้ว”

“วันนี้พวกเราไม่มีเรียนครับ” กอร์ดอนพูดด้วยความดีใจ

ฉินสือโอวรู้สึกประหลาดใจ วันนี้ก็ไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ ยิ่งไม่ใช่วันเทศกาล ทำไมพวกเขาถึงไม่มีเรียนล่ะ? เขากำลังจะถาม สองหนุ่มน้อยนั่นก็วิ่งหนีไปไกลและดูตื่นตระหนกราวกับสุนัขแล้ว

ผิดปกติ ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว เขามองเห็นเชอร์ลี่ย์กำลังหวีขนให้กับม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์สองตัว จึงเดินเข้าไปหาแล้วถามขึ้น “พวกเธอทำไมวันนี้ไม่เข้าเรียนล่ะ?”

เชอร์ลี่ย์ยักไหล่ “คุณครูบอกว่าหยุด พวกเราก็เลยหยุดค่ะ”

ฉินสือโอวล้วงเอามือถือออกมาจะโทรหาโรงเรียน พอเห็นแบบนี้เชอร์ลี่ย์ก็ร้อนรนขึ้นมา ตบเบาๆ ไปที่คอของตี้หลูให้มันรอก่อน หลังจากนั้นก็แย่งมือถือมาจากฉินสือโอว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉิน มาช่วยหนูให้อาหารเปากงดีกว่าไหม? มันชอบกินแครอทมาก คุณมาให้อาหารมัน มันต้องชอบคุณมากแน่ๆ”

ฉินสือโอวนายใหญ่ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกง่ายๆ เขาแสดงสีหน้าไม่พอใจ แล้วพูดขึ้น “บอกมา เกิดอะไรขึ้น?”

แววตาเชอร์ลี่ย์สั่นระริก พยายามจะเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยการส่งเสียงเอะอะ “ฉิน ช่วงนี้หนูรู้สึกว่าน่าหงุดหงิดมากเลย…”

“โทรหาคุณครูพวกเธอแล้วนะ!”

“โอเค โอเค หนูยอมพูดแล้ว พวกเราบอกกับคุณครูว่า วันนี้เป็นเทศกาลดั้งเดิมของชาวจีน ต้องฉลองที่ฟาร์มปลาทุกคน ดังนั้นเขาก็เลยให้พวกเราหยุด 1 วัน” เชอร์ลี่ย์ทำปากจู๋

ฉินสือโอวจ้องแล้วพูดว่า “นี่มันไม่ไร้สาระไปหน่อยเหรอ? ต่อให้อยู่ที่บ้านเกิดฉัน แต่นักเรียนก็ไม่ได้หยุดฉลองเทศกาลนี้!”

เชอร์ลี่ย์เข้ามาดึงแขนของเขา และแกว่งไปมาอย่างแรงแถวหน้าอกเธอ พูดออดอ้อนว่า “อย่าทำแบบนี้เลยนะฉิน นี่มันก็เป็นเทศกาลจริงๆ เทศกาลก็ควรจะหยุดสิ คุณอย่าบอกพี่วินนี่ได้ไหม? ได้ไหมนะนะ…”

โลลิต้าไม่รู้ไปเรียนจากใครมา ยังทำเสียงลากยาวออดอ้อนเหมือนตุ๊กตาได้ด้วย ฉินสือโอวเมื่อได้ยินรีบดึงมือออก เปิดแขนเสื้อออกแล้วมองอย่างละเอียด

เชอร์ลี่ย์ถามด้วยความสงสัย “คุณหาอะไรเหรอ?”

“ขนลุกไง” ฉินสือโอวตอบ “ฉันพอคลื่นไส้ก็จะขนลุกขึ้นมา”

เชอร์ลี่ย์กระทืบเท้าจะทำท่าเว้าวอนต่อ ฉินสือโอวโบกมือบอกเป็นนัยว่าให้เธออยู่ห่างๆ หน่อย แล้วเตือนเธอว่า “ครั้งสุดท้ายนะ ถ้าวันหลังยังกล้าใช้อุบายหลอกพวกเรา หลอกโรงเรียนอีก เธอจะต้องได้รับบทเรียนแน่นอน”

“จะให้บทเรียนยังไงเหรอคะ?” เชอร์ลี่ย์ถามด้วยรอยยิ้ม ตากลมโตกะพริบปริบๆ เหมือนพยายามเก็บความรู้สึก

ฉินสือโอวรู้สึกขนลุกขึ้นมาจริงๆ รีบเดินจากไป ถ้ายังอยู่ต่อต้องเกิดเรื่องแน่ๆ

หมูตัวใหญ่ตัวหนึ่งถูกมัดไว้บนเขียง เบิร์ดพรมน้ำหิมะลงบนมีดที่แหลมคมเล็กน้อย แสงอาทิตย์ส่องกระทบมา ใบมีดไร้ซึ่งความอบอุ่นแต่กลับแผ่ไอเย็นบางเบาออกมา

“มีดดีนี่” เกิง ฃจุนเจี๋ยชื่นชม

เบิร์ดยิ้มแล้วแทงมีดเข้าไปผ่านตาซ้ายของหมู ทำลายก้านสมองของมัน ด้วยเหตุนี้หมูบ้านที่ร้องโหยหวนก็สิ้นลมในทันที จากไปอย่างสงบ

หลังจากนั้นก็เห็นเพียงมีดทหารขยับไปมาบนตัวหมูอย่างว่องไวราวกับบินได้ มีคราบเลือดหลายจุดปรากฏอยู่บนหนังหมู เบิร์ดยุ่งกับงานตรงหน้าประมาณ 2-3 นาที เกิงจุนเจี๋ยรอให้คนเอาถาดที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วมาจัดการกวาดเก็บให้เรียบร้อย หมูอวบอ้วนตัวหนึ่งถูกหั่นเป็นชิ้นๆ เรียบร้อย

เอาขาหมูทั้งสี่อันไปด้วย ส่วนน่องหมูเหลือไว้ทำแฮม ฉินสือโอวรับสมัครคนงานมาครั้งนี้มีคนหนึ่งมาจากมณฑลยูนนาน บ้านเกิดของเขาเป็นแหล่งผลิตแฮมที่มีชื่อเสียงในประเทศจีน เขาจึงเรียนวิธีทำแฮมกับครอบครัวมาตั้งแต่เด็กแล้ว

หมูแต่ละชิ้นถูกจำแนกออกมาหัวใจหมู ตับหมู ปอดหมูถูกทำความสะอาดแยกกัน ส่วนไส้หมูที่มีกลิ่นเหม็นถูกโยนลงไปในถังน้ำแข็ง เกิงจุนเจี๋ยมองหาทหารตัวใหญ่ ให้เขายกไปจัดการที่ริมทะเล

เมื่อได้เลือดหมูมาหม้อใหญ่แล้ว พ่อฉินก็ใช้ไม้คอยคนไม่ให้มันแข็งตัวติดกัน ด้านหนึ่งคนไป อีกด้านหนึ่งก็ใส่น้ำมันหมูที่เจียวจนร้อนแล้วลงไป ใส่ต้นหอม ขิง กระเทียม แป้งมัน เต้าหู้ สุดท้ายก็เอามายัดใส่ไส้กรอก และนี่ก็คือไส้กรอกเลือดหนึ่งชุด

ไส้กรอกเลือดจะเป็นหนึ่งในตัวเอกของมื้ออาหารข้าวขาหมูมาโดยตลอด จริงๆ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องอร่อยมาก หลักๆ คือมีส่วนประกอบของน้ำมันหมูที่เพียงพอ มีกลิ่นหอม เมื่อก่อนสภาพเศรษฐกิจทางบ้านของฉินสือโอวไม่โอเค เพียงแค่ไส้กรอกเลือดที่มีน้ำมันหมูแบบนี้ก็มีค่ามากแล้ว ตอนนี้กินข้าวขาหมูแล้วยังมีไส้กรอกเลือดอีก ล้วนเป็นความทรงจำทั้งนั้น

มื้ออาหารนี้หลักๆ คือกินเนื้อ เครื่องในหมู หัวหมู ขาหมู น่องหมูเอามาตุ๋นหมด อย่างน้อยก็ต้องรอ 4-5 วันถึงจะเอามากินได้ ซึ่งก็ต้องใช้น้ำซุปที่ดีในการตุ๋นถึงจะโอเค

หมูแต่ละชิ้นถูกเคี่ยวในหม้อแล้วใส่เห็ดที่ตากแห้งบนภูเขาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ไม่นานน้ำมันสีเหลืองอ่อนๆ บริสุทธิ์ก็ลอยขึ้นมาบนหม้อ กลิ่นหอมโชยมาที่จมูก

พ่อฉินและแม่ฉินยุ่งอย่างมีความสุข เมื่อถึงวัยแบบพวกเขาก็จะชอบเสียงดังครึกครื้น เมื่อรวมซ่งชิงซานและทหาร 10 กว่าคนก็ยิ่งครึกครื้นครื้นเครงมากกว่าเดิมมาก

หู่จือและเป้าจือแกว่งหางไปมาอย่างมีความสุข ฉินสือโอวให้ชาร์คช่วยย่างเนื้อ ชาร์ครักเจ้าสองตัวนี้มาก เนื้อขาหลังไม่ติดมัน พอย่างสุกได้ครึ่งหนึ่งก็โยนให้แลบราดอร์กิน ยังไม่ทันได้กินข้าว แลบราดอร์สองตัวก็อิ่มจนท้องอ้วนกลมก่อนแล้ว

ฉินสือโอวตั้งกระทะด้านนอก เมื่อฟืนเริ่มไหม้ อุณหภูมิก็สูงขึ้นทันที ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูหนาว แต่คนปิ้งย่างก็มีเหงื่อท่วมกาย

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท