ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1472 แส้ของพระเจ้า

บทที่ 1472 แส้ของพระเจ้า

ฉินสือโอวถือไอแพดไว้แล้วเริ่มหาข่าว บัตเลอร์รับเรื่องไว้เอง “ไม่ต้องดูรายงานข่าวหรอก เดี๋ยวฉันเล่าเอง ตอนนั้นฉันอยู่ที่โตเกียวพอดี รู้มากกว่าพวกสื่อบ้าๆ พวกนี้เสียอีก”

“นายพูดเลย ฉันรอฟังอยู่” ฉินสือโอวพูดอย่างใจเย็นไปดูข่าวไป

ตามที่บัตเลอร์ได้กล่าวมา ท่าเรือโตเกียวก็พังทลาย หลังจากผลิตเบียร์เพียงปีเดียว ก็กลายเป็นเพรียงเรือที่ร้ายกาจ

กลุ่มท่าเรืออ่าวโตเกียวถูกสร้างอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยการแบ่งหน้าที่อย่างสมเหตุสมผลของกลุ่มท่าเรือญี่ปุ่น ทำให้ท่าเรือใหญ่ระดับโลก 6 แห่งมารวมตัวกันในท่าเรือขนาดเล็ก ได้แก่ ท่าเรือโตเกียว ท่าเรือชิบะ ท่าเรือคาวาซากิ ท่าเรือโยโกฮามะ ท่าเรือคิซาราซุและท่าเรือโยโกสุกะ

ท่าเรือเหล่านี้เชื่อมต่อกันยาวตั้งแต่ต้นจนจบซึ่งมีความยาวหลายร้อยไมล์ มีหน้าที่ขนส่งสินค้าไปทั่วภาคกลางของญี่ปุ่น

บริเวณอ่าวโตเกียวเป็นพื้นที่หลักทางเศรษฐกิจและการเมืองของญี่ปุ่นมานานหลายร้อยปี ตั้งแต่สมัยยุครณรัฐ ท่าเรือก็มีการพัฒนามาโดยตลอด ดังนั้นท่าเรือที่นี่จึงถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยช่วงแรกๆ วัสดุส่วนมากจึงทำจากไม้และหิน ท่าเรือที่ทำจากเหล็กถือว่ามีน้อยมาก

ซึ่งเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ที่แคนาดาก็เป็นแบบนี้เช่นกัน เนื่องด้วยท่าเรือที่ทำจากเหล็กไม่ทนทาน เมื่อได้รับผลกระทบจากการกัดกร่อนจากน้ำทะเลและแบคทีเรียที่เจริญเติบโตได้ในสภาวะที่ไม่มีอากาศ ท่าเรือเหล็กก็สามารถกลายเป็นซากปรักหักพังได้ภายใน 10 ปี ซึ่งไม่สามารถใช้งานได้จริงเท่ากับหินและไม้

แต่คราวนี้กลุ่มท่าเรืออ่าวโตเกียวต้องประสบกับการขาดทุนจากวัสดุที่ใช้ได้จริงเหล่านี้ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว เริ่มจากท่าเรือที่ทำจากไม้ในปริมาณมากที่อ่าวโตเกียวแห่งหนึ่งพังทลาย ซึ่งก่อตัวเป็นคลื่นส่งผลให้ท่าเรืออีกแห่งพังทลายตาม ท่าเรือสองแห่งพังทลายภายในเวลาแค่วันเดียวอย่างต่อเนื่อง

ผลการตรวจสอบออกมาไวมาก ซึ่งก็คือโครงสร้างหลักของสองท่าเรือนี้ทำจากไม้แล้วถูกเพรียงเรือทำลายจนไม่เหลืออะไร มองจากด้านนอกดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ข้างในกลับเป็นรังของเพรียงเรือที่อาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น

ด้วยเหตุนี้ท่าเรือโตเกียวจึงเป็นท่าเรือแห่งแรกที่ถูกปิดเพื่อทำการตรวจสอบ ซึ่งก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เพราะยังมีท่าเรืออีก 5 แห่งในอ่าวโตเกียวที่มีพื้นที่แคบที่ยังใช้ได้ ความกดดันในการขนส่งจึงกระจายไปตามท่าเรือทั้ง 5 แห่งนี้

แต่เรื่องที่น่าเศร้าใจก็คือ พนักงานที่รับผิดชอบตรวจสอบท่าเรือได้ทำการสุ่มตรวจท่าเรือทั้ง 5 แห่งนี้แล้วพบว่า ท่าเรือของสถานที่เหล่านี้ก็มีเพรียงเรืออาศัยอยู่เช่นกัน!

ในเวลานี้ รัฐบาลญี่ปุ่นต่างตื่นตระหนกตั้งแต่ศูนย์กลางไปจนถึงชายฝั่งของอ่าวโตเกียว เพราะกลุ่มท่าเรืออ่าวโตเกียวมีความสำคัญสำหรับประเทศนี้มากเกินไป!

จากมุมมองทางภูมิศาสตร์กลุ่มท่าเรืออ่าวโตเกียวตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ล้อมรอบด้วยคาบสมุทรโบโซและมิอุระ และเชื่อมต่อกับมหาสมุทรแปซิฟิกด้วยช่องทางน้ำอูรางะ

กล่าวคือตราบใดที่อ่าวเปิดออก สินค้าที่ขนส่งจากมหาสมุทรแปซิฟิกก็จะสามารถเข้าสู่โตเกียว คาวาซากิและที่อื่นๆ ได้โดยตรง แต่พอปิดอ่าวแล้วจะต้องอ้อมเส้นทางเป็นระยะทางไกลโดยผ่านเส้นทางบนบกจากฟุจิซาวะและโอฮาระถึงจะเข้าได้

ตามข้อมูลที่ฉินสือโอวหา หนึ่งปีที่ผ่านมา ความสามารถในการรับสินค้าของกลุ่มท่าเรือทั้งหมดคือ 550 พันล้านตันซึ่งจำนวนนี้ไม่เป็นสองรองใครในโลก เป็นเส้นชีวิตของญี่ปุ่นตอนกลางทั้งหมด

หากมองในมุมมองด้านเศรษฐกิจ มีเขตอุตสาหกรรมหลักสองแห่งคือเคฮินและเคโยะ ที่ริมอ่าวโตเกียว เขตอุตสาหกรรมเคฮินบนชายฝั่งตะวันตกของอ่าวโตเกียว ได้แก่ โตเกียว โยโกฮาม่า และคาวาซากิ มีโรงงานและสถานประกอบการขนาดใหญ่กว่า 200 แห่งบนพื้นที่ชายฝั่งทะเลกว้าง 5 เมตรและยาว 60 กิโลเมตร เช่น บริษัทข้ามชาติอย่าง บริษัทนิสสัน มอเตอร์ บริษัทสร้างเรืออิชิกาว่า บริษัทนิปปอน สตีล ไพพ์ บริษัทนิปปอน ออยล์ และอุตสาหกรรมหนักมิตซูบิชิ เป็นต้น

ส่วนเขตอุตสาหกรรมเคโยะ ทางฝั่งตะวันออกของอ่าวโตเกียวมีโรงงานเหล็กขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงงานปิโตรเคมี 4 แห่ง และบริษัทต่อเรือมิตซุย เป็นต้น ซึ่งทำให้อ่าวโตเกียวเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมด้านเคมีที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

กลุ่มท่าเรือบริเวณอ่าวโตเกียวพอปิดตัวลง ค่าเสียหายรายวันอาจคำนวณได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์!

หากไม่ใช่โศกนาฏกรรมของเรือบูลด็อกที่รัฐเมนที่สามารถดึงดูดความสนใจของประชาชนแคนาดาและอเมริกาได้มากกว่า ถ้าเช่นนั้นเรื่องราวกลุ่มท่าเรืออ่าวโตเกียวก็คงยังเป็นหัวข้อข่าวอยู่

ขณะนี้ญี่ปุ่นกำลังเร่งซ่อมแซมท่าเรืออ่าวโตเกียวทั่วประเทศ นายกรัฐมนตรีและสมาชิกคณะรัฐมนตรีกว่าครึ่งได้ย้ายสำนักงานไปอยู่ที่ท่าเรือเลย ส่งทีมก่อสร้างที่ดีที่สุดของประเทศเพื่อทำการซ่อมแซม และหาผู้เชี่ยวชาญด้านปรสิตทะเลที่ดีที่สุดมาจัดการกับเพรียงเรือ

ในเวลานี้ฉินสือโอวตระหนักถึงความแข็งแกร่งของหัวใจโพไซดอนของเขา หลังจากเพรียงเรือเหล่านี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีชีวิตชีวาและมีความสามารถในการขยายพันธุ์ที่สามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญตื่นตระหนกได้ ญี่ปุ่นไม่สามารถรับมือกับพวกมันได้ จึงเชิญผู้เชี่ยวชาญยอดเยี่ยมที่เกี่ยวข้องจากทั่วทุกมุมโลกมาจัดการกับพวกมัน

ในตอนแรกรัฐบาลญี่ปุ่นใช้วิธีทั่วไปในการจัดการกับเพรียงเรือโดยใช้แรงดันสูงอัดฉีดสารเคมีเข้าไปในเนื้อไม้เพื่อที่จะฆ่าเพรียงเรือ แต่กลับไร้ผล เพราะเพรียงเรือเหล่านี้ทนทานต่อพิษได้ดีมาก ต้องใช้สารเคมีที่มีความเข้มข้นสูงมากถึงจะสามารถฆ่าพวกมันได้

เมื่อหมดหนทาง คนญี่ปุ่นก็ใช้ยาที่ได้ผลมีประสิทธิภาพดีที่สุดต่อการกำจัดเพรียงเรือที่เป็นที่ยอมรับในทั่วโลกซึ่งก็คือ CCA เป็นวิธีการที่เลวร้าย ถ้าหากสมมติฆ่าหนึ่งพันตัวจะตายไปแปดร้อยตัว เพราะส่วนประกอบที่สำคัญของ CCA คือ โครเมียม ทองแดงและสารหนู ซึ่งสามารถป้องกันไม้ ฆ่าเพรียงเรือได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลเช่นกัน

รัฐบาลญี่ปุ่นจะมากังวลกับการรักษาสิ่งแวดล้อมระบบนิเวศของอ่าวโตเกียวไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้องทำคือกำจัดเพรียงเรือและทำให้กลุ่มท่าเรือกลับมาใช้งานได้ปกติก็เพียงพอแล้ว แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ นี่ก็ไม่ได้ผล การใช้ CCA ในช่วงแรกได้ผลดี สามารถฆ่าเพรียงเรือไปได้กลุ่มใหญ่ แต่ไม่นานมันก็พัฒนาและสามารถต้านทานได้…

หลังจากเกิดเรื่องนี้ ไม่เพียงรัฐบาลญี่ปุ่นที่ตื่นตระหนก ประเทศอื่นๆ ก็เริ่มกลัวเช่นกัน จึงทยอยตัดขาดการค้าการขนส่งทางทะเลกับกลุ่มท่าเรืออ่าวโตเกียว

รัฐบาลญี่ปุ่นก็ถือได้ว่าเที่ยงธรรม เพราะหลังจากที่พวกเขาค้นพบว่ามีเพรียงเรือที่น่ากลัวเหล่านี้ก็สั่งปิดไม่ให้เรือภายในท่าเรือวิ่งออกไป เรือที่ทำจากไม้ก็โดนเผาทิ้งจนหมด เพื่อรับประกันว่าเพรียงเรือที่แข็งแกร่งนี้จะไม่แพร่กระจายออกไปจากอ่าวโตเกียว

โชคดีว่ามีเรือไม้น้อยมากในปีนี้ กลุ่มท่าเรืออ่าวโตเกียวเป็นเขตท่าเรืออุตสาหกรรม เรือเหล็กขนาดยักษ์ที่แล่นไปมาหนักถึงพันตันหรือมากไปถึงหมื่นตัน จึงสามารถจำกัดการกระจายตัวของเพรียงเรือชนิดใหม่ไม่ให้แพร่ออกไปได้

สื่อยุโรปยังตั้งชื่อให้กับเพรียงเรือเหล่านี้ด้วย เนื่องด้วยมันมีลักษณะยาวและแข็งเหมือนแส้ ดังนั้นจึงได้รับฉายาว่า ‘แส้ของพระเจ้า’ ซึ่งก็หมายถึงว่าไอ้ของเล่นชิ้นนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าใช้เพื่อทำโทษมนุษย์

ชื่อที่ว่าแส้ของพระเจ้าปรากฏขึ้นเพียงสองครั้งในประวัติศาสตร์ยุโรป ครั้งแรกมอบให้จักรพรรดิอัตติลาผู้ทรงเสน่ห์ ครั้งที่สองมอบให้กับม้าศึกมองโกเลียที่ถูกปกครองโดยกุบไลข่าน และนี่เป็นครั้งที่สามมอบให้กับกลุ่มสัตว์ทะเลขนาดเล็ก

หลังจากที่อ่านบทนำ ฉินสือโอวก็รู้สึกประหลาดใจ “เพรียงเรือเหล่านี้ ช่างน่ากลัวจริงๆ”

คุณลุงหนวดดำพยักหน้าราวกับเข้าใจ “คนญี่ปุ่นโชคร้ายจริงๆ ความเสียหายครั้งนี้หนักมาก ตอนนี้กลุ่มท่าเรือก็ยังปิดตัวอยู่ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเปิดได้”

ฉินสือโอวยักไหล่ “ทำได้แค่ขอให้พระเจ้าช่วยปกป้องคุ้มครองพวกเขา หวังว่าเขาจะจัดการกับแส้นั้นได้โดยไว ไปเถอะ พวกเราไปเตรียมกินข้าวกัน”

อาหารเย็นก็คือ ไส้กรอกนึ่ง บัตเลอร์กินไม่ได้ เพราะคิดว่าการปรุงรสในไส้กรอกมันเข้มข้นเกินไปไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ

ฉินสือโอวกินอย่างเอร็ดอร่อย ไส้กรอกที่ยัดด้วยเนื้อหมูบ้านทั้งหอมกว่าและเหนียวกว่า จะไปส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพได้อย่างไร? เขาคิดว่ารสชาติถ้าเทียบกับกัญชาแล้วยังปลอดภัยมากกว่ามาก บัตเลอร์นี่ตอนที่สูบกัญชาก็กลัวว่าจะส่งผลเสียต่อสุขภาพเช่นกัน

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน