ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1503 ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ

บทที่ 1503 ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ

อุทยานแห่งชาติเคจิมกูจิกอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง ดังนั้นจึงไม่มีมลภาวะทางแสง จึงถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมทางช้างเผือกในช่วงฤดูร้อน นอกจากนี้ที่น่าตื่นตาตื่นใจไปกว่านั้นคือ เนื่องจากสภาพอากาศและท้องฟ้า จึงทำให้ที่นี่สามารถมองเห็นแสงขั้วโลกในช่วงฤดูหนาวได้

แน่นอนว่าแสงขั้วโลกที่นี่ไม่เหมือนกับที่กรีนแลนด์ในวงกลมอาร์กติก ตราบใดที่ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างสดใส ก็จะทำให้สามารถมองเห็นแสงขั้วโลกได้ทุกวัน ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั่วไป อาจจะมีถึงสี่หรือห้าครั้งต่อปี ซึ่งขนาดจะเทียบไม่ได้กับที่วงกลมอาร์กติก แต่จะมองดูแสงขั้วโลกที่นี่ได้ โดยไม่ต้องทนกับความหนาวเย็นในวงกลมอาร์กติก

สำหรับสภาพอากาศในกรีนแลนด์ ฉินสือโอวยังคงจำสภาพอากาศนั้นได้ดี ถ้าไม่จำเป็น เขาจะไม่ไปที่นั่นอีกเลยในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้ฟาร์มปลาคาร์เตอร์แล้ว เขาก็จะสามารถนอนดูแสงขั้วโลกที่ฟาร์มปลาได้

นอกจากอุทยานแห่งชาติจะมีทิวทัศน์ที่งดงามแล้ว ยังมีแม่น้ำเซนต์แคเทอรีนส์ในบริเวณฟาร์มปลาอีกด้วย แม่น้ำสายนี้เป็นกระแสน้ำหลัก ทุกๆ ปีมีนักศึกษาจำนวนมากมาที่แม่น้ำเพื่อจัดกิจกรรมล่องแก่ง นอกจากนี้แม่น้ำสายนี้ยังมีการจัดการแข่งขันเรือแคนูและการแข่งขันแคนูจากทั่วทั้งวิทยาลัยแคนาดาก็จัดขึ้นที่นี่

สรุปแล้ว ตอนนี้ฉินสือโอวก็ได้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับฟาร์มปลาคาร์เตอร์มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้เขายิ่งต้องการซื้อมัน เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคาร์เตอร์ถึงไม่พอใจขนาดนั้น? มีฟาร์มปลาที่ดีแบบนี้ ยังจะไปวุ่นวายกับเขาอีก รนหาที่ตายให้ตัวเองจริงๆ

จุดที่ไม่ดีอยู่ที่รัฐโนวาสโกเชียเป็นเหมือนกับนิวฟันด์แลนด์ ที่กว้างขวางแต่มีผู้คนเพียงน้อยนิด บริเวณเคจิมกูจิกอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมาก กิจกรรมการประมูลฟาร์มปลาจึงจัดขึ้นในเมืองหลวงของแฮลิแฟกซ์

แฮลิแฟกซ์เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐโนวาสโกเชีย ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเมืองต่างๆ บนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกและเป็นท่าเรือน้ำลึกธรรมชาติที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอีกด้วย

ซึ่งตั้งอยู่บนคาบสมุทรทางตอนใต้ของรัฐโนวาสโกเชีย ริมมหาสมุทรแอตแลนติกและเป็นหนึ่งในท่าเรือที่ปราศจากน้ำแข็งมากที่สุดในโลก เนื่องจากเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ จึงถูกเรียกว่าเป็น “ประตูสู่ภาคเหนือ” ในปี 1749 มีผู้อพยพเข้ามาตั้งรกรากและตั้งเป็นเมืองในปี 1841

ตอนนี้เมืองแห่งนี้ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก ซึ่งมีประชากรถึง 400,000 คน ผู้คนเกือบครึ่งหนึ่งรัฐโนวาสโกเชียล้วนอาศัยอยู่ที่นี่…

สภาพอากาศของแฮลิแฟกซ์ดีที่สุดในแคนาดา ฤดูหนาวจะไม่หนาวจัด เพราะตั้งอยู่ทางใต้ ฤดูใบไม้ผลิก็มาเร็วมาก เมื่อฉินสือโอวลงจากเครื่องบินในตอนเที่ยง แสงดวงอาทิตย์จะส่องแสงอย่างอบอุ่น ซึ่งทำให้ร่างกายอบอุ่นอย่างรวดเร็วและที่นี่ในช่วงฤดูนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ อีก

การใช้ชีวิตในเมืองนี้ค่อนข้างที่จะสโลวไลฟ์ ในฤดูใบไม้ผลิอากาศจะแจ่มใส ผู้คนเดินบนถนนไม่กันอย่างไม่เร่งรีบ แม้แต่คนหนุ่มสาวก็ยังเอื่อยเฉื่อย ผู้คนทั่วทั้งเมืองจึงรู้สึกผ่อนคลายมาก

ฉินสือโอวออกไปที่ประตูสนามบิน เบิร์ดจึงไปเรียกรถแท็กซี่มาให้เขา หลังจากที่พวกเขาขึ้นรถแล้ว คนขับก็ถามว่า “พวกคุณ จะไปไหน?”

“ไปไหนก็ได้” ฉินสือโอวกล่าว การประมูลจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้และโรงแรมก็ได้ให้วินนี่จัดการจองให้แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรทำ สู้ไปตามจังหวะของเมืองนี้และเดินเล่นอย่างช้าๆ อย่างสบายใจยังจะดีกว่า

คนขับรถคิดว่าพวกเขาเป็นนักท่องเที่ยว จึงแนะนำว่า “ผมจะพาพวกคุณไปท่าเรือของเมืองดีไหม? ที่นั่นมีทางเดินเล่นริมทะเลที่ยาวที่สุดในโลก แม้ว่าในช่วงฤดูนี้จะไม่ได้เห็นบิกินี่ก็ตาม แต่ก็มีสาวสวยมากมายมาเดินเล่น ถ้าหนุ่มหล่ออย่างพวกคุณไปที่นั่น บางทีอาจจะได้สาวกลับมาก็ได้”

ฉินสือโอวยิ้มพร้อมพูดว่าไม่เป็นไร ‘หนุ่มหล่อ’ ที่คนขับรถกล่าวทำให้เขามีความสุขมาก เพราะตั้งแต่มีลูก เขาก็ไม่รู้สึกถึงความเป็นวัยรุ่นอีกเลย ดังนั้นจึงไม่เร็วเกินไปที่จะมีลูก

รถแท็กซี่แล่นออกไปบนถนนอย่างรวดเร็ว หลังจากเห็นแนวชายฝั่งแล้ว ความรู้สึกดีๆ ของฉินสือโอวที่มีต่อคนขับก็หายไป

แม่เจ้า หมอนี่หลอกพวกเขา ท่าเรือและสนามบินของแฮลิแฟกซ์ตั้งอยู่เกือบจุดสูงสุดของสองเส้นทแยงมุมของเมือง ซึ่งถ้านั่งแท็กซี่ไปต้องจ่ายถึง 100 กว่าดอลลาร์แคนาดา

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แฮลิแฟกซ์ก็เป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งการค่าแท็กซี่จ่ายมากกว่า 100 ดอลลาร์แคนาดาในเมืองเล็กๆ นี้ถือว่าเป็นการหลอกลวงอย่างแน่นอน

โชคดีที่แนวชายฝั่งของเมืองนี้สวยงามมากและดูเหมือนว่าคนขับจะสังเกตเห็นสีหน้าไม่พอใจของพวกเขา ครั้งนี้ฉินสือโอวพาเบิร์ดและแบล็คไนฟ์มาด้วย ทั้งสามคนล้วนรักในความเป็นธรรม ดังนั้นหลังจากที่คนขับรถหลอกพวกเขา จึงเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นี่อาจเป็นความต้องการชดเชย จึงค่อยๆ ชะความเร็วของรถลงและปล่อยให้พวกเขามีอารมณ์และเวลาได้ชมวิวทิวทัศน์

มีเกาะเล็กๆ มากมายรอบนอกทะเลนอกแฮลิแฟกซ์ ลักษณะเด่นของเกาะเหล่านี้คือ ‘เล็ก’ เกาะเล็กๆ แต่ละที่จะคล้ายกับกระถางขนาดใหญ่ บนระลอกคลื่นทะเลสีฟ้า ทำให้เห็นการเคลื่อนไหวที่มีความงดงาม

แม้ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ก็จะมีสีเขียวปรากฏบนเกาะเล็กๆ เหล่านี้และร่มไม้สีเขียวก็เผยให้เห็นท่าเรือเล็กๆ บ้านไม้อันงดงามและเรือลำเล็กที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ด้านบน รู้สึกว่าอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ก็ดูลึกลับ

แบล็คไนฟ์ไม่เคยมาแฮลิแฟกซ์มาก่อน เมื่อมองออกไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ที่นี่มีเกาะเล็กๆ มากมาย ผมคิดว่าต้องมีหลายร้อยเกาะใช่ไหม?”

คนขับรถรีบพูดว่า “ใช่ มีเป็นหลายร้อยเลยล่ะ ไม่อย่างนั้นพวกโจรสลัดก็คงจะไม่เลือกตั้งฐานทัพที่นี่ก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าพวกคุณชอบวัฒนธรรมโจรสลัด ก็สามารถไปดูที่เกาะเล็กๆ ได้ เพราะเกาะเล็กๆ เหล่านี้เกือบทั้งหมดจะมีร่องรอยของโจรสลัด ซึ่งเมื่อก่อนในแต่ละเกาะเคยมีกลุ่มโจรสลัดอาศัยอยู่”

หลังจากหยุดพักไปพักหนึ่ง เขาก็พูดเสริมว่า “ถ้าพวกคุณโชคดี บางทีคุณอาจจะพบสมบัติของโจรสลัดก็ได้นะ โจรสลัดหลายคนได้ทิ้งสมบัติไว้ที่นี่ โดยเฉพาะที่เกาะต้นโอ๊ก ว่ากันว่าที่นั่นได้ฝั่งสมบัติที่มีมูลค่ามากจนสามารถซื้อรัฐโนวาสโกเชียได้ทั้งหมด!”

ที่จริงแฮลิแฟกซ์เคยเป็นสวรรค์ของโจรสลัดและจอมโจรคิดผู้มีชื่อเสียงก็อยู่ที่นี่ ซึ่งบางเกาะก็ตั้งชื่อเกี่ยวกับเขา

เช่นเกาะแม่ม่ายในอ่าวเชด จอมโจรคิดได้เคยซ่อนสมบัติไว้ที่นี่ เขาส่งคน 43 คนไปขุดหลุมไว้สองหลุม จากนั้นเขาก็ฝังสมบัติและชายทั้ง 43 คนไว้ในหลุม ดังนั้นจึงมีหญิงม่าย 43 คนร้องไห้ทั้งวันทั้งกลางคืน และนี่ก็เป็นที่มาของชื่อเกาะแม่ม่าย

แต่ก็เหมือนกับที่คนขับรถได้พูดไว้ ตำนานเล่าว่าเกาะต้นโอ๊กมีสมบัติจำนวนมากที่สุดและสมบัติครึ่งหนึ่งของจอมโจรคิดก็ฝังอยู่ที่นั่น ว่ากันว่า เมื่อต้นโอ๊กทั้งหมดบนเกาะที่ถูกปกคลุมเกาะแห่งนี้เหี่ยวเฉาตาย จะต้องมีคน 7 คนจะเสียชีวิตในเวลาเดียวกัน ความลึกลับของสมบัติถึงจะถูกเปิดเผย

ด้วยเหตุนี้ฉินสือโอวจึงหัวเราะขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เกาะต้นโอ๊กถูกค้นพบมานานหลายร้อยปีและรื้อค้นจนหมด สุดท้ายแม้แต่ลมก็ไม่มี ใครเชื่อคนนั้นก็คนโง่แล้ว

เมื่อขับรถไปถึงท่าเรืออย่างช้าๆ แล้ว รถแท็กซี่ก็หยุดลง ฉินสือโอวจึงจ่ายเงินให้ คนขับรถคนนั้นจึงโล่งใจ เมื่อกี้แบล็คไนฟ์มองเข้าไปในดวงตาของเขา จนทำให้เขารู้สึกขนหัวลุกเพราะกลัวว่าทั้งสามคนจะทำร้ายเขา

ท่าเรือเงียบและสงบ มีนกนางนวลสีขาวราวกับหิมะบางตัวกำลังบินอยู่บนทะเลพร้อมส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วเหนือน่านน้ำทะเล มีใบเรือสีขาวเล็กๆ และเรือขนาดเล็กใหญ่กำลังเข้าออกท่าเรือ ซึ่งกำลังเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ

จากท่าเรือไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้จะมีถนนคดเคี้ยวเรียบไปตามชายหาด โดยทั่วไปแล้วนี่เป็นถนนคนเดินที่ยาวที่สุดในโลก

ในช่วงตอนเที่ยง บนถนนจะมีผู้จำนวนมาก ข้างทางจะมีร้านกาแฟและร้านอาหารมากมาย ทำให้ส่งกลิ่นหอมออกมาอย่างไม่ขาดสาย ฉินสือโอวจึงวางแผนว่าจะพาทั้งสองคนไปกินข้าวก่อน

ในขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนน ฉินสือโอวก็คิดอะไรไปเรื่อย ทันใดนั้นก็มีคนสองสามคนออกมาจากร้านอาหาร หัวหน้าของคนเหล่านี้เป็นคนรู้จักของเขาซึ่งก็คือ ชาลส์ มอร์รี่ ลูกชายคนที่สามของตระกูลมอร์รี่ ซึ่งเป็นครอบครัวชาวประมงอเมริกันขนาดใหญ่

……………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท