ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1477 การอวยพรปีใหม่ที่แตกต่าง

บทที่ 1477 การอวยพรปีใหม่ที่แตกต่าง

ในเวลานี้เป็นเวลาฟ้ารุ่งสาง ฉินสือโอวเดินออกไปดูด้วยความสงสัย เช้าขนาดนี้ใครจะมาที่ฟาร์มปลา? ผลปรากฎว่าพอเขาเดินออกไป เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากท่าเรือ คนที่อยู่ด้านหน้าสุดคือนายกเทศมนตรีวิลเลี่ยม แฮมเล็ตบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งของเมืองเซนต์จอห์น แฮมเล็ตพาคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นทั้งผู้ชายและผู้หญิงแต่งตัวดีมาด้วย คนตรงกลางที่ถูกล้อมอยู่เป็นชายวัยกลางคนผิวขาว

หลังจากที่ฉินสือโอวโผล่หน้าไป แฮมเล็ตก็โบกไม้โบกมือทันที พูดเสียงดังว่า “ฉิน เพื่อนรัก สวัสดีปีใหม่! สุขสันต์วันปีใหม่!”

พอได้ยินคำพูดนี้ ฉินสือโอวก็หัวเราะขึ้นมาแล้วพูดขึ้นว่า “สวัสดีปีใหม่ แฮมเล็ต ขอบคุณมากที่มาเยี่ยมผมและครอบครัวในเวลานี้”

แฮมเล็ตขยิบตา “ไม่ใช่แค่ฉันนะ เพื่อน ดูสิ ว่ามีใครบ้าง?”

เขาผายมือออกไปเพื่อแนะนำคนตรงกลางที่ยืนอยู่ในกลุ่ม ฉินสือโอวมองอย่างละเอียดแล้วทันใดนั้นก็ตกตะลึง ท่านนี้เป็นบุคคลสำคัญนี่ ท่านคือเอลวิน มัลเบอรี่ ผู้ว่าการรัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์

“สวัสดีปีใหม่ครับ ท่านผู้ว่าการ” ฉินสือโอวยื่นมือออกไปอย่างสุภาพ

เอลวินจับมือกับเขาอย่างกระตือรือร้น ยิ้มแล้วพูดว่า “สวัสดีปีใหม่ ฉินที่รัก ขอให้ร่ำฮวยๆ!”

เพื่อจะอวยพรปีใหม่ ผู้ว่าการรัฐจึงตั้งใจเรียนภาษาจีนมาสองสามประโยค ฉินสือโอวรู้สึกตะลึงในความตั้งใจนี้ ดูท่าเขาน่าจะมีความสำคัญในรัฐนิวฟันด์แลนด์ขึ้นมาหน่อย

”ขอให้ร่ำฮวยๆ” ฉินสือโอวตอบกลับโดยใช้สำเนียงที่ใกล้เคียงกัน ฝืนทนฟังไป พูดผิดซ้ำอีก

เมื่อนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในบ้าน พ่อฉินและแม่ฉินยังคงโกยเกี๊ยวต้มขึ้นมาอยู่ ฉินสือโอวจึงแนะนำให้ทั้งสองรู้จัก หลังจากนั้นเอลวินก็จับมือพ่อแม่ของฉินสือโอวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยังคงพูดด้วยจีนแรพ “ซาหวัดดีปีใหม่ครับ ขอห้ายร่ำฮวย ขอให้ท่านทั้งสองมีจุกภาพแข็งแฮง คิดสิ่งใดซมปรารถนา!”

พ่อฉินและแม่ฉินหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข หลังจากนั้นก็รีบจัดที่นั่งให้เขา ตักเกี๊ยวต้มให้คนละชาม

บทบาทที่สำคัญในเวทีการเมืองของรัฐนิวฟันด์แลนด์มาที่นี่เกือบทุกคน เอลวินพาสมาชิกสภาจังหวัดมา ส่วนแฮมเล็ตก็พาสมาชิกสภาเมืองของเขามาด้วย ทุกคนทำท่าทางมีความสุข หลังจากนั้นก็มีสื่อมวลชนมาห้อมล้อมและเริ่มกดชัตเตอร์รัวๆ

จริงๆ แล้วฉินสือโอวไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้ วันแรกของปีใหม่ที่กำลังไปได้ดีกลับถูกทำลายลงเสียแล้ว มันก็ใช่ที่ผู้ว่าการรัฐและนายกเทศมนตรีมาอวยพรปีใหม่นั้นถือเป็นเกียรติมาก แต่ทว่าเขาไม่ได้มีจิตใจที่จะโอ้อวดมานานแล้ว เทศกาลแบบนี้การอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุขถึงจะสำคัญ

พอคนเหล่านี้มา จึงทานมื้อเช้าไม่ได้ แม้ว่าจะบอกไม่ได้ว่านี่คือการแสดง แต่ก็มีองค์ประกอบบางอย่างของการแสดงแน่นอน เมื่อจำนวนคนจีนที่เพิ่มมากขึ้นในรัฐนิวฟันด์แลนด์ รัฐบาลท้องถิ่นจึงเริ่มแสดงความเป็นมิตรด้วย

แต่ทว่าเอลวินไม่ได้มาเพื่อแค่อวยพรในวันปีใหม่ หลังจากที่พวกเขาคุยกันไปสักพัก ก็มีคนเปลี่ยนหัวข้อที่คุยเป็นเรื่องเศรษฐกิจอย่างชาญฉลาด หลังจากนั้นเรื่องที่เลี่ยงจะไม่คุยไม่ได้ก็คือกลุ่มบอมบาร์เดียร์

เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็เหมือนเข้าใจขึ้นมาทันที โอ้ว ที่แท้ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วย คนพวกนี้สงสัยยังมีความคิดที่จะให้เขาเป็นผู้นำในการส่งเสริมเศรษฐกิจรัฐนิวฟันด์แลนด์ด้วย

เอลวินกล่าวว่า “ฉิน ตอนนี้คุณเป็นหุ้นส่วนสำคัญในบอมบาร์เดียร์แล้ว พวกเราต้องยินดีกับคุณก่อน คุณเป็นคนแรกในรัฐนิวฟันด์แลนด์ของพวกเราที่เข้าเป็นคณะกรรมการบริหารในบอมบาร์เดียร์”

ฉินสือโอวกล่าวอย่างถ่อมตัว “ผมยังเป็นแค่สมาชิกรอบนอก ที่เข้าไปถือหุ้นก็เป็นเพียงบริษัทสาขาแห่งหนึ่ง เกรงว่าจะไม่มีคุณสมบัติในการเข้าเป็นคณะกรรมการบริหารหรอกครับ”

เอลวินยิ้ม “ไม่ ไม่เลย ฉินคุณมีนะ คุณเป็นหนึ่งในคณะกรรมการคนสำคัญในบอมบาร์เดียร์แล้ว ผมคิดว่าอีกไม่นานคุณก็น่าจะได้เข้าร่วมการประชุมผู้ถือหุ้นบอมบาร์เดียร์”

แฮมเล็ตพูดต่อว่า “อันที่จริงมันก็ไม่ได้สำคัญหรอกว่าจะได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการผู้บริหารหรือเปล่า แต่จุดที่ฉินเก่งกาจเลยก็คือ ศักยภาพของเขา โอ้ว พระเจ้า เขายังหนุ่มแน่นขนาดนี้ นี่เขาถือว่าเป็นคนเก่งที่อายุน้อยที่สุดในรัฐนิวฟันด์แลนด์ของพวกเราเลยไม่ใช่เหรอ?”

”ฉินยังเคยได้รับรางวัลทูลา รีฟส์ อวอร์ดจากรัฐนิวฟันด์แลนด์ของพวกเราด้วย เขาเป็นชายหนุ่มที่เก่งคนหนึ่งเลยทีเดียว ถ้ารัฐของเรามีหนุ่มสาวที่เก่งเหมือนเขาเพิ่มขึ้นสักสองสามคน พวกเราก็จะรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจได้แน่ๆ” สมาชิกสภาเมืองคนหนึ่งหัวเราะพร้อมกับพูด

รางวัลทูลา รีฟส์ อวอร์ดคือรางวัลพิเศษสำหรับความทุ่มเทในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งฉินสือโอวได้มาในช่วงที่เขาบริหารอยู่ที่อ็อกเฟอร์

แฮมเล็ตขยิบตาให้เขาแล้วกล่าวว่า “ผมกล้าพนันเลยว่า รางวัลทูลา รีฟส์ อวอร์ดของปีที่แล้วในครึ่งปีหลังก็เป็นของฉินเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ?”

รางวัลนี้ปีหนึ่งๆ จะได้รับการพิจารณาอยู่สองครั้ง ซึ่งภายหลังความสัมพันธ์ระหว่างฉินสือโอวและอ็อกเฟอร์ไม่ดีนัก จึงไปสนับสนุนแฮมเล็ตผู้ร่วมลงแข่งขันโดยตรง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงพลาดรางวัลทูลา รีฟส์ อวอร์ดมาโดยตลอด ตอนนี้แฮมเล็ตเข้ามามีอำนาจ แน่นอนว่าสถานการณ์จึงไม่เหมือนเดิมไปโดยปริยาย

ฉินสือโอวกล่าวว่า “ถ้าผมได้รับรางวัล แน่ล่ะว่าถือเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะได้รับรางวัลหรือไม่ แน่นอนว่าผมต้องทุ่มเทช่วยรัฐของเราในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะว่าผมเป็นคนนิวฟันด์แลนด์ ที่นี่ก็เป็นเหมือนบ้านเกิดผมแล้ว ซึ่งผมมีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาบ้านเกิดอยู่แล้วครับ”

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักการเมืองก็ต้องดูว่าควรจะพูดแบบไหนในแต่ละสถานการณ์ ฉินสือโอวถือนิวฟันด์แลนด์เป็นบ้านเกิดบ้าสิ ที่เขาให้ความสำคัญก็แค่เกาะแฟร์เวลที่เป็นถิ่นของเขาเท่านั้น แม้แต่เมืองเซนต์จอห์นเขาก็ไม่สนใจ

คำพูดของเขาเหล่านี้พูดออกไปแล้วเขายังรู้สึกเองด้วยซ้ำว่าน่าคลื่นไส้ แต่พวกนักการเมืองกลับต้องการคำมั่นสัญญาแบบนี้ เอลวินพูดสนับสนุนเขาว่า “คุณสามารถขยายงาน ฉิน ขยายธุรกิจของคุณ เพิ่มขนาดของฟาร์มปลาของคุณ นี่เป็นความสามารถที่คุณมีอยู่แล้ว คุณก็มีพรสวรรค์ทางด้านนี้จริงๆ”

“ถ้าต้องการการสนับสนุนจากทางรัฐบาล คุณสามารถเสนอมาได้เลย พวกเราจะให้การสนับสนุนที่จำเป็นกับคุณ” เอลวินยังให้คำสัญญาที่เป็นไปไม่ได้กับเขา ดูท่าแล้วชีวิตในหน่วยงานของรัฐไม่ง่ายเลย

ฉินสือโอวกล่าวขอบคุณและบอกว่าเขาพยายามอย่างแน่นอน เอลวินกล่าวว่า “เกี่ยวกับพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ ไม่ทราบว่าคุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาการประมงของบ้านเราไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวเพิ่งจะตระหนักได้ว่า ฐานะของเขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว เขาไม่ได้เป็นแค่เจ้าของฟาร์มปลาขนาดใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้ถือหุ้นคนสำคัญในธุรกิจระดับประเทศ แน่ล่ะว่าเป็นแค่ผู้ถือหุ้นรายสำคัญในสาขาบอมบาร์เดียร์เท่านั้น และยังเป็นหัวหน้าขององค์กรที่มีรัฐบาลเป็นภูมิหลังด้วย

อัตลักษณ์เหล่านี้เมื่อหล่อหลอมรวมเข้าด้วยกัน จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ว่าการเอลวินต้องมาอวยพรปีใหม่เขา ตอนนี้เมื่อรวมแต่ละด้านของเขาเข้าด้วยกัน อย่างน้อยก็มีอำนาจมากพอที่จะสนทนากับเอลวิน

ย้อนนึกกลับไปในตอนนั้นที่เขาไม่อยากเป็นประธานพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ ความคิดนี้ช่างไร้เดียงสาจริงๆ ตอนนี้เมื่อได้พูดคุยกับเอลวิน เขาถึงเพิ่งรู้ว่าพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์นี้มีพลังมหาศาลขนาดไหน

การประมงเป็นอุตสาหกรรมของแคนาดา และยังเป็นอุตสาหกรรมหลักในรัฐนิวฟันด์แลนด์อีกด้วย!

ฉินสือโอวตอบว่า “ผมมีความคิดบางอย่างแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเพิ่มการสื่อสารระหว่างเจ้าของฟาร์มปลา กำจัดพันธุ์สัตว์ทะเลที่ด้อยคุณภาพแล้วเพิ่มพันธุ์สัตว์ทะเลที่ดีกว่าให้มากขึ้น เพื่อให้ฟาร์มปลาฟื้นฟูกลับมามีชีวิตชีวา”

เอลวินกะแอมหนึ่งที สมาชิกคนหนึ่งก็ถามขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณเคยมีความคิดไหมว่าจะผลักดันยอดขายอาหารทะเลนิวฟันด์แลนด์ผ่านอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินของคุณ?”

ฉินสือโอวคิดด่าในใจ บ้าเอ๊ยพวกแกโลกสวยเกิน ฉันอุตส่าห์กว่าจะล้มภูเขาเจียงซานได้ แล้วพวกนายก็จะมานั่งหน้าระรื่นง่ายๆ? เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก?

ตอนนี้แฮมเล็ตเลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเขาจึงพูดขึ้น “ผมกลับคิดว่านี่ไม่ใช่เป็นความคิดที่ดีนัก เมื่อผมกับฉินเคยคุยกัน ว่าเราสามารถพัฒนาเส้นทางการขายสายหนึ่งควบคู่ไปกับแบรนด์ต้าฉิน แต่ไม่ใช่เอาอาหารทะเลท้องถิ่นมารวมกับอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินเฉยๆ”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท