ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1515 อาศัยช่องโหว่

บทที่ 1515 อาศัยช่องโหว่

ได้เห็นท่าทางอย่างคนขี้ขลาดของโรเบิร์ต ฉินสือโอวก็รู้สึกสิ้นหวังจริงๆ คนแบบไหนถึงจะถูกเรียกว่าเพื่อนทรยศน่ะเหรอ? ก็แบบนี้ยังไงล่ะ!

อย่าคิดว่าโรเบิร์ตเป็นตำรวจ เลยต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของจ่าสิบตำรวจเคดี้ ที่จริงแล้วสถานีตำรวจของเมืองนี้ที่มีนายตำรวจอย่างเขาเป็นตัวแทน ต้องเป็นพวกเดียวกันชาวเมืองอย่างฉินสือโอวต่างหาก ไม่ใช่ไปเข้าพวกกับตำรวจม้าอย่างจ่าสิบตำรวจเคดี้

เรื่องนี้ต้องอธิบายให้ฟังคร่าวๆ ก่อนว่า ตามกฎหมายของแคนาดาแล้ว ในพื้นที่ที่มีประชากรมากกว่า 5,000 คนจะต้องมีตำรวจไว้คอยบริการประชาชน

และหน่วยงานที่จัดสรรการให้บริการจากตำรวจในแคนาดาก็ไม่จำเป็นต้องมาจากกรมตำรวจเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะมาจากสถานีตำรวจในท้องถิ่นที่ก่อตั้งขึ้นเอง หรืออาจจะมาจากลงนามในข้อตกลงกับสำนักงานตำรวจม้าแห่งชาติแคนาดา โดยสำนักงานตำรวจม้าแห่งชาติจะเป็นฝ่ายส่งตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่นั้นๆ

ปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่แล้วพื้นที่ในเขตบังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจม้าแห่งชาติจะประกอบไปด้วยรัฐต่างๆ จำนวนแปดรัฐรวมถึงพื้นที่ห่างไกลและพื้นที่ที่มีประชากรน้อยกว่า 5,000 คนยกเว้นรัฐออนแทรีโอและรัฐควิเบก

ดังนั้นหากว่ากันตามหลักปฏิบัติแล้ว เกาะแฟร์เวลที่ปัจจุบันยังมีจำนวนประชากรไม่ถึง 5000 คน ก็ควรจะอยู่ในเขตพื้นที่การปกครองของตำรวจม้า และไม่ควรมีสถานีตำรวจอิสระที่ก่อตั้งขึ้นเอง เพียงแต่ว่าสภาพการณ์ของเมืองแฟร์เวลไม่ได้อยู่ในขอบเขตของหลักปฏิบัติทั่วไปก็เท่านั้น

จำนวนประชากรสูงสุดในเมืองแฟร์เวลไม่ได้หยุดอยู่เพียงห้าพันคน จึงทำให้ต้องก่อตั้งสถานีตำรวจในพื้นที่ขึ้นมาเอง แต่ต่อมาจำนวนประชากรลดน้อยลงจากการย้ายถิ่นที่อยู่ของคนในเมือง สาเหตุที่เมืองนี้ยังคงรักษาสถานีตำรวจไว้ได้เป็นเพราะลักษณะพิเศษของเมือง ที่ได้ยื่นคำร้องให้กลายเป็นถิ่นที่อยู่ของชนพื้นเมืองเดิม ซึ่งถิ่นที่อยู่ของชนพื้นเมืองเดิมจะต้องมีการก่อตั้งสถานีตำรวจขึ้นมา ดังที่กฎหมายรัฐธรรมนูญของแคนาดาได้กำหนดไว้

และแน่นอนว่า ชนพื้นเมืองเดิมที่ยื่นคำร้องในที่นี้ก็คือชาวไวกิ้งนั่นเอง

หน่วยงานตำรวจเหล่านี้มีความแตกต่างกันมาก สำนักงานตำรวจม้าแห่งชาติทำงานรับใช้รัฐบาลกลาง แต่หน่วยงานที่เรียกว่าสำนักงานตำรวจอิสระ คือกองกำลังตำรวจที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลของมลรัฐและเทศบาลเมืองที่มีสภาพเศรษฐกิจดี ทำให้มีอำนาจในการตัดสินใจมากยิ่งขึ้น

รัฐบาลแคนาดาก่อตั้งสถานีตำรวจของชนพื้นเมืองเดิมขึ้นในเดือนมิถุนายนปี 1991 เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนในท้องที่ และจะทำหน้าที่เป็นตำรวจที่ให้บริการเฉพาะในเขตชุมชนของชนพื้นเมืองเดิมเท่านั้น

และหน่วยงานตำรวจเหล่านี้ยังมีความแตกต่างทางด้านการเงินอีกด้วย

รัฐบาลกลางจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายของสำนักงานตำรวจม้าแห่งชาติ ภาระค่าใช้จ่ายของตำรวจส่วนภูมิภาครัฐบาลกลางและรัฐบาลส่วนภูมิภาคจะร่วมกันแบ่งเบาภาระตามข้อตกลงของทั้งสองฝ่าย โดยรัฐบาลส่วนภูมิภาคจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายราวๆ 70% และรัฐบาลกลางจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายอีก 30% ส่วนองค์กรตำรวจอิสระเทศบาลเมืองจะออกค่าใช้จ่ายให้ 90% รัฐบาลกลางให้ 10% ในพื้นที่ที่มีจำนวนประชากรไม่ถึง 5000 คน รัฐบาลกลางจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด สำหรับสถานีตำรวจชนพื้นเมืองเดิมผู้ที่รับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็คือชนพื้นเมืองเดิมเอง

เช่นเดียวกันกับภาระด้านการเงิน ความรับผิดชอบของหน่วยงานตำรวจเหล่านี้ก็แตกต่างกันออกไป ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ ตำรวจแคนาดาต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อรับใช้ประชาชน หากรัฐบาลและประชาชนเกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนโดยไม่มีเงื่อนไข

ดังนั้นฉินสือโอวจึงหวังว่าโรเบิร์ตจะเป็นผู้ที่เข้ามาจัดการเรื่องนี้ ขอแค่อยู่ภายใต้การควบคุมของสถานีตำรวจเมืองแฟร์เวล เขาก็จะจัดการเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น ปล่อยให้คนในจัดการความขัดแย้งภายใน เพราะถึงอย่างไรผู้คนในเมืองนี้ก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าฟาร์มปลาต้าฉินจะเลี้ยงสัตว์ดุร้ายอะไรไว้

แต่นั่นจะต้องให้โรเบิร์ตทัดทานจ่าสิบตำรวจเคดี้ ขอแค่เขายืนยันว่าตำรวจม้าไม่มีสิทธิ์ที่จะแทรกแซงเรื่องของเมืองนี้ ปัญหานี้ก็คงไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่ แค่ให้ผู้นำของทั้งสองฝ่ายเป็นคนออกหน้า ซึ่งหนึ่งในผู้นำที่ว่าก็มีแฮมเล็ตที่เป็นผู้นำของจ่าสิบตำรวจเคดี้

หน่วยงานบริหารสูงสุดของกรมตำรวจก็คือคณะกรรมการบริหารสถานีตำรวจ ยกตัวอย่างเช่นคณะกรรมการบริหารสถานีตำรวจระดับเทศบาลที่มีนายกเทศมนตรีเป็นผู้บริหาร โดยสมาชิกจะได้รับการแต่งตั้งจากเทศบาลเมืองเพื่อเป็นตัวแทนประชาชนทุกชนชั้นในการรักษาผลประโยชน์ของสังคม ซึ่งมีหน้าที่หลักในการออกนโยบายที่มีความเกี่ยวข้องและให้ข้อเสนอแนะด้านงบประมาณ รวมถึงรับข้อร้องเรียนและข้อคิดเห็นจากประชาชน แต่จะไม่แทรกแซงการตัดสินใจและการปฏิบัติงานของตำรวจ

ถึงแม้ว่าแท้จริงแล้วผู้กำกับการจะเป็นผู้รับผิดชอบการทำงานของสถานีตำรวจ แต่ก็จำเป็นต้องรายงานนโยบายเกี่ยวกับการปฏิบัติงานและงบประมาณในการดำเนินงานของตำรวจต่อคณะกรรมการบริหาร ดังนั้นหากจะกล่าวว่าแฮมเล็ตเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกเขาก็ไม่ผิดไปจากนั้นเท่าไรนัก

น่าเสียดายที่คนอย่างโรเบิร์ตดันเป็นพวกขี้ขลาด เขาจึงทำได้แค่แอบด่าในใจ แล้วหันหลังกลับไปโทรหาแฮมเล็ตแทน

พอเขากดโทรออก ทางฝั่งแฮมเล็ตก็รับสายทันที หลังจากนั้นก็พูดกับเขาด้วยเสียงหัวเราะจืดเจื่อน “ฉิน เรื่องนี้ฉันต้องขอโทษนายด้วยจริงๆ ฉันไม่สามารถออกคำสั่งให้พวกตำรวจม้ากลับออกมาจากที่นั่นได้เลย”

ฉินสือโอวโมโหจนอยากด่า เขายังไม่ทันได้อ้าปากแฮมเล็ตก็พูดกับเขาอย่างนี้ก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขารู้อยู่แล้วว่าฉินสือโอวโทรไปทำไม แล้วก็เห็นได้ชัดด้วยว่าเขามีส่วนรับรู้เรื่องนี้

ฉินสือโอวจึงพูดกับเขาอย่างหัวเสียว่า “อะไรคือการบอกว่าคุณออกคำสั่งกับพวกเขาไม่ได้? ถ้าอย่างนั้นการเลือกตั้งครั้งหน้า ผมก็คงให้เงินทุนช่วยเหลือไม่ได้เหมือนกันใช่อย่างนั้นหรือเปล่า?”

แฮมเล็ตฝืนยิ้มแล้วพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ “ฉันไม่มีอำนาจในการสั่งการตำรวจม้า ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงขณะที่พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ได้”

“ผมรู้ แต่คุณบอกให้พวกเขาหยุดจับสัตว์เลี้ยงด้วยการใช้อำนาจคุกคามแบบนี้ได้นี่” ฉินสือโอวกล่าว

แฮมเล็ตก็บอกกับเขาอย่างจนปัญญาว่า “นี่เป็นหน้าที่ที่ตำรวจม้าต้องทำเป็นประจำอยู่แล้ว ฉันไม่ได้เป็นคนสั่งการ กฎหมายกำหนดไว้ว่าไม่อนุญาตให้บุคคลธรรมดาเลี้ยงหมีสีน้ำตาล หรือถ้าไม่อย่างนั้นนายให้เวลาฉันคิดก่อนได้ไหม ฉันต้องคิดหาวิธีก่อนถึงจะช่วยนายได้”

เวรเอ๊ย ผมไม่หวังอะไรกับคุณแล้วล่ะ ฉินสือโอวตอบเขากลับไปด้วยคำพูดแสดงความเกรงอกเกรงใจพอเป็นมารยาทอยู่สองสามประโยคแล้วก็กดวางสาย

หลังจากวางสายโทรศัพท์ ขณะที่เขากำลังวางแผนว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง วินนี่ก็ปรากฏตัวขึ้น เธอขับรถเอทีวีเข้ามาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เฮ้ ที่รักคุณกลับมาแล้วเหรอคะ?”

ฉินสือโอวพยักหน้าให้เธอ วินนี่หันกลับไปหาตำรวจม้าที่อยู่นอกประตูทางเข้า แล้วใช้น้ำเสียงแสดงความประหลาดใจพูดกับพวกเขาว่า “เฮ้ คุณตำรวจ ไม่ทราบว่าพวกคุณมาที่นี่ทำไมเหรอคะ? ที่รัก ทำไมคุณไม่เปิดประตูให้พวกเขาเข้ามาล่ะ?”

จ่าสิบตำรวจเคดี้กับฉินสือโอวต่างก็พากันจ้องมองไปที่วินนี่ สายตาของคนแรกแปลได้ว่าเธอคิดจะแกล้งทำอะไร เมื่อกี้นี้ไม่ใช่พวกคุณหรอกเหรอที่ขวางพวกเราเอาไว้ ส่วนความคิดของคนหลังอย่างฉินสือโอวก็คือ คุณเอาจริงเหรอ?

ไม่ให้ตำรวจเข้าไปในฟาร์มปลาก็อีกเรื่อง แต่ถ้าปล่อยให้พวกเขาเข้าไปจับฉงต้าในฟาร์มปลาแล้วเข้าไปขัดขวางตอนพวกเขาลงมือ แบบนั้นจะกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย ปฏิเสธไม่ให้ตำรวจเข้าไปในบ้านอย่างร้ายแรงที่สุดก็ถือว่าเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ แต่ถ้าลงมือทำอะไรสักอย่างขณะที่พวกตำรวจกำลังสะสางปัญหา แบบนั้นก็จะถือว่าเป็นการทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที

วินนี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ถึงฉินสือโอวจะไม่เข้าใจว่าเธอไปเอาความมั่นใจพวกนั้นมาจากที่ไหน แต่เขาก็ยอมให้เปิดประตูเพราะความเชื่อใจที่มีต่อวินนี่

เปิดประตูฟาร์มปลาแล้วขับรถทั้งสองคันออกไปให้พ้นทาง ในที่สุดพวกตำรวจม้าก็เข้ามาในฟาร์มปลาได้แล้ว

เพราะก่อนหน้านี้มีรถหรูสองคันคอยขวางประตูเอาไว้ พวกเขาเลยไม่กล้าใช้กำลังบุกเข้ามา ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นกับรถพอร์ช 918 แม้แต่นิดเดียว พวกเขาอาจจะต้องเป็นฝ่ายชดใช้ค่าเสียหาย

พอพวกตำรวจม้าเข้ามาในฟาร์มปลาได้แล้ว ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรสัตว์ที่พวกเขาพบก็มีเพียงหลัวปอ ปอหลัว ต้าป๋ายกับราชาเจ้าป่าซิมบ้า บรรดาสัตว์เลี้ยงพวกนี้กำลังนั่งเอียงคอพินิจพิจารณาพวกตำรวจม้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ที่หน้าประตู มองดูได้สักพักก็เห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ จึงออกไปเล่นกับพวกหู่จือเป้าจือแทน

สิ่งที่เหล่าตำรวจม้าตามหาก็คือหมีสองตัวกับเต่าอัลลิเกเตอร์อีกหนึ่งตัว พวกเขาค้นหาอยู่พักหนึ่งแต่ก็หาไม่พบ จ่าสิบตำรวจเคดี้จึงต้องมาหาวินนี่กับฉินสือโอวอีกครั้ง “คุณทั้งสองคน พวกคุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้เลยนะ ผมคิดว่าพวกคุณคงไม่อยากเห็นภาพลูกน้องของผมจูงหมาตำรวจตรวจที่นี่หรอกนะ”

วินนี่จึงพูดอย่างใจเย็นว่า “ก็เอาสิคะ ฉันยอมรับนะว่าที่ฟาร์มปลาของเรามีหมีสีน้ำตาลกับเต่าอัลลิเกเตอร์อยู่จริงๆ เพียงแต่ว่าพวกมันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเราก็เท่านั้นเอง หมีตัวนั้นมันลงมาจากภูเขา แล้วก็จะกลับขึ้นไปบนนั้นทุกวัน ส่วนเต่าอัลลิเกเตอร์ตัวนั้น พวกคุณลงไปงมหาในทะเลกันเองเถอะค่ะ”

ฉินสือโอวถึงกับยิ้มออกมา แบบนี้เขาเรียกว่าศีลเสมอกันใช่ไหม เขาก็ใช้วิธีนี้ในการจัดการปัญหาเรื่องนกอินทรีทองกับนกอินทรีหัวขาวเหมือนกันเลยไม่ใช่เหรอ? ผลักภาระออกไปด้วยการบอกว่าตัวเองไม่ได้เลี้ยง สัตว์ป่าพวกนั้นเข้ามาที่ฟาร์มปลาของพวกเขาเอง

…………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท