ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1484 ของแห้ง

บทที่ 1484 ของแห้ง

แมวน้ำน้อยสองตัวกะพริบตาปริบๆ พวกมันไม่เข้าใจสิ่งที่ฉินสือโอวสื่อ จึงไม่สนลูกบอลที่อยู่บนหัว แต่ตั้งอกตั้งใจดูเหมาเหว่ยหลงเลี้ยงลูกบอล ครีบหน้าสั้นๆ ของมันตบไปที่พื้น กระโดดและร้องขึ้นมาอย่างมีความสุข

เหมาเหว่ยหลงหยุดการกระทำอย่างช่วยไม่ได้ “การสาธิตของฉันไม่มีประโยชน์สินะ?”

เมื่อเขาหยุด เด็กๆ ก็ไม่ยอมแล้ว ร้องบุ๋งๆ พยายามเอาครีบสั้นๆ ของมันตบที่พื้น เศษหญ้าจากอุ้งเท้าเล็กๆ ก็กระจายไปรอบๆ เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่พอใจอย่างมากที่เหมาเหว่ยหลงหยุดเลี้ยงลูกบอล

เหมาเหว่ยหลงจึงทำได้เพียงเริ่มเลี้ยงลูกบอลอีกครั้ง ครั้งนี้ลูกแมวน้ำก็กระโดดขึ้นพร้อมกับตบครีบหน้าลงบนพื้น ศีรษะของมันผงกขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะ เริ่มทำท่าเลี้ยงลูกบอลขึ้นมา

ฉินสือโอวยิ้ม รีบเอาลูกบอลวางบนหัวของพวกมัน เมื่อเป็นแบบนี้เจ้าสองตัวก็เริ่มกระโดดไปกระโดดมา เลี้ยงลูกบอลได้แล้ว

สติปัญญาของมันสูงมาก ประโยชน์ของพลังงานโพไซดอนที่มีต่อลูกแมวน้ำเห็นได้ชัดมาก เจ้าเด็กน้อยสองตัวนี้ค้นพบเทคนิคในการออกกำลังกายนี้อย่างรวดเร็ว พยายามรักษาจังหวะขึ้นๆ ลงๆ ของส่วนศีรษะไว้ เพียงเท่านี้ลูกบอลก็ไม่ตกลงไปง่ายๆ แล้ว

ตั๋วตั่วตบมือแปะๆ ไปมาด้วยความดีใจ “ว้าว อ้วนมากๆ เลย!”

ทันทีที่เธอส่งเสียงเหมาเว่ยหลงที่กำลังเลี้ยงลูกบอลก็ตกตะลึง แล้วลูกบอลก็ตกลงมา แต่เขามีเวลาจัดการเรื่องนี้ที่ไหนล่ะ เขาคุกเข่าลงด้วยความตื่นเต้นและกอดตั๋วตั่วแน่น อุทานด้วยความประหลาดใจ “ลูกสาวที่น่ารัก! ลูกสาวที่น่ารัก! หนูพูดได้แล้ว!”

ฉินสือโอวก็สังเกตเห็นจุดนี้เช่นกัน เมื่อกี้อยู่ดีๆ ตั๋วตั่วก็พูดออกมา แต่ว่าเธอพูดว่า ‘อ้วนมากๆ’ หมายถึงอะไรกันนะ? เจ้าแมวน้ำน้อยสองตัวนี้ก็ไม่ถือว่าอ้วนนะ เมื่อก่อนพวกมันเคยโดนทำร้ายอย่างหนักตอนอยู่บนเรือบูลด็อกที่รัฐเมน ตอนนี้จึงยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเต็มที่

แต่ก็ช่างมันเถอะ แค่ตั๋วตั่วพูดได้ เธอจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น

เด็กน้อยนี่ไม่เคยพูดมาก่อนเลย เมื่อก่อนเธอพูดไม่เป็น ตอนที่อ้าปากก็จะพูดได้แค่ว่า ‘อ๊าก ว้าว’ เท่านั้น เธอเป็นผู้ใหญ่ไวมาก ตอนอายุน้อยก็รู้เรื่องและเข้าใจในหลายๆ สิ่งแล้ว รู้ว่าเสียงนี้ไม่เพราะ จึงยอมที่จะปิดปากไม่พูดเลยเสียดีกว่า ได้เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น

แต่ตอนนี้ในที่สุดเธอก็ยอมส่งเสียงออกมา เขารู้สึกว่าเสียงของเด็กคนนี้ไพเราะมาก เหมือนลูกปัดทั้งขนาดเล็กและใหญ่ตกลงกระทบถาดหยก คมชัดมาก

เหมาเหว่ยหลงกอดตั๋วตั่วแน่น ตื่นเต้นดีใจจนขอบตาแดงไปหมด พึมพำว่า “ดีจริงๆ เลย ดีมากๆ หนูพูดได้แล้ว หนูพูดได้แล้ว พ่อดีใจมากๆ พ่อดีใจสุดๆ เลย หนูพูดได้แล้วนะเนี่ย!”

ด้านหนึ่งก็พูดพึมพำ อีกด้านหนึ่งเขาก็หันกลับไปมอง แล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “บ้าเอ๊ย ฉิน ลูกสาวฉันพูดได้แล้ว! ไอ้หมอนั่นที่รักษาให้เธอแม่งเป็นหมอวิเศษจริงๆ! เขาบอกว่าเธอจะค่อยๆ ฟื้นฟูความสามารถในการพูด ตอนนี้ตั๋วตั่วก็กลับมาพูดได้แล้วเนี่ย!”

ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง “เดิมทีตั๋วตั่วก็พูดได้อยู่แล้ว เพียงแต่เธอไม่ยอมที่จะพูดเท่านั้นเอง ใช่ไหม ตั๋วตั่ว?”

เด็กน้อยเผยให้เห็นรอยยิ้มอันสดใส ใช้มือจับหูของเหมาเหว่ยหลงเบาๆ แล้วกระซิบว่า “ผ้าผ้า อืม ปะป๊า!”

เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ เหมาเหว่ยหลงพลันน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง มือข้างหนึ่งโอบเอวของตั๋วตั่วเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ลูบศีรษะของเธอไปด้วย ดีใจจนน้ำตาท่วมใบหน้า

ฉินสือโอวรู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งนี้ เมื่อได้ยินว่ามีคนเรียกเราว่า ‘พ่อ’ เป็นครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษและบอกไม่ถูกสำหรับผู้ชายจริงๆ ครั้งแรกที่เสี่ยวเถียนกวาเรียกเขาว่า ‘ปะป๊า’ เขาก็เคยรู้สึกประทับใจมากจนอยากจะร้องไห้ออกมา

โดยเฉพาะเหมาเหว่ยหลง เขารอคำพูดคำนี้มานาน นานเกินไปแล้วจริงๆ !

เจ้าแมวน้ำน้อยสองตัวคลานเข้ามาใกล้ ใช้หัวชนไปที่น่องของเหมาเหว่ยหลงด้วยความไม่พอใจ หลังจากนั้นก็หันกลับไปมองลูกบอลที่อยู่บนพื้น อ้าปากร้องบุ๋งๆ ขึ้นมาหลายที สื่อว่าให้เขากลับไปเลี้ยงลูกบอลกับพวกมันต่อ

ตอนนี้เหมาเหว่ยหลงจะมีกะจิตกะใจกลับไปเลี้ยงลูกบอลที่ไหนอีก? เขากลับอยากเตะฟุตบอลอย่างมีความสุข โดยเล็งไปที่แมวน้ำน้อยสักตัวแล้วกระดกลูกบอลขึ้นไปบนฟ้าแล้วซัดลงไป

ฉินสือโอวตกใจ ร้องว่า “แกอยากตายหรือไง?”

ตั๋วตั่วดึงเหมาเหว่ยหลงกลับมาได้ทันเวลา ขาที่เขายกขึ้นจึงเก็บเข้าลงที่เดิม หลังจากนั้นวิ่งไปอยู่หน้าลูกบอล หลังจากนั้นเตะลูกบอลเต็มแรงอย่างงดงาม จนลูกบอลลอยไปไกลแสนไกล

แล้วลูกบอลก็ชนเข้ากับศีรษะของแมวน้ำตัวหนึ่งพอดี แมวน้ำตัวนี้จึงเงยหน้ามองด้วยความโกรธ แล้วล็อกเป้าหมายเป็นเหมาเหว่ยหลงอย่างรวดเร็ว คลานเข้ามาใกล้เพื่อที่จะแก้แค้น

สายตาของแมวน้ำดีมาก จิตใจที่คับแค้นก็แรงกล้า เพราะฉะนั้นเมื่อไปยั่วยุพวกมัน ต้องไม่ให้พวกมันเล็งเป้ามาที่เราให้ได้

เหมาเหว่ยหลงอุ้มตั๋วตั่วขึ้นมากรีดร้องเสียงประหลาดแล้วรีบวิ่งกลับไปที่วิลล่า แมวน้ำน้อยๆ สองตัวยังคงร้องเรียกด้วยความไม่พอใจ แล้วทำตามเหมาเหว่ยหลงเตะลูกบอลออกไปไกล แต่ทว่าครีบหน้าของมันสั้นเกินไป จึงไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามพวกมันก็ค้นพบอย่างรวดเร็วว่าตัวเองสามารถวิ่งไปเลี้ยงลูกบอลไปได้ ดังนั้นจึงเริ่มเล่นกับตัวเอง

เส้นเสียงและลำคอของตั๋วตั่วไม่มีโรคอะไร เธอแค่เคยเป็นไข้แล้วรักษาไม่ทันการจนมีผลกระทบต่อส่วนประสาทในการรับฟัง อีกทั้งตอนนั้นเธอยังเด็กมากจึงยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะพูด เมื่อไม่ได้ยินเสียง จึงพูดไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา

ภายหลังเหมาเหว่ยหลงและหลิวซูเหยียนรักษาโรคเกี่ยวกับการได้ยินของเธอที่แฮมิลตันจนหาย เมื่อฟังมาเยอะ เธอจึงเรียนรู้ที่จะพูด แต่ที่ยังไม่ได้พูดในทันทีนั่นก็เพราะปัญหาทางด้านจิตใจที่ยังเอาชนะมันไม่ได้ จริงๆ แล้วเธอรู้คำศัพท์มากมาย แต่ยังออกเสียงไม่ชัดมากนัก แต่ถ้าเป็นคำง่ายๆ ก็สามารถพูดออกมาได้แล้ว

แต่ว่าฉินสือโอวกลับรู้สึกว่า นี่ก็อาจจะเป็นเพราะพลังโพไซดอนด้วย เพราะอย่างไรก็ตามเขามักจะป้อนพลังโพไซดอนให้เธออยู่บ่อยๆ

เหมาเหว่ยหลงพาตั๋วตั่วไปหาหลิวซูเหยียนที่ตอนนี้กำลังดูเด็กๆ อยู่ บอกว่าอยากให้เธอประหลาดใจเล่น

หลิวซูเหยียนยิ้มแล้วถามขึ้นว่า “ตั๋วตั่วน้อยเจอเต่าทองงดงามตัวหนึ่งแล้วใช่ไหมเอ่ย?”

ตั๋วตั่วยิ้มแล้วส่ายศีรษะ กระซิบบอกว่า “ไม่ใช่…”

เมื่อได้ยินเสียงของเธอ หลิวซูเหยียนแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งตั๋วตั่วพูดออกมาว่า ‘มาม๊า’ ครั้งนี้หลิวซูเหยียนถึงค่อยรู้สึกตัว หลังจากนั้นเธอก็ทำแบบเดียวกับเหมาเหว่ยหลง กอดตั๋วตั่วไว้แน่น ร้องไห้ออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียง

การที่ตั๋วตั่วพูดได้ สำหรับเธอแล้วมีความหมายต่างจากเหมาเหว่ยหลง เพราะตัวเหมาเหว่ยหลงนั้นตอนเจอตั๋วตั่ว เธอก็อายุได้สามขวบแล้ว เด็กน้อยเริ่มรู้เรื่องแล้ว และเป็นเด็กที่เชื่อฟังคนหนึ่ง

ซึ่งไม่เหมือนกับหลิวซูเหยียน เพราะเธอเลี้ยงเด็กน้อยนี้คนตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งสองจึงพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง!

ฉินสือโอวเขาไปกอดเหมาเหว่ยหลง ตบไปที่หลังของเขาแล้วทอดถอนใจว่า “พี่น้อง ถ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ พี่ฉันรู้…”

“แกรู้บ้าอะไร ฉันร้องไห้เพื่อ? ตอนนี้ฉันดีใจมากๆ!” เหมาเหว่ยหลงทำหน้าตารังเกียจเขาแล้วผลักเขาออก “แกอยากจะเป็นคู่เกย์กับฉันใช่ไหมเนี่ย? ถึงได้อาศัยโอกาสแต๊ะอั๋งฉัน?”

ฉินสือโอวรู้สึกอับอาย ด่าใส่ “แม่ง แกมันเป็นหมาลอบกัด ความรู้สึกพี่น้องที่ดีต่อกันล่ะ?”

เหมาเหว่ยหลงต่อสู้กลับ ฉินสือโอวก็ซัดกลับ ตั๋วตั่วมองหันกลับมา พูดเสียงเบาแต่ชัดเจนว่า “ทะเลาะกันแล้ว ไม่ดี!”

ทั้งสองหุบปากทันที เหมาเหว่ยหลงหัวเราะเสียงดัง “เชื่อฟังนะ ลูกสาวที่น่ารัก พ่อไม่ได้ทะเลาะกับลุงฉินเลย พวกเราสองคนกำลังเล่นคำกันอยู่”

ฉินสือโอวตบบ่าเขาไปหนึ่งที แล้วพูดขึ้น “แกนี่มันไร้สาระจริงๆ เออใช่ ฉันอยากจะเป็นพ่อบุญธรรมให้ลูกสาวแก ทีหลังห้ามเรียกลุงฉินแล้วนะ ต้องเรียกว่าพ่อบุญธรรม”

ตั๋วตั่วยิ้มหวาน ดวงตากลมโตหรี่จนเหลือเรียวเล็กเหมือนพระจันทร์เสี้ยว “ของแห้ง[1]”

“ฮ่าๆๆ!” เหมาเหว่ยหลงระเบิดเสียงหัวเราะ “ใช่ ของแห้ง นี่มันแห้งไม่ใช่เปียก!”

ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมาเช่นกัน เขานั่งคุกเข่าลงไปแล้วช่วยสางผมสลวยให้กับตั๋วตั่ว “ใช่ ของแห้ง พ่อบุญธรรมก็คือของแห้ง แต่ว่ายังรักหนูมากกว่าพ่อแท้ๆ ของหนูอีกนะ!”

……………………………………….

[1] คำว่าพ่อบุญธรรมในภาษาจีนคือ 干爹Gān diē อ่านว่า กานเตีย แต่เนื่องด้วยตั๋วตั่วออกเสียงไม่ชัดจึงอกเป็นคำว่าของแห้ง ในภาษาจีนคือ 干的 Gàn de กานเตอะ

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน