ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1511 ซื้อ

บทที่ 1511 ซื้อ

ฉินสือโอวถามรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ของฟาร์มปลาของจับบาร์ กระเป๋าเอกสารที่เขาพกติดตัวมามีสัญญาอสังหาริมทรัพย์ด้านการประมงและแผนที่โดยละเอียดอยู่ข้างใน เมื่อเปิดกระเป๋าออกแล้วชี้ไปที่ข้อมูลพร้อมกับพูดให้ฟังว่า “ใช้แม่น้ำเซนต์แคเทอรีนส์เป็นเส้นแบ่งเขต ทางด้านเหนือจะเป็นฟาร์มปลาคาร์เตอร์ ส่วนทางใต้จะเป็นฟาร์มปลาของเรา”

“ฟาร์มปลาของพวกเราเล็กกว่าฟาร์มปลาคาร์เตอร์ เส้นฝั่งทะเลมีระยะทางอยู่ที่ 2.8 กิโลเมตร พื้นที่บนโฉนดส่วนที่ยื่นออกไปสู่ทะเลมีระยะห่าง 80 กิโลเมตร แต่ที่จริงแล้วจะยื่นออกไปได้ไกลกว่านั้น พระเจ้าอวยพรให้แคนาดา ตราบใดที่มันอยู่ใกล้แคนาดามากกว่า เท่านั้นก็นับว่าเป็นพื้นที่ประมงของเราแล้วใช่ไหมล่ะ?”

ฉินสือโอวปล่อยให้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนล่องไปตามแผนที่เพื่อรับสัมผัสจากใต้ทะเล ฟาร์มปลาผืนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ แต่อาจจะเป็นเพราะไม่มีคนมาดูแลที่นี่นานแล้ว สภาพแวดล้อมบนบกจึงไม่ค่อยดีเท่าไรนัก สนามหญ้าไม่มีคนตัด บ้านพักไม่มีคนซ่อม พื้นถนนก็ไม่มีคนมาจัดการให้เรียบร้อย

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำฟาร์มปลาก็คือทะเล ในทะเลผืนนี้มีทรัพยากรสัตว์น้ำอยู่เป็นจำนวนมาก และเขายังได้เห็นลูกพันธุปลาบางส่วนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดีอีกด้วย ที่ใต้ทะเลลึกมีปลาลิ้นหมา ส่วนบริเวณน้ำตื้นก็มีปลาค็อดสายพันธุ์ต่างๆ ในร่างกายของพวกมันมีพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแฝงอยู่อย่างบางเบา จึงทำให้รู้ได้อย่างแน่ชัดว่ามันเป็นปลาที่ว่ายมาจากฟาร์มปลาคาร์เตอร์ เนื่องจากคาร์เตอร์เคยซื้อลูกพันธุ์ปลาจากเขา

โดยพื้นฐานแล้วเขาก็รู้สึกพึงพอใจกับฟาร์มปลาแห่งนี้ ฉินสือโอววนไปดูวิลล่ากับห้องแช่แข็งและที่ต่างๆ สิ่งก่อสร้างต่างๆ ของฟาร์มปลาแห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามและน่าตื่นตา ถึงขั้นที่ว่ามีห้องสำหรับให้ความบันเทิงอยู่ด้วย ด้านในมีบาร์เหล้าเล็กๆ โต๊ะสำหรับเล่นไพ่และเล่นหมากรุก โต๊ะบิลเลียดและอื่นๆ เป็นต้น แต่ก็ยังมีปัญหาเดิมๆ ซึ่งก็คือไม่มีคนมาทำความสะอาดจนรกร้างมานานแล้วนั่นเอง

หลังจากเดินเข้ามาในห้องสำหรับกิจกรรมบันเทิง จับบาร์ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “เฮ้ เพื่อนเก่าของฉัน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ พวกแกคิดถึงฉันไหม? โอ้ ฉันคิดถึงพวกแกมากๆ เลย ฉันคิดถึงวันวานครั้งนั้นที่เคยได้อยู่กับพวกแก แต่ฉันไม่เหมาะกับที่เล็กๆ ฉันเกิดมาเพื่อโลกที่กว้างใหญ่ ดังนั้นต้องขอโทษพวกแกด้วยจริงๆ ที่ฉันต้องไปจากที่นี่ ไปตามหาความฝันของฉัน พวกแกจะให้อภัยฉันได้ไหม?”

เขานั่งลงบนโซฟาที่เต็มไปด้วยเศษฝุ่นแล้วเริ่มพูดกับตัวเอง ดวงตาของเขามีร่องรอยของความเศร้าโศก ทีแรกฉินสือโอวคิดว่าคนคนนี้ค่อนข้างน่ารำคาญ แต่เมื่อได้เห็นท่าทางของเขาในตอนนี้ ทันใดนั้นเขาก็เกิดความรู้สึกเห็นใจขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่าจับบาร์ได้ใช้เวลาวัยเด็กอยู่ในฟาร์มปลาแห่งนี้ นี่เป็นที่ที่บรรพบุรุษของเขาทุ่มเทแรงกายทำงานอย่างหนักมาหลายชั่วอายุคน ปู่ส่งต่อฟาร์มปลาแห่งนี้ให้พ่อของเขา ส่วนพ่อของเขาก็มอบที่นี่ให้เป็นของเขา แต่เขาไม่ได้อยากเป็นชาวประมง แต่อยากเป็นดีเจที่มีชื่อเสียงระดับโลกต่างหาก

เขายื่นมือออกไปตบไหล่ของจับบาร์ จับบาร์ก็พูดอย่างทอดถอนใจว่า “เฮ้อ ฉิน คุณต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ผมน่ะโตมากับที่นี่ ผมว่ารอยยิ้มในวัยเด็กของผมคงจะหลงเหลืออยู่ในที่แห่งนี้”

ฉินสือโอวพูดกับเขาว่า “ผมเข้าใจนะ เพื่อน ผมคิดว่าเพื่อนเก่าของคุณก็คงจะเข้าใจคุณเหมือนกัน”

ห้องสำหรับกิจกรรมบันเทิงห้องนี้อยู่มานานมากแล้ว จะเห็นได้จากสไตล์การตกแต่งภายใน โต๊ะเก้าอี้เฟอร์นิเจอร์ในห้องที่เป็นรูปแบบการตกแต่งของแคนาดาในยุคเจ็ดศูนย์ ดังนั้นที่ฉินสือโอวเรียกพวกมันว่าเป็นเพื่อนเก่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

แบล็คไนฟ์เดินวนดูรอบๆ เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “น่าเสียดายจริงๆ ของพวกนี้เก่าจนใช้งานไม่ได้แล้ว”

จับบาร์จึงรีบพูดกับเขาว่า “ไม่เป็นไรนะเพื่อน เดี๋ยวผมลดให้อีกหนึ่งแสน เงินหนึ่งแสนก็เพียงพอสำหรับการซ่อมแซมห้องนี้แล้วใช่ไหมล่ะ?”

พอพวกเขาเดินวนดูห้องกิจกรรมความบันเทิงเสร็จแล้วก็พากันเดินออกไปข้างนอก แบล็คไนฟ์เดินรั้งท้าย เขาส่งสายตาให้ฉินสือโอว คนหลังนึกว่ามีเรื่องอะไร แต่พอเขาหยุดฟังแบล็คไนฟ์ก็กระซิบกับเขาว่า “บอส ไม่ต้องตกแต่งใหม่นะครับ ผมไม่ค่อยเห็นสิ่งก่อสร้างที่สามารถคงสไตล์การตกแต่งแบบแคนาดาในยุค 70 ไว้ได้สมบูรณ์แบบอย่างนี้เท่าไรเลย ผมคิดว่าห้องกิจกรรมบันเทิงห้องนี้ จะต้องเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคนแน่ๆ”

ฉินสือโอวรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ได้ยินอย่างนี้ เขาจึงพูดว่า “อันดับแรกฉันต้องพอใจที่จะซื้อฟาร์มปลาแห่งนี้ก่อน”

แบล็คไนฟ์ไหวไหล่พูดว่า “เห็นๆ กันอยู่ว่าคุณก็พอใจกับที่นี่”

“นายรู้ได้ยังไง?” ฉินสือโอวมองหน้าแบล็คไนฟ์อย่างไม่ยอมแพ้

แบล็คไนฟ์ก็ไหวไหล่ต่อ “มันชัดจะตายอยู่แล้วครับบอส จากนิสัยของคุณ ถ้าไม่อยากซื้อที่นี่ คุณคงหันหลังให้ตั้งนานแล้ว ไม่มัวมาเสียเวลาอยู่ที่นี่แบบนี้หรอกครับ จากที่ผมที่รู้จักคุณมา ทำให้รู้ว่าคุณเป็นคนที่จัดการทุกเรื่องด้วยความรวดเร็วและเด็ดขาดยังไงละครับ”

ฉินสือโอวครุ่นคิดอยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็รับคำวิจารณ์นี้ไว้ด้วยความยินดี ด้วยคิดว่านี่เป็นคำชมเชย

ใช่แล้ว เขาตัดสินใจที่จะซื้อฟาร์มปลาแห่งนี้ เนื้อที่ของฟาร์มปลาผืนนี้มีขนาดเล็กกว่าฟาร์มปลาคาร์เตอร์อยู่มาก แค่ราวๆหนึ่งในสี่ส่วนเท่านั้น แต่ราคาก็ถูกมากจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะขายแค่สิบล้านดอลลาร์แคนาดา!

แล้วฟาร์มปลาคาร์เตอร์ขายในราคาเท่าไรน่ะเหรอ? ราคาประมูลอยู่ที่ 115 ล้านดอลลาร์แคนาดา!

ดังนั้นไม่ว่าจะมองยังไง ราคาเท่านี้ก็ถือว่าถูกมากสำหรับฟาร์มปลา ถ้าฉินสือโอวตกลงซื้อ นั่นก็เท่ากับว่าเขาได้แก้มือแล้ว จะได้ทดแทนความเสียดายที่เขาไม่ได้ฟาร์มปลาคาร์เตอร์มาไว้ในมือ

แต่เขายังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่อีกนิดหน่อย จับบาร์เข้าร่วมการประมูลฟาร์มปลาคาร์เตอร์ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาน่าจะรู้ถึงมูลค่าของฟาร์มปลาของเขาอยู่แล้ว ทำไมถึงได้ยินดีขายมันให้เขาในราคาต่ำแค่สิบล้านดอลลาร์เองล่ะ?

หลังจากนั้นฉินสือโอวจึงพูดข้อสงสัยของเขาออกมา พร้อมกับเตือนจับบาร์ว่า “เพื่อน เผื่อบางทีคุณอาจจะเห็นว่าผมเป็นคนเอเชียผิวเหลือง เลยคิดจะเอาเปรียบ ผมไม่รู้นะว่าฟาร์มปลาที่นี่มีเรื่องอะไรปกปิดไว้หรือเปล่า แต่ผมคิดว่าคุณควรจะบอกผมเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่านะ ถ้าผมตรวจเจอเอง ความสัมพันธ์ระหว่างเราคงไม่ปรองดองกลมกลืนกันอย่างในตอนนี้แน่”

จับบาร์พูดกับเขาอย่างรีบร้อน “คุณตรวจสอบได้ตามสบายเลย ไม่มีอะไรแอบซ่อนไว้แน่ๆ ไม่เด็ดขาด ไม่ได้แอบซ่อนอะไรไว้เด็ดขาดเลย! ผมแค่อยากรีบจัดการกับมัน เลยขายในราคาต่ำขนาดนี้ ที่จริงถ้าผมขายมันในราคาสูงกว่านี้ก็คงไม่มีคนมาซื้อหรอก ในเวลาอย่างนี้ใครจะยอมเสียเงินสิบล้านเพื่อมาซื้อฟาร์มปลากันล่ะ? อีกอย่าง ผมก็ตั้งเงื่อนไขว่าขอให้จ่ายเงินเต็มจำนวน ไม่รับเงินผ่อน”

ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วพูดกับเขาว่า “เรื่องนี้คุณวางใจเถอะ ถ้าผมจะซื้อ ผมไม่จ่ายเงินผ่อนแน่ จะจ่ายเต็มจำนวนนั่นล่ะ”

จับบาร์ได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มออกมา เขาถามด้วยความคาดหวังว่า “แล้วคุณจะซื้อไหม?”

ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมาบ้างแล้วเหมือนกัน เขาพูดว่า “ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ผมคิดว่าก็คงจะซื้อ แต่ไม่ใช่ในราคาสิบล้าน…”

“ขายให้ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ!” จับบาร์ยืนยันราคา “คุณไปตรวจสอบดูได้เลย ฉิน ในเมืองนี้มีคนที่คุ้นเคยกับผมอยู่หลายคน ผมไม่ใช่พวกชอบต่อรองราคา ถ้าบอกว่าสิบล้านก็คือสิบล้าน นี่คือราคาต่ำสุดแล้ว เป็นราคาที่คุณได้ประโยชน์ที่สุดแล้วด้วย!”

“เก้าล้านเก้าแสนก็ไม่ได้เหรอ? เมื่อกี้นี้คุณบอกว่าจะลดราคาให้เก้าแสนเพื่อเป็นค่าซ่อมแซนห้องกิจกรรมบันเทิงไม่ใช่เหรอ?” ฉินสือโอวแกล้งพูดหยอก

จับบาร์ก็เผยรอยยิ้มเก้อเขินออกมา แล้วพูดว่า “นี่ไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว ผมลดให้คุณอีกหนึ่งแสนเลยก็ได้ คุณจะได้ให้คนมาทำความสะอาดที่นี่ด้วย เก้าล้านแปดแสนแล้วกัน ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้วนะ!”

ฉินสือโอวหาโรงแรมในเมืองเพื่อเป็นที่พักชั่วคราว เขาให้แบล็คไนฟ์หาวิธีตรวจสอบภูมิหลังของจับบาร์กับตรวจสอบสภาพของฟาร์มปลาดาราให้แน่ชัด ฟาร์มปลาดีๆ แต่ขายในราคาถูกขนาดนี้ มันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเลยจริงๆ

แต่แน่นอนว่า เขาไม่เชื่อว่านายจับบาร์คนนี้จะกล้าปิดบังเขา ดังนั้นเขาจึงโทรศัพท์ไปหาเออร์บัก เพื่อบอกให้เขาบินมาที่นี่เพื่อดำเนินการเซ็นสัญญาการรับซื้อฟาร์มปลาแห่งใหม่

แบล็คไนฟ์มีฝีมือให้การสืบหาข่าวที่ดีมาก ในวันเดียวกันเขาก็นำข้อมูลกลับมารายงานฉินสือโอวว่า จับบาร์เป็นคนอ่อนไหวง่าย ขี้ขลาดและยังชอบพูดพร่ำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฟาร์มปลาของเขาเริ่มเปิดฟาร์มปลาดารามาตั้งแต่รุ่นพ่อของปู่เขาแล้ว แต่เมื่อมาถึงมือของเขาก็ดันเลิกทำไป เพราะเขาไม่อยากเป็นชาวประมง แต่มีความฝันว่าอยากจะเป็นดีเจที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท